ตอนที่ 220 มองหาผู้ชายที่ดีพร้อม

ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80

ตอนที่ 220 มองหาผู้ชายที่ดีพร้อม

ตอนที่ 220 มองหาผู้ชายที่ดีพร้อม

หลินเซี่ยตกใจมากเมื่อเธอได้ยินว่าเจิ้งต้าหมิงพาเสิ่นอวี้อิ๋งไปที่บ้านเช่าของเขาจริง ๆ

เสิ่นอวี้อิ๋งนี่ก็ช่างใจกล้าบ้าบิ่นเหลือเกิน

เพื่อทำให้เจิ้งต้าหมิงยอมหุบปาก หล่อนถึงกับยอมนอนค้างคืนกับเขา

ผู้หญิงคนนั้นทำลงไปโดยสมัครใจหรือเพราะถูกเจิ้งต้าหมิงคุกคามกันแน่?

เพราะถ้าหล่อนถูกคุกคามจริง ทำไมถึงไม่เอ่ยปากขอความช่วยเหลือจากเสิ่นเถี่ยจวินล่ะ?

ชาติที่แล้วเธอไม่ค่อยเข้าใจสถานการณ์ความเป็นไปในระหว่างที่หล่อนตั้งท้องนังเด็กปีศาจคนนั้น

ตอนนั้นเธอเชื่อมาโดยตลอดว่าเด็กคนนั้นคือลูกของหลิวจื้อหมิง

แน่นอนว่าหลิวจื้อหมิงเองก็เชื่อว่าเด็กคนนั้นเป็นลูกของเขาเหมือนกัน

แต่เมื่อมองจากสถานการณ์ในตอนนี้ บางทีพ่อผู้ให้กำเนิดของเด็กปีศาจนั่นอาจไม่ใช่เขาก็เป็นได้

ชาตินี้เธอจะไม่ยินดีทุ่มเทชีวิตเลี้ยงลูกให้พวกเขาอย่างโง่เขลา และจะไม่สนับสนุนให้หล่อนมีที่ยืนในวงการบันเทิงเด็ดขาด ตั้งแต่วินาทีที่หล่อนตั้งท้องเด็กปีศาจ จะต้องเป็นวินาทีที่หล่อนถึงวาระอัปยศ

หลังจากที่หลินจินซานจากไป หลินเซี่ยก็บอกกับชุนฟางว่า “ชุนฟาง ไปฉีกประกาศรับสมัครพวกนั้นทิ้งเถอะ”

“เธอจะไม่รับสมัครคนอื่นแล้วเหรอ?” ชุนฟางถาม

“ไม่รับแล้ว”

คำพูดของหลิวลี่ลี่ในวันนี้ทำให้เธอนึกอะไรขึ้นได้บางอย่าง

เนื่องจากธุรกิจร้านตัดผมของรัฐซบเซา ทุกคนต้องหาทางออกเพื่อเอาตัวรอดอยู่แล้ว ดังนั้นเธอจึงตั้งใจว่าจะเข้าไปที่ร้านตัดผมของรัฐเพื่อเชิญช่างมืออาชีพมาทำงานด้วย

จากนั้นเธอจะแต่งตั้งชุนฟางเป็นหัวหน้าช่าง เผื่อจะตอบสนองความต้องการทำผมในแต่ละวันของลูกค้าได้มากขึ้น เพราะในช่วงเวลานี้ เธอต้องมุ่งความสนใจไปที่การออกแบบลุคให้กับเจียงอวี่เฟยในระหว่างการประกวด

ครั้งล่าสุดกรรมการชื่นชมสไตล์ที่โดดเด่นและสวยงามของเจียงอวี่เฟย ในการแข่งขันครั้งต่อไป เธอจะพยายามออกแบบสไตล์ที่แปลกใหม่ยิ่งขึ้น โดยใช้ทักษะเหล่านี้เป็นสะพานก้าวสำคัญในการเข้าสู่วงการแฟชั่น

เมื่อชุนฟางกำลังจะออกไปข้างนอก หลินเซี่ยพูดกับหล่อนว่า “แต่ถ้าคนอื่นถาม ให้บอกว่าได้คนแล้วนะ”

“โอ้” ชุนฟางออกจากประตูไปด้วยสีหน้าครุ่นคิด

ตอนที่หล่อนกำลังฉีกใบปลิวประกาศรับสมัคร ถังหลิงบังเอิญเดินออกมาจากร้านพอดี มองไปที่ชุนฟางแล้วถามว่า “ทำไมถึงแกะทิ้งแล้วล่ะ?”

ชุนฟางตอบตามคำแนะนำของหลินเซี่ย “เราได้คนแล้วค่ะ”

“โอ้” ดวงตาของถังหลิงขยับเล็กน้อย ผู้หญิงคนนั้นตกลงที่จะรับสมัครหลิวลี่ลี่จริง ๆ สินะ?

ถังหลิงตัดสินใจเดินเข้าไปในร้านตัดผมของหลินเซี่ย

หลินเซี่ยเห็นหล่อน ก็แสดงรอยยิ้มการค้าต้อนรับอีกฝ่ายอย่างมืออาชีพ “คุณถังอยากทำผมกับฉันเหรอคะ?”

“เปล่า ฉันเพิ่งให้ช่างจากฮ่องกงทำผมให้เมื่อไม่นานมานี้” ถังหลิงพูดพลางส่ายลอนผมของตัวเองเบา ๆ

ต้องบอกว่าถึงแม้ผู้หญิงคนนี้จะไม่ใช่คนสวยโดดเด่นอะไรมาก แต่หล่อนก็เป็นผู้หญิงที่แต่งตัวเก่ง ตั้งแต่ทรงผม การแต่งหน้า ไปจนถึงเสื้อผ้า ทุกอย่างบ่งบอกถึงความสง่างามเป็นเจ้าแม่แห่งแฟชั่น

วิธีการแต่งตัวสามารถบ่งบอกสภาวะทางการเงินของคนคนนั้นได้

แต่หลินเซี่ยกลับรู้สึกดูถูกเหยียดหยาม ดูเหมือนว่าหล่อนจะรีดไถเงินจากครอบครัวสามีเก่ามาได้ไม่น้อยเลย

ถังหลิงพูดกับหลินเซี่ยด้วยน้ำเสียงที่เป็นกันเอง “หลินเซี่ย ร้านตัดผมของฉันจะเปิดอย่างเป็นทางการวันมะรืนนี้แล้ว ฉันเลยตั้งใจมาเชิญคุณกับเจียเหอให้ไปร่วมพิธีเปิด”

หลินเซี่ยยังมีรอยยิ้มประดับบนใบหน้า “ได้สิคะ พวกเราต้องสนับสนุนคุณอยู่แล้ว”

ถังหลิงชี้ไปที่ประตูตึกถัดไปแล้วถามหลินเซี่ยอย่างสงสัย “จริงสิ ทำไมเซี่ยไห่ถึงยังไม่กลับมาอีก? เขาสัญญากับฉันว่าจะไปร่วมพิธีเปิดและเป็นคนตัดริบบิ้นให้ แต่ฉันโทรไปแล้วเขาไม่รับสายฉันเลย”

“คุณถังนี่ดูคุ้นเคยกับเถ้าแก่เซี่ยดีจังเลยนะคะ?”

ถังหลิงตอบยิ้ม ๆ “ก็ไม่เท่าไหร่หรอก เขาบอกว่าเขาเป็นเพื่อนของเจียเหอ และพวกเราก็จะกลายมาเป็นเพื่อนบ้านกันนับจากนี้ไป เขายังชวนฉันให้ออกไปข้างนอกกับเขาด้วยนะ แถมยังมีส่วนช่วยในการตกแต่งร้านของฉันไม่น้อย เลยถือโอกาสแลกเบอร์โทรศัพท์กันไว้ ยังไงก็มีไมตรีต่อกัน”

ภายในใจหลินเซี่ยอยากจะกลอกตามองบนสักร้อยรอบ

หล่อนคงเห็นว่าตัวเองจับเฉินเจียเหอไม่ได้แน่แล้ว เลยคิดจะหันไปจับเซี่ยไห่แทนสินะ?

ผู้หญิงม่ายคนนี้เลือกทิ้งสามีกับลูกชาย เพื่อมองหาผู้ชายที่ดีพร้อมและประสบความสำเร็จในชีวิตมากกว่า ที่สำคัญคือคัดหน้าตา

อย่างไรก็ตาม เซี่ยไห่อาจไม่รู้วีรกรรมของหล่อน

เมื่อหลินเซี่ยคิดว่าผู้หญิงคนนี้อาจจะกลายมาเป็นอาสะใภ้ของเธอในอนาคต เธอก็รู้สึกหนาวเยือกขึ้นมา

แต่เธอไม่สามารถเข้าไปยุ่งเรื่องส่วนตัวของเซี่ยไห่ได้

ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้แปลว่าเธอเปิดโปงโฉมหน้าที่แท้จริงของผู้หญิงคนนี้ให้เซี่ยไห่เห็นไม่ได้นี่

“เถ้าแก่เซี่ยเป็นคนดีมาก พอเห็นว่าฉันเป็นผู้หญิงอ่อนแอก็ยินดีช่วยอย่างไม่ลังเล ฉันรู้สึกซาบซึ้งสำหรับความช่วยเหลือจากเขามาก”

ถังหลิงจงใจเปิดเผยความรู้สึกของตัวเองต่อหน้าหลินเซี่ย ดวงตาของหลินเซี่ยฉายแววเยาะเย้ย พร้อมกันนั้นก็ส่งเสริมหล่อนอย่างให้ความร่วมมือ “คุณถังทั้งสวยและมีความสามารถ ถ้าฉันเป็นผู้ชาย ฉันก็ยินดีให้ความช่วยเหลือคุณเหมือนกันค่ะ”

ถังหลิงยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น ไตร่ตรองสักครู่ แล้วถามหยั่งเชิงอย่างเป็นธรรมชาติที่สุด “จริงสิ ฉันจำได้ว่าครั้งก่อนที่เราเจอกันในบ้านตระกูลเฉิน คุณเล่าเรื่องเพื่อนคนหนึ่งให้ฟังที่ว่าเพื่อนของคุณคนนั้นไปรู้เข้าว่าแฟนของตัวเองปิดบังประวัติการแต่งงาน สุดท้ายเป็นยังไงต่อไป?”

เมื่อหลินเซี่ยได้ยินแบบนั้น คิ้วของเธอก็กระตุกเล็กน้อย

คิดจะลองใจกันหรือไง?

เธอมองไปที่ถังหลิงและพูดอย่างจริงจัง “จากนั้นก็ไม่มีอะไรค่ะ เพื่อนฉันหลงใหลแฟนสาวคนนี้มาก เขาตั้งปณิธานไว้ว่าจะไม่แต่งงานกับใครนอกจากผู้หญิงคนนั้น ทั้งสองคนเลยแต่งงานกันแล้วใช้ชีวิตอย่างมีความสุข”

“เพื่อนคุณไม่ถือจริง ๆ เหรอเมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายเคยหย่าร้างและมีลูกแล้ว?” ถังหลิงถามด้วยรอยยิ้ม

“แน่นอนว่าเขาไม่รังเกียจ ดีซะอีกที่หล่อนเคยมีลูกมาแล้ว เพราะนั่นพิสูจน์ให้เห็นว่าผู้หญิงคนนั้นมีสุขภาพแข็งแรงดี และสามารถมีลูกให้เขาได้”

ถังหลิงเห็นว่าใบหน้าซื่อตรงของหลินเซี่ยเต็มไปด้วยความจริงจัง น้ำเสียงก็ดูเป็นธรรมชาติ ดูเหมือนว่าเธอไม่ได้โกหก

หล่อนจึงรู้สึกผ่อนคลายลง

ดูเหมือนว่าหลินเซี่ยจะพูดถึงเพื่อนบางคนจริง ๆ

ไม่ได้เล่าเรื่องนี้ขึ้นมาเพื่อแดกดันใคร

ครั้งล่าสุดเธอแค่เล่าเรื่องนั้นที่บ้านตระกูลเฉิน ไม่ใช่เพราะเธอรู้ความลับบางอย่างหรือจงใจมุ่งเป้าไปที่หล่อน

ถังหลิงยิ้มและตอบกลับว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ดีแล้ว”

คำตอบของหลินเซี่ยทำให้หล่อนมีความมั่นใจขึ้นอีกครั้ง

“คุณถังนี่ความจำดีจริง ๆ เลยนะคะ ฉันเกือบลืมแล้วว่าตอนที่อยู่ในบ้านตระกูลเฉินฉันพูดอะไรไปบ้าง แต่คุณยังจำได้”

ดวงตาของถังหลิงกะพริบปริบ แต่ยังคงพูดด้วยรอยยิ้ม “พอเห็นหน้าคุณฉัน ฉันก็นึกถึงเรื่องนั้นขึ้นมา”

“ถ้าอย่างนั้นฉันขอตัวก่อนนะ”

ขณะที่ถังหลิงกำลังจะเดินออกไป เฉินเจียวั่งก็เดินเข้ามา

ถังหลิงเห็นเขาก็ทักทายอย่างกระตือรือร้น “เจียวั่ง ทำไมมาที่นี่ได้?”

เฉินเจียวั่งพยักหน้ารับ “อืม”

“ช่วงนี้เธอเป็นยังไงบ้าง?” ถังหลิงมองเขาแล้วถามด้วยความห่วงใย

“ก็ดีครับ”

น้ำเสียงของเฉินเจียวั่งเต็มไปด้วยความไม่แยแส เขาเดินผ่านถังหลิง มองไปที่หลินเซี่ยแล้วพูดว่า “คุณปู่บอกให้ฉันมาที่นี่ ชวนเธอกลับบ้านไปกินข้าวมื้อเย็นด้วยกัน”

“หา?” หลินเซี่ยปวดหัวจี๊ดเมื่อได้ยินว่าเย็นนี้เธอจะต้องไปกินข้าวมื้อเย็นที่ชุนชนบ้านพักทหาร การไปที่นั่นหมายความว่าจะได้เจอกับเสิ่นเสี่ยวเหมย และทะเลาะกับหล่อนอย่างเลี่ยงไม่ได้

เธอพูดอย่างเชื่องช้า “วันนี้พี่ใหญ่ของนายอาจจะต้องอยู่ทำงานล่วงเวลา”

เฉินเจียวั่งบอกว่า “ไม่เป็นไร ไม่นานหู่จือก็เลิกเรียนแล้ว พวกเธอกลับบ้านกันก่อน พี่ใหญ่ฉันเลิกงานแล้วค่อยให้ตามกลับไป”

“งั้นก็ได้”

ชายชราส่งเฉินเจียวั่งมาที่นี่ ดูเหมือนว่าวันนี้ทั้งครอบครัวน่าจะอยู่ด้วยกันพร้อมหน้า

หลินเซี่ยทำได้เพียงยอมรับชะตากรรมของตัวเอง เธอพูดกับเฉินเจียวั่ง “ถ้าอย่างนั้นวานนายช่วยไปรับหู่จือให้หน่อยสิ”

“ไม่มีปัญหา”

เขาดูนาฬิกาแล้วพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นฉันไปก่อน”

หลินเซี่ยนึกอะไรบางอย่างออก จึงหยุดเขาไว้แล้วพูดว่า “นายผ่านมาแถวนี้ก็ดีแล้ว ฝากซื้อไม้ถูพื้นกับไม้กวาดจากร้านตรงหน้าทางเข้าโรงเรียนอนุบาลหน่อยสิ ไม้ถูพื้นในร้านเริ่มใช้งานไม่ได้แล้ว”

ใบหน้าหล่อเหลาของเฉินเจียวั่งยังดูเย็นชาเช่นเคย แต่เขาก็พยักหน้าอย่างเชื่อฟัง “อืม”

เขาถามต่อ “อยากได้อะไรอีกไหม?”

“ไม่แล้ว แค่ไปรับหู่จือกลับมาก็พอ”

“รู้แล้ว”

ถังหลิงยืนมองจากด้านข้าง มองดูลูกชายคนที่สามของตระกูลเฉินซึ่งโดยปกติแล้วไม่เคยเต็มใจจะพูดอะไรกับหล่อนเลยสักคำ แต่พอเห็นว่าหลินเซี่ยสามารถไหว้วานเขาได้ แสงริบหรี่ก็วาบขึ้นมาในดวงตา

ทั้งอิจฉาและไม่อยากเชื่อ

ถังหลิงยิ้มหวาน ถือโอกาสนี้พูดกับเฉินเจียวั่ง

“เจียวั่ง ช่วยกลับไปบอกคุณปู่เฉิน คุณย่าเฉิน กับลุงเฉินหน่อยสิว่าร้านเสริมสวยของฉันจะเปิดอย่างเป็นทางการวันมะรืนนี้แล้ว หวังว่าพวกเขาจะให้เกียรติมา”

เฉินเจียวั่งตอบไปส่ง ๆ “ไว้จะบอกให้”

“เธอก็มาด้วยสิ”

“ผมไม่ว่าง”

หลังจากที่เฉินเจียวั่งพูดจบ เขาก็หันหลังกลับและเดินออกจากร้านตัดผมไป จนถังหลิงรู้สึกเบื่อหน่าย

หล่อนนึกว่าเฉินเจียวั่งเปลี่ยนไปแล้ว แต่กลับกลายเป็นว่าข้อยกเว้นเพียงอย่างเดียวสำหรับเขาคือหลินเซี่ย

“เสี่ยวหลิน ฉันจะไปแล้วนะ วันมะรืนนี้อย่าลืมแวะมาด้วยล่ะ”

“ค่ะ”

ทันทีที่ถังหลิงออกไป ในร้านจึงเหลือเพียงหลินเซี่ยและชุนฟาง

หลังจากอดกลั้นไว้มาหนึ่งวันเต็ม ๆ ในที่สุดชุนฟางก็ทนไม่ไหว ถามหลินเซี่ยอย่างอ่อนแรงว่า “เซี่ยเซี่ย เธอจะรับหลิวลี่ลี่เข้าทำงานจริง ๆ เหรอ?”

หลินเซี่ยมองไปที่หญิงสาวที่ไม่สบายใจมาสองวันเต็มด้วยรอยยิ้ม “ฉันควรจ้างหล่อนมาสร้างปัญหาให้ตัวเองไหมล่ะ?”

“เธอไม่ได้ขอให้แม่นั่นไปลาออกจากที่เก่าหรอกเหรอ?” ชุนฟางมองหน้าเธออย่างไม่เข้าใจ

“ใช่ ฉันเป็นคนขอให้หล่อนลาออกจริง” หลินเซี่ยพูดด้วยรอยยิ้มที่แฝงด้วยความหมายบางอย่างบนใบหน้า “แต่ฉันไม่เคยรับประกันว่าหลังจากหล่อนลาออกแล้วฉันจะรับหล่อนเข้าทำงานแน่นอนนี่”

ชุนฟางเข้าใจสิ่งที่เธอหมายถึงทันที

หล่อนมองหลินเซี่ย เส้นสีดำหลายเส้นปรากฏขึ้นบนหน้าผาก

ร้ายกาจเกินไปแล้ว

หลินเซี่ยตบไหล่หล่อน และให้กำลังใจด้วยน้ำเสียงจริงใจ “ตั้งใจฝึกทำผมต่อไปนะ ช่วงเร็ว ๆ นี้ทักษะของเธอก้าวหน้าขึ้นมากเลย เดือนหน้าเธอน่าจะกลายเป็นช่างอย่างเต็มตัวได้แล้ว ไว้ฉันจะเพิ่มเงินเดือนให้นะ”

ชุนฟางได้รับความมั่นใจกลีบคืนทันที “ขอบคุณนะเซี่ยเซี่ย”

ไม่นานนัก เฉินเจียวั่งก็กลับมาพร้อมกับจูงหู่จือมาด้วย

ในขณะนี้มีลูกค้าอีกคนเข้ามาที่ร้านเพื่อตัดผม หลินเซี่ยขอให้พวกเขาอยู่รอสักครู่ หลังจากที่เธอตัดผมให้ลูกค้าคนนั้นเสร็จ ทั้งสามก็กลับบ้านด้วยกัน

ก่อนหน้านี้ในร้านมีถังหลิงอยู่ ดังนั้นหลินเซี่ยจึงไม่มีเวลาถามไถ่ ตอนนี้เธอจึงหันไปถามเฉินเจียวั่งว่า “ทำไมคุณปู่ถึงมาเรียกพวกเรากลับบ้านไปกินข้าวมื้อเย็นล่ะ? พี่รองกับพี่สะใภ้รองของนายกลับด้วยไหม?”

“พวกเขากลับแน่อยู่แล้ว” เฉินเจียวั่งมองหลินเซี่ยด้วยสายตาขุ่นเคือง น้ำเสียงบ่งบอกความห่วงใย “พี่สะใภ้รองกำลังตั้งท้อง เธอเตรียมรับมือไว้เถอะ หล่อนสร้างปัญหาให้เธอแน่”

หลินเซี่ยกลอกตาใส่ “ยังต้องเตือนฉันให้เตรียมพร้อมรับมือหล่อนอีกเหรอ? หล่อนสร้างความยุ่งยากให้ฉันมาตั้งแต่ฉันอายุห้าขวบ ฉันชินกับพฤติกรรมหล่อนยิ่งกว่าอะไรดี”

“ไปเถอะ ฉันไม่ตามใจหล่อนเพียงเพราะหล่อนยกเรื่องท้องมาอ้างหรอก”

พวกเขาทั้งสามขึ้นรถประจำทางมาลงที่ป้ายรถเมล์หน้าชุนชนบ้านพักทหาร ทันใดนั้นก็บังเอิญเจอกับเฉินเจียซิ่งและเสิ่นเสี่ยวเหมยที่กำลังยืนอยู่บนถนนแคบ ๆ หน้าบ้านพอดี

“โอ้ นี่ใครกัน? ในที่สุดเธอก็กล้ากลับบ้านแล้วเหรอ?”

ตอนแรกเสิ่นเสี่ยวเหมยยังเดินเหินได้ตามปกติ แต่เมื่อเห็นหลินเซี่ยก็รีบแอ่น ‘ท้อง’ ขึ้นมาจนหลังแอ่น พร้อมกันนั้นก็ทำท่าทางรวดร้าวราวกับใกล้จะคลอดในเร็ว ๆ นี้

จากนั้นก็หันไปขยิบตาและโบกมือให้เฉินเจียซิ่งเข้ามาช่วยประคอง

เฉินเจียซิ่งถึงกับพูดไม่ออกเพราะรู้ว่าการกระทำของเสิ่นเสี่ยวเหมยเป็นแค่การแสดงละครตบตา แต่เขาไม่กล้าปฏิเสธ ดังนั้นจึงจำใจต้องเดินเข้าไปประคองภรรยา

หลังได้รับการโอบประคองจากเฉินเจียซิ่ง เสิ่นเสี่ยวเหมยก็ค่อย ๆ เดินอย่างระมัดระวัง

ทำตัวราวกับเป็นหญิงสาวมัดเท้าบัว ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้เร็วถึงแม้ว่าแท้จริงจะทำได้

หลินเซี่ยไม่อยากเสวนากับอีกฝ่าย จึงจ้ำอ้าวเดินจากไปอย่างรวดเร็ว

เฉินเจียวั่งมองเสิ่นเสี่ยวเหมย พูดด้วยน้ำเสียงที่เป็นกังวลว่า “พี่สะใภ้รอง ผมว่าในเมื่อคุณเดินดี ๆ เหมือนคนปกติไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นผมไปบ้านลุงหลิวที่อยู่ข้าง ๆ ขอยืมรถเข็นของเขามาให้คุณนั่ง แล้วให้พี่รองช่วยเข็นดีกว่าไหม?”

………………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

โดนหลินเซี่ยนตลบหลังแล้วยัยลิ่วล้อ ลาออกมาก็เตะฝุ่นหางานใหม่ได้เลย

เสี่ยวเหมยพอเถอะ เล่นละครเหนื่อยไหม ทำไมต้องทรมานตัวเองขนาดนี้

ไหหม่า(海馬)