บทที่ 202 โชคดีราวกับมีสูตรลับ
นับตั้งแต่วันที่ชิงอวี่หายเข้าไปในสถานที่ต้องห้าม ว่ากันว่ามีคนช่วยนางไว้ แต่นางบาดเจ็บหนัก ผู้คนจึงไม่ได้เห็นนางเลย
คนจึงคิดกันว่านางคงไม่มาร่วมงานสานสัมพันธ์แล้ว แต่นางกลับมาเสียได้ ได้ยินคำที่ชายชราเอ่ยแล้ว พวกเขาจึงเข้าใจว่าพวกตนถูกค่ายกลเข้า ส่วนเด็กสาวเป็นคนที่ทำลายค่ายกล ช่วยเหลือพวกเขาทั้งหมดเอาไว้
ชิงอวี่เก็บตัวเงียบอยู่ในสำนักละอองหมอกมาตลอด ไม่ค่อยโผล่ออกไปที่ไหน ดังนั้นศิษย์สำนักละอองหมอกจึงรู้เพียงว่ามีอัจฉริยะผู้ครองธาตุอยู่ในสำนัก แต่ไม่เคยเห็นนางมาก่อน ดังนั้นเมื่อคนจากสำนักไร้สิ้นสุดพึมพำสงสัยขึ้นมา ใบหน้าคนจากสำนักละอองหมอกเองก็ประหลาดใจไม่แพ้กัน
“ไม่เคยเห็นนางมาก่อนเลย นางอยู่สำนักไหนกัน?”
“นางมาจากสำนักไร้สิ้นสุดหรือ?”
“ไม่ได้มาจากสำนักละอองหมอกของพวกเจ้าหรอกหรือ??”
“ไม่กระมัง! นางออกจะงดงามมากฝีมือเช่นนี้ หากได้เห็นข้าคงไม่มีทางลืมลง”
“อา….. ข้าจำได้แล้ว! นางเป็นคนที่ทั้งสี่ภาควิชาต่างหมายตาจะครอบครองไงเล่า อัจฉริยะผู้ครองธาตุไง? ข้าจำได้ว่าสุดท้ายศิษย์พี่ใหญ่ของศิษย์สายหลัก เฟิ่งเทียนเหิงได้ตัวนางไป ตอนนี้เป็นศิษย์ภาควิชาพิเศษ”
คนผู้หนึ่งที่เพิ่งจำเรื่องราวได้เอ่ยขึ้นเสียงดัง
นั่นทำให้ศิษย์สำนักไร้สิ้นสุดเกิดความสงสัย “อัจฉริยะผู้ครองธาตุ? แค่ข่าวลือหรือไม่?!”
บ้าไปแล้ว อัจฉริยะผู้ครองธาตุนี่หายากกว่าอสูรวิญญาณระดับ 10 อีกนะ สำนักละอองหมอกจะโชคดี ได้ตัวไปได้อย่างไรกัน?
“ชิ ดูท่าเจ้าจะสงสัยในสิ่งที่ข้าผู้นี้เห็นด้วยสองตาตนเองงั้นหรือ?” น้ำเสียงเย่อหยิ่งเกียจคร้านเช่นนี้จะเป็นใครไปได้อีก? มาจากท่านซู่หลีม่อผู้วางท่าถือดีนั่นเอง
คนผู้นี้ขึ้นชื่อเรื่องการชอบต่อสู้ ทั้งยังแข็งแกร่งราวกับคนคลั่ง รั้งอันดับที่ 5 ในหมู่ศิษย์สายหลักสำนักละอองหมอก ทั้งยังทำสถิติน่าขวัญผวา เอาชนะคู่ต่อสู้สามร้อยคนได้ในครั้งเดียว แล้วจะมีใครไปกล้าท้าเขาสู้?
เมื่อพวกคนจากสำนักไร้สิ้นสุดเห็นซู่หลีม่อเอ่ยขึ้นมา ต่างก็ปิดปากเงียบลงทันที พวกเขายังไม่สิ้นสติพอจะไปทำให้คนบ้าขุ่นใจหรอก
ชายชราเครายาวเหมือนจะได้ยินเสียงถกเถียง แววตาประกายวับพลางมองเด็กสาวนิ่ง จากนั้นเอ่ยปากขึ้นว่า “แม่หนู หุบเขาไร้กังวลของเราไม่ด้อยไปกว่าสำนักละอองหมอกเลย หากเจ้าเข้าหุบเขาไร้กังวลของเรา จะให้เจ้าเป็นศิษย์อันดับสูง ได้รับเกียรติยศสูงสุดทีเดียว”
เขาอยู่มานาน สายตาไม่เคยมองคนผิด เด็กสาวผู้นี้ไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
เหยียนเจวี๋ยกับเหล่านักฆ่าทั้งหลายชะงักค้างไป เกิดอะไรขึ้นกัน?
อาจารย์ลุงกำลังขโมยศิษย์จากสำนักอื่นดื้อ ๆ เช่นนี้งั้นหรือ? หรือเพียงเพราะนางอยู่สำนักคู่แค้นจึงคิดชิงเอาตัวมากันแน่?
ศิษย์สำนักละอองหมอกได้ยินแล้วไม่พอใจในทันที ชายแก่ที่โผล่มาจากที่ไหนไม่รู้ จู่ ๆ มาพูดจาไร้เหตุผลเช่นนี้ได้แล้วหรือ?
พวกเขามาเข้าร่วมงานงานสานสัมพันธ์สามสำนักใหญ่ งานกำลังดำเนิน เจ้าแก่นี่กลับคิดจะชิงคนเอาซึ่งหน้าเช่นนี้เลยน่ะหรือ?
ซู่หลีม่อคิ้วกระตุกยิก ๆ กำลังคิดจะระเบิดอารมณ์ก็พลันเห็นเด็กสาวผู้งดงามก้าวขึ้นมาสองก้าวก่อนจะเอ่ยยิ้ม ๆ
“ขอบคุณผู้อาวุโสที่เมตตา แต่ข้าเป็นศิษย์สำนักละอองหมอกแล้ว คนเราต้องไม่ทำตัวเนรคุณ หากข้าทิ้งสำนักไปจริง ท่านอาจารย์ในสำนักคงผิดหวังในตัวข้านัก ท่านไม่คิดหรือว่าคนในหุบเขาไร้กังวลจะไม่มีความคิดสงสัย ว่าต่อไปหากมีสำนักที่แกร่งกว่ามาข้าก็จะจากไปโดยง่ายเช่นกัน?!”
ชายชรานัยน์ตาเป็นประกาย ดูเหมือนจะประหลาดใจเล็กน้อย นางไม่ได้ปฏิเสธ แต่กลับหาเหตุผลที่เขาค้านไม่ได้ขึ้นมา เขาจึงหัวเราะเบา ๆ “เช่นนั้นข้าก็ไม่บังคับสหายน้อยหรอก ได้แต่หวังว่าต่อไปสหายน้อยจะมาเป็นแขกหุบเขาไร้กังวลของเราให้บ่อยหน่อย”
พูดจบก็ยัดบางอย่างใส่มือชิงอวี่อย่างรวดเร็ว จากนั้นก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยเหมือนขามา
ชิงอวี่ชะงักไป กะพริบตามองของในมือด้วยความฉงน เห็นเป็นหยกทรงกลมสีเขียวอยู่ในมือ บนหินหยกมีคำว่า “ฝา[1]” สลักไว้อย่างวิจิตรบรรจง
“นี่…..”
คนอื่นอาจไม่รู้ ทว่าเหยียนเจวี๋ยรู้ดีว่ามันคืออะไร อดมุมปากกระตุกไม่ได้ “เร็ว ๆ นี้อาจารย์ลุงไปพบเจอเรื่องสะเทือนใจอะไรมาหรือไม่? เอาของแบบนั้นให้คนอื่นไปได้อย่างไร…..”
“มันคืออะไรหรือ?” นักฆ่าระดับเซียนที่ยืนอยู่ไม่ไกลถามขึ้น
“มันคือป้ายคำสั่งหัวหน้าหอสวรรค์ลงทัณฑ์ พวกเจ้าลืมไปแล้วหรือ? แม้อาจารย์ลุงจะชอบทำตัวประหลาดคาดเดาไม่ได้ แต่ก็ยังเป็นผู้นำของห้าหัวหน้าหอแห่งหุบเขาไร้กังวล ผู้ถือครองป้ายคำสั่งหอสวรรค์ลงทัณฑ์มีอำนาจสั่งการศิษย์อย่างน้อยครึ่งหนึ่งของหุบเขา อำนาจรองจากตำหนักนักฆ่าเพียงเท่านั้น”
เหยียนเจวี๋ยอธิบาย สายตาพลันมองชิงอวี่ “นางได้รับความชื่นชอบจากอาจารย์ลุงมากเช่นนี้ คงจะมีฝีมือสูงส่งมากเป็นแน่”
มือนางถือป้ายคำสั่งหอสวรรค์ลงทัณฑ์ที่มีอำนาจล้นเหลือไว้ ชิงอวี่รู้สึกราวกับกำลังถือเผือกร้อน เอ่ยขึ้นพลางขมวดคิ้วว่า “ของชิ้นนี้ ข้าขอร้องให้ท่านช่วยนำไปคืนอาจารย์ลุงของท่านได้หรือไม่? ข้า…..”
“แม่นางไม่จำเป็นต้องปฏิเสธของหรอก ในเมื่ออาจารย์ลุงมอบ ป้ายคำสั่งหอสวรรค์ลงทัณฑ์ ให้เจ้าแล้ว หมายความว่าเขาไว้วางใจมอบมันให้เจ้าถือครอง ดังนั้นแม่นางนับเป็นแขกของหุบเขาไร้กังวล เมื่อมีป้ายคำสั่งนั่นแล้วก็จะสามารถเข้าออกหุบเขาได้ตามแต่ใจอยาก” เหยียนเจวี๋ยเอ่ยพลางหัวเราะเบา ๆ
ทุกคนจึงประหลาดใจขึ้นมา
แม่นางผู้นี้จะโชคดีไปถึงไหนกัน? ถึงกับได้รับสิทธิ์ไปไหนมาไหนในหุบเขาไร้กังวลได้ตามใจอยากเช่นนี้
อีกทั้งนางเป็นศิษย์สำนักละอองหมอกไม่ใช่หรือ? สองสำนักนี้เบาะแว้งกันมาตลอด หุบเขาไร้กังวลไม่กลัวนางจะแอบมาสืบความลับหุบเขางั้นหรือ? มองอย่างไรก็น่าประหลาดใจนัก
ชิงอวี่ได้ยินแล้วก็เก็บของไปแต่โดยดี มีโอกาสค่อยคืนให้ผู้อาวุโสก็แล้วกัน!
“ทุกท่านตามข้ามาได้หรือไม่?”
ที่ก้นผานั้นแตกต่างจากด้านบนมาก มีสีเขียวชอุ่มพุ่มไม้เขียวอยู่เต็มไปหมด ฤดูหนาวยังไม่ทันผ่าน แต่ที่นี่กลับต่างจากสำนักละอองหมอกอันหนาวเหน็บนัก เนื่องจากที่นี่อบอุ่นดี เห็นขุนเขาและน้ำตกงดงาม รื่นหูรื่นตานัก ไม่เหมือนกับที่อยู่ของมือสังหารเลือดเย็นเลยสักนิด
ทางฝั่งศิษย์สำนักละอองหมอก มู่ไหลกับหมิงอีอีเดินเข้ามาหาชิงอวี่ พานางกลับไปยังที่ที่ศิษย์ในสำนักรวมตัว
“ศิษย์น้องเล็ก เจ้าเก่งจริง ๆ รู้หรือไม่? ไม่เคยมีศิษย์สำนักละอองหมอกคนไหนที่สามารถเข้าออกหุบเขาไร้กังวลได้ตามใจมาก่อนเลยนะ ใคร ๆ ก็รู้ว่าหุบเขาไร้กังวลนั้นทำตัวลึกลับซับซ้อน ไม่เคยให้คนนอกย่างกรายเข้าภายในมาก่อน”
คนที่กล่าวคือชายหนุ่มท่าทางเหมือนสตรีจากภาควิชาพิเศษ นางหายตัวไปสองวัน หมอนี่ยังไม่รู้เรื่อง ช่างเป็นตัวไร้หัวใจจริง
ชิงอวี่เพียงแต่ยิ้มไม่เอ่ยความ
“เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง? ไม่เป็นไรแล้วหรือ?” มู่ไหลยื่นมือมาจะจับไหล่นาง แต่กลับคว้าถูกเพียงอากาศ
ชายหนุ่มที่ยืนเว้นระยะอยู่ด้านหลังชิงอวี่มาตลอดคว้าแขนเด็กสาวไว้ ดึงนางออกห่างจากหญิงสาว ทำให้หญิงสาวต้องเงยหน้ามอง เขาพลันยิ้มบางเอ่ยอธิบาย “แผลบนหลังนางยังไม่หายดี ระวังอย่าแตะโดน”
มู่ไหลสะดุ้งไป ก่อนจะเลิกคิ้วอย่างประหลาดใจ นางไม่เคยมองเขาเต็มตามาก่อน แต่นัยน์ตาของเขา….. เปลี่ยนเป็นสีดำตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?
ชิงอวี่จนใจอยู่บ้าง สะบัดมือเขาออกแล้วเลิกคิ้วมองเขา “ข้าไม่เป็นไร ท่านไม่ต้องกังวลขนาดนั้น”
โหลวจวินเหยายกยิ้มไม่ค่อยเป็นมิตรที่มุมปาก “อยู่ในระยะสายตาข้าสักสองเมตรเถอะ”
“…..” ตอนนี้นางกลายเป็นคนไม่น่าเชื่อถือแล้วหรือ?
ด้วยลั่วหลานจือมีธุระให้ต้องจัดการจึงจะติดตามมาภายหลัง ซู่หลีม่อยื่นอยู่กับหมิงจิ้ง มองเงาร่างสูงในชุดม่วงแล้วลูบคางครุ่นคิด “เขาเป็นใคร? ทำไมข้าไม่เคยเห็นเขามาก่อน?”
หมิงจิ้งตอบเสียงไร้อารมณ์ “ข้าก็ไม่เคยพบเขา”
ที่ปลายชุดคลุมพลันถูกดึงเบา ๆ ซู่หลีม่อจึงก้มหน้ามอง เห็นเด็กชายตัวเล็กกำลังแหงนหน้ามอง ใบหน้าน้อยดูเขินอายอยู่บ้าง จากนั้นเขาก็เอ่ยเสียงแผ่วขึ้น “ศิษย์พี่ห้า”
“ซิงถง?”
ซู่หลีม่อเลิกคิ้ว ด้วยเด็กน้อยตัวเล็กเหลือทน เขาเป็นคนตัวสูง ต้องก้มลงมองอีกฝ่ายทำให้เมื่อยคอนัก ดังนั้นเขาจึงยกร่างน้อยขึ้น อุ้มเด็กน้อยวางไว้ที่ศอกเสียเลย “อะไรหรือ? เจ้าคิดถึงศิษย์พี่ห้าหรือเจ้าพวกบ้านั่นมันแกล้งเจ้าอีกแล้ว?”
ซิงถงแก้มแดงน้อย ๆ ก่อนส่ายหัว
ศิษย์ห้าอันดับแรกของสำนักละอองหมอกมีสัมพันธ์อันดีต่อกันมาก ซู่หลีม่อที่รั้งอันดับที่ 5 มักจะคอยแล่นมาที่ภาควิชาพิเศษคอยช่วยดูแลคนอื่น ๆ อยู่เสมอ เวลาผ่านไปเข้าเขาก็สนิทสนมกับคนในภาควิชาพิเศษไปเอง
ซิงถงจึงเริ่มเรียกเขาว่าศิษย์พี่ห้า เด็กชายตัวเล็กร่างผอมแห้งผู้นี้เป็นเด็กดีและบริสุทธิ์ไม่น้อย ซู่หลีม่อค่อนข้างชอบเจ้าตัวจ้อยอยู่บ้าง เวลาคนอื่น ๆ ในภาควิชาแกล้งเขา ซู่หลีม่อก็จะคอยปกป้องเขา ซิงถงจึงชื่นชอบและเคารพศิษย์พี่ผู้นี้มาก
“ศิษย์พี่ห้า เขาเป็นอาจารย์ในภาควิชาพิเศษ เป็นอาจารย์ระดับเจ็ดดาวของเราเอง ชื่อโหลวไป่เชียน” ซิงถงตอบหน้าซื่อ ช่วยไขข้อสงสัยให้ซู่หลีม่อ
ซู่หลีม่อชะงักไป “อาจารย์ระดับเจ็ดดาว?”
“ขอรับ ได้ยินมาว่าท่านเจ้าสำนักเป็นคนแนะนำเขาด้วยตนเอง อีกทั้งเขายังมีความสามารถมาก ข้ามองเขาไม่ออกเลย” ซิงถงว่าแล้วก็มองเงาร่างในชุดม่วงด้วยสายตาระแวดระวัง
ชายหนุ่มมักมีรอยยิ้มเป็นมิตรประดับอยู่ แต่ก็อดรู้สึกเกรงกลัวเขาไม่ได้ โดยเฉพาะดวงตาคู่นั้นของเขา ไม่อาจจ้องมองมันตรง ๆ ได้เลย
ซู่หลีม่อได้ยินแล้วยิ่งสงสัย “จริงหรือ? ทำไมข้าถึงไม่เคยได้ยินเรื่องเขาเลย…..”
ไม่ทันได้คิดอะไรต่อ ความคิดก็ถูกขัด พวกเขาเดินเข้ามาด้านใน กำลังจะข้ามสะพานโซ่ ด้านล่างมีภูตผีและวิญญาณนับไม่ถ้วนซ่อนตัวอยู่ หากวอกแวกเพียงครู่ก็อาจถูกพวกมันดึงลงไปได้
ว่ากันว่ามีคนจำนวนมากที่ข้ามไปไม่ถึงอีกฝั่ง
สะพานโซ่ไม่ยาวนัก ยาวราวสามสี่เมตรเท่านั้น แต่จะข้ามมันก็ไม่ได้ง่ายดายเช่นนั้น
อีกทั้งแผ่นไม้ที่เป็นพื้นสะพานก็ดูเก่าและผุพังมาก โซ่สะพานเองก็ถูกลมแรงพัดไหว ๆ ดูอันตรายนัก
“ข้ามสะพานนี้ไปก็จะเป็นประตูใหญ่ของหุบเขาไร้กังวลแล้ว” เหยียนเจวี๋ยกล่าวกับทุกคนพร้อมรอยยิ้มบาง “สะพานนี้มีมานานก่อนก่อตั้งหุบเขาไร้กังวล ว่ากันว่าอายุเกือบร้อยปี ข้ามไปได้เพียงครั้งละคนเท่านั้น อีกทั้งยังต้องข้ามให้ถึงอีกฟากภายในสิบชั่วจังหวะที่ใจเต้น ไม่เช่นนั้นปีศาจด้านล่างจะดึงตัวลงไป”
พูดจบเขาก็ใช้ปลายเท้าตบพื้นเบา ๆ ก่อนที่เงาร่างสีแดงทั้งหลายจะข้ามสะพานไปอย่างรวดเร็ว ถึงอีกฝั่งในพริบตา กระบวนการเมื่อครู่สิ้นลดลงอย่างรวดเร็ว มากสุดแค่ชั่วสามจังหวะเสียงหัวใจ เป็นภาพน่าตื่นตานัก
นักฆ่าระดับเซียนนับสิบตามไปหลังจากนั้น กระโจนผ่านไปคนแล้วคนเล่า ไม่มีใครใช้เวลาเกินเจ็ดจังหวะเสียงใจเต้นสักคน
และทั้งหมดนั่น นอกจากจะเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อย สะพานโซ่ก็คืนสู่ความสงบนิ่งอีกครั้ง ไม่ได้ไกวไปมามากมาย แสดงให้เห็นถึงวิชาตัวเบาอันสูงส่งของคนเหล่านั้นมาก
“ดูไม่ได้ยากอะไร ให้ข้าลองก่อนแล้วกัน” ชายร่างใหญ่ว่าแล้วก็ค่อยก้าวเท้าขึ้นไปยังสะพานโซ่
เชิงอรรถ
[1] ฝา (罚) แปลว่า ลงโทษ