บทที่ 201 ชายแก่น่ารำคาญ

เด็กสาวเงยหน้ามองเขาฉงน ดูเหมือนจะได้ยินไม่ถนัด

เห็นนางดูสงสัยเช่นนี้แล้วน่ารักน่าชังนัก

โหลวจวินเหยายกยิ้ม จับมือนางให้โอบรอบเอวตนไว้ “ข้าบอกให้กอดข้าไว้ให้แน่น ๆ ข้าจะพาเจ้าลงไปเอง บาดแผลที่หลังเจ้าคงทำให้เจ้าเคลื่อนกายไม่สะดวกนัก”

“…..”

ชิงอวี่ทำหน้ามึนงง นางแค่บาดเจ็บ ตอนนี้กลับทำนั่นนี่ไม่สะดวกไปหมดเสียแล้ว นางเองเคยบาดเจ็บหนักกว่านี้มาแล้ว ยังไม่เห็นจะเป็นปัญหาเท่าครั้งนี้เลยท่านรู้หรือไม่?

ไม่รู้ทำไม นางรู้สึกว่ายามอยู่กับโหลวจวินเหยา มันมีบางอย่างแปลก ๆ แต่เป็นอะไรกันแน่นางก็ไม่อาจรู้ได้

คนบนผาเริ่มโดดลงมาเรื่อย ๆ พริบตาเดียวก็ไม่เหลือคนอีก

คนทั้งคู่ค่อย ๆ เคลื่อนตัวไปใกล้ขอบผา ลมที่พัดอยู่ด้านล่างพัดชายเสื้อลอยขึ้นไม่หยุด ตีหน้าจนรู้สึกเจ็บ เท่านี้ก็รู้แล้วว่าหุบเหวนี้ลึกเพียงไหน

“จับแน่น ๆ เล่า” น้ำเสียงทุ้มนุ่มลึกเอ่ยเตือนนางอีกครั้ง

ชิงอวี่ลังเลชั่วขณะ ก่อนจะสอดแขนเข้าไปโอบรอบเอวเขาไว้เบา ๆ

นางอดรู้สึกว่าท่านี้มันแปลก ๆ ไม่ได้

เสียงหัวเราะแผ่วเบาของชายหนุ่มดังขึ้นเหนือศีรษะ ก่อนที่วงแขนเขาจะค่อย ๆ โอบหลังนางโดยเลี่ยงบาดแผล รั้งร่างนางเข้ามาในอ้อมกอด ร่างน้อยดูเข้ากันได้ดีกับร่างสูงใหญ่ของเขาทีเดียว

บนใบหน้าโหลวจวินเหยาแต้มยิ้มทันที จากนั้นเงาร่างทั้งสองก็กระโดดลงผาไป ลมเย็นพัดขึ้นจากด้านล่าง ทำให้รู้สึกราวกับกระโดดลงทะเลสาบเยือกแข็ง ลมแรงราวกับจะกลืนกินทุกสิ่งอย่างไรก็อย่างนั้น

ลมพัดผ่านใบหน้าแรงมากจนนางไม่อาจลืมตาได้เต็มตา ชิงอวี่พยายามเปิดเปลือกตาขึ้นแล้วเอ่ยถาม “ทำไมข้าจึงรู้สึกว่าลมนี่มันแปลก ๆ…..”

พวกนางกำลังมุ่งลงไปที่ก้นเหวชัด ๆ แต่กลับมีลมตีร่างขึ้นไปอยู่ตลอดเวลาแม้จะกระโดดลงผามาได้ครู่หนึ่งแล้ว แต่ยังลอยอยู่กลางอากาศอยู่เลย

ชิงอวี่ขมวดคิ้ว ครุ่นคิดชั่วขณะก่อนเอ่ยปากถาม “ทำไมท่านไม่ลองหยุดใช้พลังวิญญาณต้านแรงลมนี่เล่า จากนั้นท่านก็ปล่อยข้าเสีย”

โหลวจวินเหยาก้มหน้ามองนาง “รู้หรือไม่ว่าเราอยู่สูงขนาดไหน? หากตกลงไปกระดูกเจ้าคงไม่เหลือซากเป็นแน่”

“ท่านไม่เห็นหรือว่ายิ่งใช้พลังวิญญาณ ลมปีศาจนี่ก็ยิ่งต้านพวกเรา? ตอนนี้ท่านเก็บพลังบางส่วนไปแล้ว มันจึงส่งเพียงแรงผลักเล็กน้อย แต่ไม่ได้โจมตีเราแล้ว” ชิงอวี่ว่า นัยน์ตาประกายวาบ พลันชี้นิ้วไปยังที่ไกล ๆ “ท่านดู”

โหลวจวินเหยามองตามนิ้วนางไป เห็นชายหนุ่มในชุดคลุมเขียวกำลังลอยอยู่กลางอากาศ สีหน้าดูบ้าคลั่งไม่น้อย

เขาสะบัดแขนขาทั้งหลายราวกับกำลังต่อสู้และปัดป้องการโจมตี ราวกับกำลังประมือกับบางอย่าง แต่ตรงหน้าเขากลับไร้เงาคน เหมือนจะหลอนไปเองและสู้กับปีศาจที่กำลังครอบงำจิต

“ท่านว่าเขาถูกตัวอะไรสิงหรือไม่?” ชิงอวี่ถาม เงยหน้าขึ้นถามชายหนุ่มที่รั้งนางไว้ในอ้อมกอด

โหลวจวินเหยาไม่ตอบ ทำเพียงเลิกคิ้ว รอให้นางว่าต่อ

“ท่าทางเขาดูเหมือนคนบ้า แต่ในสายตาเขาคือกำลังเห็นศัตรูน่าเกรงขามกำลังโจมตีเขาอยู่ จึงพยายามสู้กลับ ภาพมายาที่เขาเห็นคงจะมาจากลมปีศาจนั่นแน่” น้ำเสียงน่าฟังของชิงอวี่เอ่ยขึ้นอย่างรื่นหู

“เป็นวิชามายาทั่ว ๆ ไป เรียกว่าค่ายกลเจ็ดมรณาดูดวิญญาณ โดยจะมีมายา 7 แบบ คือลม น้ำ ไฟ น้ำแข็ง ไม้ ทอง และพิษ แตกต่างกันไปในแต่ละแบบ แต่ก็อันตรายด้วยกันทั้งหมด ค่ายกลที่เราเดินเข้ามาเมื่อครู่คือหนึ่งในค่ายกลเจ็ดมรณาดูดวิญญาณ เป็นค่ายกลลม”

นางพูดจบ สายตาโหลวจวินเหยาก็ดูเร่าร้อนขึ้นมาอย่างไม่ทันรู้ตัว “เจ้ารู้เรื่องค่ายกลวิญญาณด้วยหรือ?”

“ก็รู้บ้างนิดหน่อย” ชิงอวี่พยักหน้า ตอบอย่างถ่อมตน

โหลวจวินเหยายิ้มมุมปาก ตัวเขาเองก็เชี่ยวชาญด้านค่ายกลวิญญาณเช่นกัน เก่งกว่านักวางค่ายกลวิญญาณทั่วไปอยู่เล็กน้อย ด้วยสติปัญญาที่เขามี หากคิดจะเรียนรู้อะไรจึงไม่ใช่เรื่องยากเย็นนัก

ความสนใจเรื่องค่ายกลวิญญาณของเขามันเริ่มขึ้น เมื่อครั้งวัยเยาว์ตอนเขาอยู่ในสำนักเซียนแพทย์ เขาเผลอเดินไปถูกค่ายกลลับเข้า จนต้องติดอยู่ในนั้นสามวันสามคืน

นับแต่นั้นมา เขาก็ตัดสินใจเด็ดขาดว่าจะไม่ปล่อยให้ตนต้องตกที่นั่งลำบากในเรื่องที่ตนเองไม่รู้อีก

ดังนั้นกระทั่งคนแคว้นมารที่ติดตามเขามายาวนาน ยังไม่อาจรู้ได้ว่านายท่านของตนเชี่ยวชาญเรื่องใดบ้าง ด้วยเขามีอะไรก็มักใช้ลูกน้องตลอด พวกเขาจึงได้แต่คิดว่านายท่านคงจะมีพลังบำเพ็ญน่าเกรงขามเพียงอย่างเดียว แต่ไม่ได้เชี่ยวชาญเรื่องอื่นก็เป็นได้

นางบอกว่าเป็นหนึ่งในค่ายกลมายาธรรมดางั้นหรือ? แต่โหลวจวินเหยาคิด ไม่ว่าค่ายกลเจ็ดมรณาดูดวิญญาณนี่จะเป็นอะไรก็ตาม แต่เขากลับไม่เคยได้ยินมันมาก่อน! ฉะนั้น….. เมื่อจิ้งจอกน้อยบอกว่านางก็เพียงรู้เรื่องค่ายกลวิญญาณบ้างเล็กน้อย เขาจึงรู้ทันทีว่านางเพียงพูดถ่อมตัวไปอย่างนั้นเอง!

นางอาจจะเคยเห็นค่ายกลที่ซับซ้อนกว่านี้มาแล้ว แต่กับค่ายกลเจ็ดมรณาดูดวิญญาณตรงหน้ากลับเป็นสิ่งที่เขาไม่อาจมองออก

ชิงอวี่ว่าต่อ “ค่ายกลเจ็ดมรณาดูดวิญญาณเล่นกับจิตใจคน ทำร้ายจิตแต่ไม่ทำลายชีวิต ดูท่าหุบเขาไร้กังวลจะวางค่ายกลไว้ที่ทางเข้าเดียวของหุบเขาเพื่อข่มขวัญคนจากสำนักอื่น ๆ กำจัดคู่ต่อสู้ตั้งแต่เริ่มไปสักหน่อยกระมัง”

พูดแล้วนางก็พลันยกยิ้มมุมปาก เป็นรอยยิ้มยวนเสน่ห์น่ามองนัก “แต่เคราะห์ร้ายที่ครั้งนี้พวกเขาเจอข้า คงจะได้พบแต่ความผิดหวังแล้ว”

นี่ล่ะคือท่าทีที่เด็กสาวควรจะเป็น ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็เต็มไปด้วยความมั่นใจและกำลังวังชา มีไหวพริบเฉียบแหลม มีเสน่ห์มั่นคง ราวกับไม่อาจมีสิ่งใดมาโค่นล้มนางได้

โหลวจวินเหยามองนางด้วยสายตาอ่อนโยน “ให้ข้าลงมือเถอะ เจ้าบอกวิธีมา”

“ค่ายกลเจ็ดมรณาดูดวิญญาณนี้ ตรงกลางเป็นค่ายกลมายาน้ำแข็ง พลังธาตุอื่น ๆ ถูกควบคุมโดยศูนย์กลางนั้น ดังนั้นเมื่อพื้นที่ค่ายกลลมถูกแช่แข็ง ค่ายกลอื่น ๆ ก็จะทำลายตัวเองลงทันที”

นางพูดจบ ลมแรงก็พลันหยุดลง สภาพอากาศถูกพลังเยือกแข็งเข้าปกคลุม ภาพเบื้องหน้ากลายเป็นพร่ามัวไปชั่วขณะ ก่อนจะชัดเจนขึ้นอีกครั้ง ใบหน้าคุ้นตาหลาย ๆ คนพลันปรากฏ เมื่อหลุดออกจากค่ายกลมายาได้แล้ว ร่างทั้งหลายก็พลันดิ่งลงไปที่ด้านล่าง ส่งเสียงกรีดร้องลั่นขึ้นมาทันที

“อ๊ากกก~ สูงเกิน! ข้าตกลงไปตายแน่! อ๊ากกก…..”

ทว่าความเจ็บปวดรวดร้าวที่คิดไว้กลับไม่มาถึง เพราะสองเท้ากลับแตะลงบนพื้นราบอย่างมั่นคง

ไม่อยากเชื่อเลย!

เขาเพียงฝันไปงั้นหรือ? นี่มัน….. ถึงก้นผาแล้ว?! เกิดอะไรขึ้นน่ะ??

ทางเข้าหุบเขาไร้กังวลอยู่เบื้องหน้า เหยียนเจวี๋ยและนักฆ่าระดับเซียนอีกนับสิบคนที่ลงมาก่อนหน้าต่างพากันยืนมองภาพนั้นอย่างไม่อยากเชื่อสายตา

เป็นไปได้ยังไงกัน?

ยังไม่ถึงครึ่งชั่วยามดี ทุกคนกลับมาถึงก้นผากันหมดแล้วหรือ!

ทุกคนเหมือนจะลงมาได้โดยไร้เรื่องราวใดเกิดขึ้นแม้แต่น้อย

ค่ายกลเจ็ดมรณาดูดวิญญาณสร้างขึ้นเพื่อมีผลต่อคนนอกโดยเฉพาะ โดยที่จะไม่ส่งผลต่อคนในหุบเขา ดังนั้นจึงไม่แปลกที่พวกเขาจะผ่านค่ายกลมาได้อย่างปลอดภัย แต่กับคนสำนักอื่นกลับผ่านมาได้เช่นนี้ อดเป็นเรื่องที่ทำให้คิดหนักไม่ได้เลยจริง ๆ

คนทั้งหลายยังได้แต่ยืนงงฉงนสงสัยอยู่ ชายชราผมขาวก็ค่อย ๆ ก้าวเท้าเข้ามา หลังเขาโค้งลง เครายาวเกือบลากพื้น

เมื่อเหยียนเจวี๋ยเห็นเขาก็เอ่ยเสียงประหลาดใจขึ้น “อาจารย์ลุง ท่านออกมาทำไมกันขอรับ?”

อาจารย์ลุงท่าทางประหลาดและเจ้าอารมณ์ไม่ได้ออกมานานหลายปี เขาจึงอดแปลกใจไม่ได้ว่าอะไรทำให้ชายชราก้าวเท้าออกมาได้

ชายชรามักทำตัวไม่อยู่กับร่องกับรอย เหมือนคนวิกลจริตอยู่บ้าง แล้วตอนนี้ก็ทำทีเป็นคนเฝ้าหน้าสำนักของหุบเขาไร้กังวล และแม้จะชรามากแล้ว แต่ก็ยังมีกำลังวังชา เชี่ยวชาญด้านการทำนาย วิชาห้าธาตุ และยันต์แปดทิศ ค่ายกลร้ายกาจทั้งหลายในหุบเขาก็มาจากฝีมือเขาทั้งสิ้น

ชายชราเมินคำของเหยียนเจวี๋ย นัยน์ตาขุ่นมัวเล็กน้อยพลันกระจ่างชั่วขณะ มองไปยังเงาร่างทั้งสองที่เดินตามหลังกลุ่มคนเข้ามา ก่อนริมฝีปากจะคลี่ยิ้มพลางกล่าว “ไม่เลวนี่สหายน้อย สามารถทำลายค่ายกลเจ็ดมรณาดูดวิญญาณของข้าลงได้ ท่าว่าเราจะดำเนินไปยังหนทางเดียวกัน ลึกล้ำกว่าที่เผยตัวตนยิ่งนัก”

นัยน์ตาเขาจับจ้องที่ชิงอวี่

ดูท่าวิธีทำลายค่ายกลที่ชิงอวี่แก้ได้นั้น ชายชราย่อมรู้ดีอยู่แล้ว

ได้ยินคำท่านผู้เฒ่าแล้ว เหยียนเจวี๋ยพลันเข้าใจสิ่งที่อีกฝ่ายเอ่ย มองตามสายตาเขาไปทันที เห็นเป็นชายหนุ่มและหญิงสาวในชุดคลุมม่วงกำลังเดินเข้ามา

เด็กสาวที่เดินนำหน้ามาดูอายุราวสิบหกปี นัยน์ตาหงส์กวาดมองคนราวกับจะกวาดเอาวิญญาณออกจากร่างคนที่ถูกมอง ดวงหน้าเนียนราวหยกขาว ริมฝีปากยกขึ้นน้อย ๆ เพิ่มความงดงามอย่างชั่วร้ายให้ใบหน้า เกิดเป็นความงามสะดุดตาอย่าไม่อาจอธิบายได้

ชายหนุ่มร่างสูงด้านหลังเองก็หน้าตาโดดเด่นไม่น้อย กลิ่นอายสูงส่งที่แผ่ออกมาไม่อาจเมินเฉยได้เลย แม้เจ้าตัวจะพยายามปิดมันไว้ แต่แรงกดดันที่เล็ดลอดออกมากลับรุนแรงกระทั่งทำให้ใจสั่นได้ทีเดียว

“ชิงอวี่!” มู่ไหลตาเป็นประกาย “นึกว่าเจ้าจะไม่มาเสียแล้ว แผลเจ้าหายดีแล้วหรือ?”

มู่ไหลเดินเข้าไปหานาง ใบหน้างามฉายแววยินดี พริบตาต่อมาก็สังเกตเห็นว่าวันนี้ชิงอวี่สวมชุดสีม่วงดูแปลกตา มองปราดเดียวก็รู้ได้ว่าเป็นของชั้นดี

นางชอบสวมชุดขาวอยู่ตลอด นับเป็นครั้งแรกที่นางได้เห็นอีกฝ่ายในชุดสีอื่นเช่นนี้ แต่ว่า…..

มู่ไหลพลันเลื่อนสายตาไปมองชายหนุ่มอีกคน พลันคลี่ยิ้มล้อเลียนขึ้นทันที “ชุดของพวกเจ้านี่เข้ากันดีเนอะ!”

นี่ไงเล่า! นางก็คิดอยู่ว่าทำไมอีกฝ่ายถึงเปลี่ยนชุด ก็เพื่อใส่ชุดคู่กันนี่เอง!

หากไม่ดูดี ๆ จะเห็นเพียงว่าเฉดสีม่วงบนชุดของคนทั้งคู่นั้นต่างกัน แต่หากสังเกตอีกหน่อยจะเห็นว่าการออกแบบและรูปแบบนั้นคล้ายกันมาก เห็นได้ชัดว่าเป็นชุดสั่งตัดโดยเฉพาะ

บุรุษผู้นี้มีความพยายามไม่น้อยเลยทีเดียว!

แต่เจ้าชิงอวี่หัวทื่อก็คงไม่ทันสังเกตอะไรกระมัง

ทางด้านสำนักไร้สิ้นสุด เมื่อมู่ฉือเห็นว่าชิงอวี่เองก็มาด้วย ใบหน้าก็ยินดีอย่างเห็นได้ชัด แต่เมื่อเห็นว่าโหลวจวินเหยาอยู่ข้างกายนาง สีหน้าก็หมองลงทันใด

ชิงอวี่พยักหน้ายอมให้มู่ไหล ก่อนจะหันไปพูดกับชายชรา “ผู้อาวุโสชมเกินไปแล้ว ที่ข้ารู้ก็เพียงผิวเผิน เพียงโชคดีที่เคยเห็นมันมาก่อนท่านั้น จะว่าเป็นแมวตาบอดจับหนูตายก็ว่าได้”

“โกหก ชายชราอย่างข้าเกลียดเจ้าหนูที่เสแสร้งแกล้งทำที่สุด ถ้าเจ้ารู้ก็หมายความว่าเจ้ารู้ หากไม่รู้ก็คือไม่รู้ ไม่ใช่อะไรยาก” ชายชราตวัดตามองนาง ดูโกรธน้อย ๆ

ชิงอวี่พูดไม่ออกอยู่ชั่วขณะ ก่อนจะตอบไปตามตรง “ค่ายกลของผู้อาวุโสนี้ พบเห็นได้ทั่วไปจริง ๆ จากที่ข้าเห็น มันเรียกว่าค่ายกลไม่ได้ด้วยซ้ำ เพราะมีจุดบกพร่องมากเกินไป หากพบผู้เชี่ยวชาญเข้า ซัดครั้งเดียวมันก็แตกแล้ว”

นางไม่คิดว่าชายชราจะตอบกลับด้วยเสียงฮึดฮัด นัยน์ตาจ้องเขม็ง เคราแทบตั้งชัน “เจ้ากล้าดูถูกค่ายของข้าหรือ? เช่นนั้นเจ้าก็มาสร้างเองเลย!”

ยิ้มของชิงอวี่พลันหุบลงทันใด “…..”

ช่างเป็นตาแก่น่ารำคาญโดยแท้!