บทที่ 200 เจ้าคนบ้านี่หลงใบหน้างดงามของเขา

สาวงามตัวร้าย : ท่านจอมมารได้โปรดโดนตกซะทีเถอะ!

บทที่ 200 เจ้าคนบ้านี่หลงใบหน้างดงามของเขา

ที่ตั้งมั่นของหุบเขาไร้กังวลนั้นอยู่ที่ด้านล่างของหน้าผาสูงชันอันตรายยิ่ง เป็นสถานที่อันตรายติดอันดับในแดนมุกหยก

เหล่าศิษย์หุบเขาไร้กังวลที่มี “วิชาตัวเบา” หาใครเทียม ทำให้สามารถกระโดดเหินร่างขึ้นหลังคาขึ้นกำแพงสูงได้อย่างไม่ยากเย็น ขึ้นลงผาสูงชันได้อย่างไม่เหน็ดเหนื่อยอะไร แต่กับคนนอกแล้ว หากคิดจะทำเช่นนั้นก็อาจเอาชีวิตมาทิ้งได้ง่าย ๆ เลย

ที่ขอบผา ชายหนุ่มสิบคนสวมชุดสำนักสีน้ำเงินเข้มกำลังยืนอยู่ บนหน้าสวมหน้ากากปีศาจปกปิดไว้

นักฆ่าของหุบเขาไร้กังวลถูกแบ่งออกเป็นสี่ระดับ จากสูงไปต่ำคือ นักฆ่าระดับทองคำ นักฆ่าระดับเซียน นักฆ่าระดับลึกลับ และนักฆ่าระดับเหลือง

สีชุดที่สวมก็แบ่งตามระดับเช่นกัน นักฆ่าระดับทองคำสวมชุดสีแดง นักฆ่าระดับลึกลับสีเขียวเข้ม และนักฆ่าระดับเหลืองสวมชุดสีขาว

ตรงหน้าทุกคน เหล่าบุรุษในชุดสีน้ำเงินคือนักฆ่าระดับเซียนของหุบเขาไร้กังวล ด้อยกว่านักฆ่าระดับทองคำเพียงหนึ่งขั้นเท่านั้น รั้งตำแหน่งสูงส่งในหุบเขา ได้เห็นนักฆ่าระดับเซียนออกมาต้อนรับแขกจากอีกสองสำนักเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าทางหุบเขาให้ความสำคัญกับงานในครั้งนี้มาก

ด้านหลังเหล่าบุรุษในชุดสีน้ำเงินเข้ม คนผู้หนึ่งค่อย ๆ ก้าวขึ้นมา สวมชุดคลุมสีแดงทั้งตัว ใบหน้าเย้ายวนล่อลวงใจ เอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้ม “แขกเหรื่อทั้งหลายคงเดินทางมาอย่างยากลำบากและยาวนาน ข้ามีนามว่าเหยียนเจวี๋ย ออกมาต้อนรับพวกท่านทุกคนแทนท่านเจ้าหุบเขาของเรา หากพวกเราทำการต้อนรับช้าก็ต้องขออภัยด้วย”

เพิ่งจะพูดจบ เสียงคำรามตื่นเต้นก็ดังกระหึ่มจากแขกทั้งหลาย ก่อนจะเบาลงเป็นเสียงพึมพำในหมู่คน

“เหยียนเจวี๋ย….. ชื่อคุ้น ๆ นะ”

“อย่าบอกนะว่าเจ้าไม่เคยได้ยิน? เขาเป็นหนึ่งในสิบนักฆ่าแห่งตำหนักนักฆ่าไง ฉายาพญายมยิ้ม เหยียนเจวี๋ยฉาวโฉ่ที่ยืนยิ้มเป็นมิตรให้แต่สังหารเจ้าโดยไม่ทันรู้ตัว!”

“จากตำหนักนักฆ่า!? เห็นเขาสวมชุดคลุมสีแดง ก็นึกว่าเป็นนักฆ่าระดับทองคำธรรมดาเสียอีก” ชายคนแรกเอ่ยเสียงอ่อน

“หึ คนผู้นั้นทำอะไรดั่งใจอยากได้ สวมชุดสีแดงของนักฆ่าระดับทองคำก็เพื่อหลอกคนให้งงเล่นเท่านั้น พวกมีฝีมือที่สุดในหุบเขาไร้กังวลไม่ใช่นักฆ่าระดับทองคำ แต่เป็นพวกจากตำหนักนักฆ่าที่เหนือชั้นกว่านั่นล่ะ!”

“ได้ยินว่าคนในตำหนักนักฆ่าเก่งกาจถึงขั้นขวัญผวา พวกเรามาจะได้แต่ขายขี้หน้าหรือไม่เนี่ย…..”

ดูท่าหลังจากได้ยินเสียงกระซิบกระซาบ บางคนก็เริ่มกลัวไปแล้ว อยากจะขอถอนตัวจากการแข่งขันเอาเสียดื้อ ๆ

พริบตาที่พูดจบ คนอื่น ๆ ก็หัวร่อออกมาทันที “นี่เจ้าไปเอาความกล้ามาร่วมงานสานสัมพันธ์จากไหนกันหือ? เจ้ามองลงหน้าผาไปก็คงกลัวจนแทบตายแล้วกระมัง!”

เหยียนเจวี๋ยฟังเสียงคนทั้งหลายพึมพำแล้วก็อดเผยใบหน้ายิ้มเยาะไม่ได้ คนพวกนี้กล้ามาเข้าร่วมงานสานสัมพันธ์ระหว่างสำนัก ดูท่าสำนักละอองหมอกกับสำนักไร้สิ้นสุดคงจะไม่มีค่าพอให้สนใจแล้วกระมัง

เขามองตามกลุ่มคน เมื่อไม่พบคนที่มองหาก็ประหลาดใจ งานสานสัมพันธ์เป็นงานสำคัญไม่น้อย เจ้านั่นไม่มางั้นหรือ?

คิดยังไม่ทันจบ ลมหอบหนุ่มก็พัดผ่านข้างหลัง เย็นยะเยือกนัก นิ้วเขางองุ้มเป็นกรงเล็บทันที เล็บพลันยาวขึ้นในพริบตา ก่อนจะเงื้อกรงเล็บคว้าไปด้านหลัง คว้าสิ่งที่ลอบโจมตีจากทางด้านหลังได้พอดิบพอดี มันคือ….. ด้ามดาบ

เหยียนเจวี๋ย “…..”

ชายหนุ่มที่อาวุธถูกเหยียนเจวี๋ยคว้าเอาไว้มองอีกฝ่ายด้วยความฉงน ชั่วอึดใจจึงเอ่ยขึ้น “เจ้านี่รุ่มร้อนทุกครั้งที่พบหน้ากันเลยนะ”

เหยียนเจวี๋ยจ้องกลับด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ ปล่อยด้ามดาบออก น้ำเสียงยามเอ่ยราวกับกัดฟันพูด “เจ้าต้องเล่นปัญญาอ่อนทุกครั้งเช่นนี้เลยหรือไร? ทำมาลอบโจมตีทั้งที่รู้ว่าอย่างไรก็ไม่มีวันสำเร็จ”

เจ้าหมอนี่โง่เง่าขนาดนี้เลยหรือ!?

เขารูปร่างสูงใหญ่ กำลังยืนกอดดาบอยู่ นัยน์ตาตื่นตัวกระจ่างอยู่ตลอด ใบหน้าหล่อเหลาดูดี เขาก็คือซู่หลีม่อนั่นเอง

มองใบหน้าโกรธเกรี้ยวของอีกฝ่ายแล้วเขาก็กะพริบตาอย่างใสซื่อ เอ่ยเสียงกลั้วหัวเราะขึ้นมา “ข้าก็แค่ทดสอบการตอบสนองของเจ้าก็เท่านั้นเอง? พลังบำเพ็ญเจ้าจะได้ไม่ถดถอยอย่างไรเล่า?”

ประสาท

เหยียนเจวี๋ยไม่อยากจะใส่ใจคนผู้นี้จริง เขาชอบใช้ลูกไม้อย่างการลอบโจมตีเช่นนี้อยู่ทุกครั้ง ดูท่าจะเล่นแกล้งเช่นนี้แล้วมีความสุขมากเสียด้วย

นับตั้งแต่ที่พวกเขาบาดหมางกันด้วยเขาเกิดไปล่าเหยื่อตัวเดียวกันกับซู่หลีม่อระหว่างที่ออกมาฝึกฝนนอกสำนัก เจ้าหมอนี่ก็เหมือนเสพติดการต่อสู้กับเขาไปแล้ว เจอกันเมื่อไหร่เป็นต้องชวนตี น่ารำคาญใจนัก

แต่อีกฝ่ายก็เป็นคู่ต่อสู้ที่มีพลังในระดับคล้ายคนคลั่ง ดังนั้นการต่อสู้จึงมักจบลงอย่างหาคำสรุปไม่ได้ จึงไม่อาจซัดอีกฝ่ายเสียน่วมไม่ให้มายุ่งวุ่นวายกับเขาอีกได้

หากเรื่องถึงหูพี่น้องทั้งหลายของเขา เขาคงได้ถูกพวกนั้นหัวเราะเยาะเป็นแน่ คงได้หาว่าเจ้าบ้าซู่หลีม่อนี่คงหลงใหลใบหน้างดงามของเขาจึงคอยหาเรื่องชวนตีเพื่อพัฒนาความสัมพันธ์ให้ใกล้ชิดกันกว่าเดิม

เพ้ย! ใกล้ชิดบ้าอะไรกัน!?

ในหัวเจ้าพวกนั้นก็มีแต่เรื่องไร้สาระความคิดขยะเต็มไปหมด!!

เหยียนเจวี๋ยมักจะประดับรอยยิ้มจอมปลอมอยู่ตลอด ทว่ายามจ้องมองซู่หลีม่อกลับทำหน้าราวกับหมดความอดทน เอ่ยเสียงเสียดสีขึ้น “อะไรกัน? สำนักละอองหมอกไม่มีใครแล้วจึงส่งแต่เจ้ามางั้นหรือ?”

ซู่หลีม่อเลิกคิ้ว “อ้อ? น้ำเสียงเจ้านี่ดูเหมือนไม่เห็นสำนักละอองหมอกอยู่ในสายตาเลยกระมัง?”

“ก็ไม่ได้มองว่าสำนักละอองหมอกเก่งกาจอะไรมากอยู่แล้วล่ะนะ โดยเฉพาะเจ้า” เหยียนเจวี๋ยเอ่ยเหยียด

ซู่หลีม่อไม่โกรธ กลับพูดเคล้าเสียงหัวเราะ “เอาชนะข้าให้ได้ก่อนค่อยพ่นคำพูดนั้นออกมาคงยังไม่สายกระมัง?”

ทางด้านสำนักไร้สิ้นสุด ในฐานะศิษย์คนสุดท้ายของท่านเจ้าสำนักและยังเป็นศิษย์รัก มู่ฉือย่อมได้ที่นั่งมาร่วมงานในครั้งนี้ด้วย ชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาน่ามอง ไม่ว่าย่างกรายไปทางใดก็เรียกสายตาคนให้เมียงมอง อีกทั้งยังเบื้องหลังยังมีตระกูลนักปรุงยาใหญ่คอยหนุน คนทั้งหลายจึงได้แต่หาโอกาสประจบสอพลอเขายามได้เห็น

แต่บางครั้งการเป็นที่สนใจมากเกินไปก็ไม่ใช่เรื่องดี หรืออย่างน้อย ๆ มู่ฉือก็ไม่ชอบให้คนอื่นใช้สายตาราวกับมองสิ่งมีชีวิตหายากมองเขา

“ไอ้หนู”

คนหนึ่งแตะที่ไหล่เขา มู่ฉือเงยหน้ามองทันที ก่อนจะคลี่ยิ้มออกมา “พี่ นี่มาด้วยหรือ”

มู่ไหลเลิกคิ้ว “งานสำคัญข้าจะไม่มาได้หรือ? แล้วเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?”

มู่ฉือยิ้มพลางยักไหล่ “จะแย่ได้เท่าไรอีกล่ะ? ข้าก็กินได้นอนหลับ”

มู่ไหลหัวเราะหึ ๆ ใส่ นัยน์ตาเต็มไปด้วยรอยขบขัน

นางไม่สนิทกับใครในตระกูลมู่ที่อายุพอ ๆ กับนางเลย เว้นเสียก็แต่เด็ก ๆ ทางฝั่งท่านอาที่นางมีความสัมพันธ์อันดีด้วยไม่น้อย มู่ไหลอายุมากกว่าเขาหนึ่งปี ทั้งยังชอบเจ้าหนูที่เหมือนกับเป็นน้องชายคนหนึ่งของนางคนนี้มาก

มู่ฉือเหลือบมองที่กลุ่มคนเบื้องหลังนาง ก่อนเอ่ยถามเสียงเรียบ “ทำไมไม่เห็นชิงอวี่? ไม่ใช่ว่านางไม่มานะ?”

“ชิงอวี่เกิดเรื่องนิดหน่อย นางได้รับบาดเจ็บ อาจจะไม่ได้มา” มู่ไหลตอบ จากนั้นก็เลิกคิ้วมองอีกฝ่าย “อะไร? เจ้าคิดถึงนางหรือ?”

มู่ฉือเมินถ้อยคำหยอกล้อของนาง ถามต่อด้วยสีหน้าเป็นกังวล “บาดเจ็บหรือ? เกิดอะไรขึ้น? แผลสาหัสหรือไม่?”

เห็นเขาเป็นกังวลนัก มู่ไหลจึงเอ่ยเสียงจนใจ “แผลไม่สาหัสมาก แต่แผลค่อนข้างใหญ่ไม่น่ามอง เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง นางมีคนคอยดูแลอยู่แล้ว!”

ทั้งยังเป็นคนที่ใส่ใจชิงอวี่เอามาก ๆ ถึงขั้นระวังทุกกระเบียดนิ้วทีเดียว

นางรู้ดีว่าเจ้าหนูนี่คิดอะไรชิงอวี่ แต่บุรุษข้างกายชิงอวี่เป็นคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งเกินไปจริง ๆ มู่ฉือเทียบไม่ได้แม้กระทั่งนิ้วก้อยเขาด้วยซ้ำ ความต่างของพลังมันมากเกินไป ให้เขายอมแพ้เสียตั้งแต่เนิ่น ๆ ยังดีเสียกว่า

ตัวชิงอวี่เองก็ไม่ด้อยไปกว่ากัน มู่ฉือคิดจะเทียบขั้นนางหนทางยังอีกยาวไกลนัก

มู่ฉือได้ยินแล้วนัยน์ตาก็หม่นลง ดูจะเข้าใจบางอย่าง ไม่เอ่ยถามอะไรอีก

ที่อีกด้านหนึ่ง เมื่อเห็นว่าหมดเวลาแล้ว เหยียนเจวี๋ยจึงกระซิบเรียกชายที่สวมหน้ากากปีศาจด้านหลัง อีกฝ่ายพยักหน้าก่อนจะเดินไปริมผาแล้วกระโดดลงไป ท่าทางคล่องแคล่วนัก ไม่นานก็หายลับตาไป

พริบตาหลังจากนั้น เสียงกลไกบางอย่างก็เริ่มทำงาน

เหยียนเจวี๋ยพลันหันไปหาทุกคนแล้วยิ้มจริงใจให้ “ตอนนี้ขอให้ทุกท่านเดินทางเข้าหุบเขาไร้กังวลได้แล้ว ทางเข้าหุบเขาอยู่ที่ก้นผา ขอให้ทุกท่านโปรดระวังจะได้รับบาดเจ็บ พวกท่านมาดูการผ่านกับดักทั้งหลายไปก่อนได้ ข้าจะไปรอพวกท่านทั้งหลายที่ก้นผา”

เขาพูดจบก็กระโดดลงผาสูงชันไปพร้อมกับนักฆ่าระดับเซียนของหุบเขาอีกสิบ ๆ คน คนทั้งหลายกระโจนโผนลงไปอย่างคล่องแคล่ว ผาลื่นอันตรายราวกับเป็นทางราบสำหรับพวกเขา ราวกับการทำเช่นนั้นมันง่ายเหลือแสน

ดูท่าข่าวลือที่ว่าคนจากหุบเขาไร้กังวลมี “วิชาตัวเบา” ที่หาใครเทียมจะไม่ใช่เรื่องโอ้อวดเลย

เมื่อเห็นพวกเขาโผลงไปแล้ว ก็นับเป็นตัวการอย่างผ่านกับดักทั้งหลายให้คนอื่น ๆ ที่ยังยืนอยู่ด้านบน

ทว่าพวกเขาเคลื่อนกายรวดเร็วจนมองแทบไม่ทัน หากจะลงไปก้นผาคงไม่ง่ายนัก

เอาเถอะ รักษาม้าตายประหนึ่งม้าเป็นก็แล้วกัน แม้จะรู้ว่าไม่มีหวังแต่ก็ต้องทำเต็มที่

คนผู้หนึ่งกัดฟันแน่นแล้วกระโจนลงผาไป เมื่อเห็นคนนำลงไปแล้ว คนข้างกายคนอื่น ๆ จึงกระโจนตามลงไปเช่นกัน

แต่ไม่นาน เสียงกรีดร้องน่าผวาก็ดังมาจากด้านล่าง

“อ๊ากกกก ผีหลอก!!”

“ผีมันดึงขาข้าไว้! ข้าจะร่วงแล้ว! ปล่อย! ปล่อยข้า!”

“ช่วยด้วย!”

ทุกคน “…..”

เกิดอะไรขึ้น? ข้างล่างมีผีหรือ??

“เห็นหรือไม่ว่าพวกเขาเหยียบอะไร?”

ไม่ไกลจากนั้นเท่าไหร่ มีเงาร่างสีม่วงสองร่างกำลังยืนมองอยู่

เป็นบุรุษและสตรี คนหนึ่งร่างสูงใหญ่ อีกคนร่างสูงเพรียว ดูเหมาะสมกันนัก สองคนนี้คือโหลวจวินเหยากับชิงอวี่ที่เดินทางมาถึงช้ากว่าใครนั่นเอง

ชิงอวี่บาดเจ็บอยู่จึงไม่ได้นั่งรถม้ามา แต่เดินทางมาด้วยวิชาข้ามผ่านมิติอันน่าพิศวง และเพิ่งจะมาถึงเมื่อครู่นี้เอง

ชิงอวี่ลูบคางพยักหน้า “อืม ก็เห็นบ้าง ถึงไม่รู้ว่าข้างล่างนั่นมีอะไร แต่อย่างน้อยก็ลองดูได้”

ว่าแล้วนางก็ทำท่าจะเดินไปที่ริมผา แต่เดินออกไปไม่ถึงสองก้าวแขนกลับถูกคว้าแล้วดึงกลับไป ได้ยินเสียงไม่พอใจของชายหนุ่มดังตามมา “เจ้าสัญญาไว้อย่างไร?”

ชิงอวี่ชะงักไป ก่อนตอบเสียงอ่อน “ดูได้ ตัวห้ามขยับ แต่ว่า….. ข้าก็ยังไม่ทันได้…..”

โหลวจวินเหยามองหมิ่นนาง “เมื่อครู่ข้าน่าจะเอากระจกให้เจ้าส่องดูหน้าตนเอง ดูว่าหน้าเจ้ามันมีคำว่า “ข้าตื่นเต้นเหลือเกิน!” เขียนอยู่เสียเด่นหรา”

ชิงอวี่ “…..”

นางตื่นเต้นเมื่อไหร่กัน…..

ก็ได้ อาจจะนิดหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้มากมาย

ก็คนอื่นเขาร่ำลือกันว่าผาหุบเขาไร้กังวลนั้นน่ากลัวน่าขวัญผวาถึงเพียงไหนนี่นา นางก็แค่อยากรู้ว่ามันจะสมคำร่ำลือไหม…..

เห็นคนจากสำนักไร้สิ้นสุดและสำนักละอองหมอกกระโดดลงไปทีละคน ชิงอวี่ขมวดคิ้วถาม “แล้วเราจะลงไปอย่างไร?”

โหลวจวินเหยาพ่นลมออกจมูกดูเย้ยหยัน เหลือบมองเด็กสาวนิ่ง “เรื่องนั้นเจ้าไม่ต้องกลัว กอดข้าไว้สิ”

ชิงอวี่ที่รอคำตอบเขาใจจดใจจ่อชะงักไปชั่วขณะ “ท่านว่าอะไรนะ?”