182 – ล่างูจงอาง
ครึ่งชั่วยามต่อมาเอี้ยนลี่เฉียงไปที่ถนนสายหลักและพบว่าถนนนั้นเต็มไปด้วยทหารลาดตระเวน
ตอนที่เขาเข้าไปในร้านก๋วยเตี๋ยว เขาได้ยินลูกค้าสองสามคนพูดถึงเหตุการณ์เมื่อคืนนี้ด้วยความสนใจ คนที่อยู่รอบตัวพวกเขาล้วนตั้งใจฟังบางคนลืมแม้กระทั่งก๋วยเตี๋ยวในชามของตัวเอง
“ได้ยินไหม งูจงอางเผาโกดังของชาวชาตูในเมืองเมื่อคืนนี้ ชาวชาตูต้องพบกับความสูญเสียครั้งใหญ่
พวกเขากล่าวว่าทุกอย่างในโกดังถูกเผาเป็นเถ้าถ่านโดยไม่มีอะไรเหลือทิ้งไว้เบื้องหลังเลย ความเสียหายครั้งนี้อย่างน้อยก็หลายหมื่นตําลึงทอง!” (หลังจากนี้จะใช้คําว่าตําลึงนะครับ เพราะว่าต้นฉบับเลิกใช้คําว่าเหรียญ)
“ได้ยินมาว่ามีคนชาตูตายไปเยอะมาก?”
“อย่างน้อยก็สี่สิบถึงห้าสิบคน…”
“ข้าได้ยินมาว่าร้อยคน พี่ชายของข้าคนหนึ่งทํางานที่สํานักงานบังคับใช้กฎหมาย เขาบอกข้าว่าพวกมันทั้งหมดถูกงูจงอางฆ่า! บางคนก็นอนตายอยู่ในโกดังเหมือนหมา ฮ่าๆๆ!”
“มันควรจะเกิดขึ้นมานานแล้ว!” ชายชราคนหนึ่งตบต้นขาตัวเองอย่างพอใจ
“ถ้ามีงูจงอางเพิ่มอีกสองสามคน ชาวชาตูในเมืองจะไม่กล้าหยิ่งยโสขนาดนี้!”
“จริง ถ้าทางการจัดการพวกมันไม่ได้ ก็ควรปล่อยให้มันเป็นหน้าที่ของงูจงอาง…”
เอี้ยนลี่เฉียงไม่คิดว่าชาวบ้านในเมืองผิงซีจะมีมุมมองเช่นนี้ต่อเหตุการณ์เมื่อคืน
ก่อนที่เขาจะกินก๋วยเตี๋ยวในชามของตัวเองหมด เจ้าหน้าที่ทางการก็เดินเข้ามาที่ร้านบะหมี่พร้อมกับติดป้ายประกาศจับงูจงอางตัวนั้นอีกครั้ง
รูปที่อยู่บนป้ายยังเป็นรูปเดิมเพียงแต่ว่าค่าหัวครั้งนี้เพิ่มขึ้นเป็น 1,000 ตําลึงทองแล้ว
ในวันที่ 30 ของเดือนเพ็ญเดือนสิบในตอนกลางคืน ไฟที่เอี้ยนลี่เฉียงได้จุดขึ้นในชุมชนชาตูได้ ก่อให้เกิดความโกลาหลในเมืองผิงซีอีกครั้ง
คนที่คิดว่างูจงอางจากไปเมื่อนานมาแล้ว เพิ่งรู้ว่าตอนนี้งูจงอางไม่เคยจากไป ไม่เพียงเท่านั้น เขายังก่ออาชญากรรมอีกครั้งซึ่งบ้ากว่าครั้งล่าสุดร้อยเท่า
งูจงอางได้เผาเสบียงสําคัญส่วนใหญ่ในโกดังของชาวชาต จํานวนเงินที่ชาวชาตูสูญเสียไปนั้นยากต่อการคํานวณ ไม่เพียงเท่านั้น งูจงอางยังคงสังหารหมู่ในอาณาเขตของชาวชาตูด้วยธนูอย่างไม่เกรงกลัวกฎหมาย
งูจงอางอาจสังหารชาวชาตูไปเพียงไม่กี่โหล แต่ด้วยข่าวลือต่างๆที่ปรากฏ ตัวเลขดังกล่าวพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว
ในเวลาเพียงสองวันสั้นๆ จํานวนคนชาตูที่เขาสังหารได้เพิ่มขึ้นเป็นมากกว่าสามร้อยคนจากเวอร์ชันที่เอี้ยนลี่เฉียงเคยได้ยิน
หนึ่งในข่าวลือที่ร้ายกาจที่สุดกล่าวว่าเมื่องูจงอางได้จุดไฟเผาโกดัง มีคนมากกว่าสอง ร้อยนอนอยู่ในนั้นและไม่มีใครสามารถหลบหนีจากไฟได้
เพื่อเป็นหลักฐานสนับสนุนข่าวลือนี้ ว่ากันว่าเมื่อยามในเมืองผิงซีตระหนักว่าโกดังของชาวชาตูถูกไฟไหม้ในคืนนั้น มีทหารทั้งกองพันรีบเข้าไปช่วยเหลือชาวชาตู
อย่างไรก็ตามพวกเขาถูกหยุดโดยชาวชาตูเหล่านั้นที่ไม่ต้องการให้ทหารคุ้มกันในเมืองผิงเข้าใกล้โกดังที่ถูกไฟไหม้ของพวกเขา
แม้ว่าในที่สุดพวกเขาจะทําความสะอาดโกดังแล้ว แต่พวกเขาก็ยังไม่ยอมให้อาหารเข้ามาใกล้
เหตุผลเบื้องหลังการกระทําของพวกเขา คือพวกเขาไม่ต้องการให้คนอื่นในเมืองผิงซีรู้ว่างูจงอางได้เผาคนชาตูมากกว่าสองร้อยคนจนเสียชีวิตในโกดัง
ข่าวลือนี้ชัดเจนและสมจริงมากจนคนจํานวนมากในเมืองผิงซีเชื่อจริงๆ อย่างไรก็ตามเอี้ยนลี่เฉียงรู้ดีว่าสิ่งที่คนชาตูกว่าสองร้อยคนถูกเผาทั้งเป็นในโกดังเป็นเรื่องไร้สาระทั้งหมด
มีเพียงเหตุผลเดียวที่ชาวชาตูไม่ต้องการให้ทหารรักษาการณ์ของเมืองผิงซีอยู่ใกล้กับโกดังนั้น ก็เพราะพวกเขาไม่ต้องการให้มีใครค้นพบคลังแสงที่ใต้โกดังมากกว่า
ไฟจากคืนนั้นกินเวลาเกือบตลอดทั้งวันต่อมา ภายใต้อุณหภูมิสูงเช่นนี้ แม้แต่เหล็กก็สามารถละลายได้ในที่เกิดเหตุ
ทุกสิ่งที่ซ่อนอยู่ในที่เก็บอาวุธที่ด้านล่างของโกดังนั้นจึงกลายเป็นเศษเหล็กโดยไม่มีอะไรเหลือเลย นี่เป็นการสูญเสียครั้งใหญ่ที่สุดของชาวชาต
ชาวชาตูคิดว่าความลับของพวกเขาปลอดภัย แต่เอี้ยนลี่เฉียงขโมยธนูสงครามจากโกดังของพวกเขาเมื่อคืนนี้และทิ้งมันไว้สักแห่งใกล้ๆสะพานเก้ามังกร
ธนูนั้นมีเครื่องหมายชัดเจนซึ่งเป็นตัวแทนของช่างอาวุธเขตของแคว้นกาน ดังนั้นจึงเป็นเงื่อนงําที่สําคัญมาก คนแรกที่มาถึงสะพานเก้ามังกรในคืนนั้นคือทหารที่อยู่ในเมือง
ถ้าธนูธนูเล่มนี้ตกไปอยู่ในมือของพวกเขา คนที่ฉลาดกว่าในกองทหารรักษาการณ์น่าจะเข้าใจอะไรบางอย่างจากธนูเล่มนั้น นี่เป็นสิ่งที่เอี้ยนลี่เฉียงสามารถทําได้มากที่สุดในเวลานี้ เพื่อเป็นการเตือนความจําที่เป็นมิตร
ชาวชาตูกําลังสมรู้ร่วมคิดกับตระกูลเย่ ตอนนี้เขาได้ทําสิ่งนี้ในอาณาเขตของเตาชาตูในเมืองผีงซี ไม่ว่าชาวชาตูจะเอะอะกับมันหรือไม่ ตราบใดที่งูจงอางไม่ถูกนําตัวขึ้นศาล ผู้ว่าการแคว้นผิงซี เย่เทียนเฉิงจะต้องเผชิญแรงกดดันมหาศาลจากทุกทิศทุกทาง
ดังนั้นตลอดทั้งวันทั่วทั้งเมืองจึงมีการออกค้นหาและล่าตัวงูจงอางตัวนั้นให้ได้ ไม่ว่าเป็นหรือตาย
ในเช้าของหลายวันต่อมาเอี้ยนลี่เฉียงวางแผนที่จะใช้เวลาบางส่วนในห้องสมุดของสถาบันศิลปะการต่อสู้เพื่อทําการค้นคว้า
เขาจําได้ว่าถึงแม้จะไม่มีคู่มือศิลปะการป้องกันตัวในห้องสมุด แต่ก็ยังมีคู่มือเบ็ดเตล็ด บทความเก่า บันทึก รูปภาพ ชีวประวัติ และอื่นๆอีกมาก
นอกเหนือจากวรรณกรรมคลาสสิก บันทึกประวัติศาสตร์และปรัชญาโบราณ เขาหยุดคิดไม่ได้ว่ากระบอกโลหะที่เขาพบจะมีประโยชน์อย่างไรบ้าง
แม้จะค้นหามานานเขาก็ยังไม่รู้ว่ามันถูกใช้เพื่ออะไร ดังนั้นเขาจึงต้องการค้นหารอบๆห้องสมุดเพื่อดูว่าเขาสามารถหาข้อมูลที่เกี่ยวข้องได้หรือไม่
อย่างไรก็ตาม เขาไม่ได้คาดหวังว่าตอนที่เขามาถึงสถาบันศิลปะการต่อสู้ เขาจะถูกเรียกตัวโดยสถาบันศิลปะการต่อสู้เพื่อส่งไปค้นหางูจงอางซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ “การฝึก”
สถาบันศิลปะการป้องกันตัวแคว้นผิงซีให้นักเรียนแบ่งเป็นกลุ่มละสามคน นักเรียนแต่ละกลุ่มถือคันธนูหนึ่งคัน ลูกศรหนึ่งซองนกหวีดสองอันประกาศจับงูจงอางและดาบสามเล่ม
พวกเขาแขวนป้ายระบุตัวตนของนักเรียนไว้ที่จุดที่เห็นได้ชัดเจนบนเอว ก่อนที่พวกเขาจะกระจัดกระจายไปทั่วทุกมุมของเมือง ผิงซี
เอี้ยนลี่เฉียง สือต้าเฟิง และเสื่นเต้ง รวมกลุ่มกันโดยสมัครใจ พวกเขาได้รับมอบหมายให้อยู่ด้วยกันโดยบังเอิญเช่นนี้
“มีข่าวลือว่างูจงอางเป็นฆาตกรต่อเนื่องที่โหดเหี้ยมและไร้ความปราณี ไม่เพียงเท่านั้น เขายังมีทักษะการยิงธนูมาก หากเราสามคนบังเอิญเจองูจงอาง เราไม่รู้ด้วยซ้ําว่าเราจะรอดหรือไม่
สถาบันศิลปะการต่อสู้ส่งพวกเราออกไปเพราะพวกเขาไม่สนใจชีวิตและความตายของพวกเรา!”
สือต้าเฟิงผู้ซึ่งตรงไปตรงมาเสมอมาเริ่มสาปแช่งอย่างฉุนเฉียวทันทีที่พวกเขาออกจากทางเข้าหลักของสถาบันศิลปะการต่อสู้
“งูจงอางนั้นฆ่าสุนัขชาตูเพียงไม่กี่ตัว และคนทั้งเมืองก็พากันตื่นตระหนกขณะที่ทุกคนตามหาเขา แม้แต่เงินรางวัลก็เพิ่มขึ้นเป็นสิบเท่า ชีวิตของชนชาติชาตูเหล่านั้นมีค่ามากกว่าพวกเราชาวฮั่นหรือไม่ ให้ตายเถอะ บัดซบจริงๆ!
“เจ้าจะพูดแบบนั้นก็ไม่ได้” เสิ่นเติ้งขี่ม้าออกไปอย่างเยือกเย็นแล้วหันมาพูดกับพวกเขาทั้งสองคนว่า
“แคว้นได้มอบทุนมากมายให้กับสถาบันศิลปะการต่อสู้ ตอนนี้ผู้ว่าการกําลังทํางานหนักเพื่อจับงูจงอางและระดมทุกคนที่เขาสามารถทําได้ในเมืองผิงซี ในฐานะที่เราเป็นหนึ่งในคนที่แข็งแกร่งที่สุดในเมือง พวกเราก็ควรจะทําตัวให้เป็นประโยชน์ด้วย”
“เงินเติ้งเข้าใจมันจริงๆ เฮ้ ลี่เฉียง ทําไมใบหน้าของเจ้าดูแปลกๆแบบนั้น?”
“อะแฮ่ม อะแฮ่ม… ไม่มีอะไร” ที่สีหน้าของเอี้ยนลี่เฉียงเป็นแบบนี้ก็เพราะเขาเกือบจะกลั้นหัวเราะไม่อยู่ เขาต้องแสร้งทําเป็นไอสองสามครั้งเพื่อปกปิดมัน
“ไม่มีทาง เจ้าเป็นคนไม่ซื่อสัตย์ ลี่เฉียง เจ้าต้องคิดอะไรบางอย่างในตอนนี้!” สือต้าเฟิงยังคงรบเร้าเขาต่อไป
“อันที่จริง ข้ากําลังคิดว่าสิ่งที่เราทําตอนนี้ไร้ประโยชน์อย่างสิ้นเชิง เอาจริงๆนะข้าคิดว่างูจงอางคงหนีไปนานแล้ว
กําแพงเมืองก็ไม่ใช่อุปสรรคสําหรับอาชญากรชั่วร้ายอย่างเขา ข้าได้ยินมาว่าบางคนที่มีความแข็งแกร่งเป็นอย่างมากพวกเขาสามารถบินบนท้องฟ้าได้อย่างง่ายดาย…”
“จริงอย่างที่เจ้าว่ากําแพงเมืองนี้ย่อมไม่สามารถป้องกันคนที่อยู่ในระดับปรมาจารย์นักรบได้ แต่สําหรับงูจงอ่างข้าได้ยินว่าเขายังไม่เป็นนักรบที่แท้จริงด้วยซ้ํา…” เสิ้นเติ้งกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง
“หวังว่าข้าคงจะคิดมากไปเอง” เอี้ยนลี่เฉียงกล่าว
“แต่บางที่งูจงอางอาจมีวิธีการลับๆล่อๆอยู่บ้าง เช่น ถ้าเขาใช้อุปกรณ์บางอย่าง มันก็ไม่ยากสําหรับเขาที่จะไต่กําแพงขึ้นเมื่อไม่มีใครสนใจ ทหารที่ปกป้องเมืองในเวลากลางคืนมักจะประมาทเล็กน้อยและหลับไปเป็นประจําอยู่แล้ว
อาจบางที่งูจงอางตัวนั้นคงจะหนีไปแล้วเพียงแต่พวกทหารไม่ต้องการให้ตัวเองมีความผิดจึงไม่ได้รายงานในเรื่องนี้” เสิ้นเติ้งพยายามคาดเดา
หลังจากนั้นเขาก็มอบคันธนูยาวให้กับเอี้ยนลี่เฉียงแล้วพูดว่า
“เจ้ายิงธนูเป็นหรือเปล่า ถ้ายิงเป็นเจ้าก็เป็นคนถือมัน”
“เคยฝึกยิงมาบ้างแต่ฝีมือมือค่อนข้างแย่ หากให้ข้ายิงมันจริงๆในระยะ 50 วาก็ไม่มีทางโดนเป้าแน่นอน…” เอี้ยนลี่เฉียงสายหัวแล้วเสริมว่า
“แล้วเจ้าล่ะเป็นไหม?”
เสิ่นเทิ้งยิ้มออกมาอย่างลึกลับและพูดว่า
“วิชายิงธนูของข้าก้าวเข้าสู่สวรรค์ชั้นแรกเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว”
ว้าว!”
เอี้ยนลี่เฉียงแสดงสีหน้า ตกใจ” และ ประหลาดใจ” “และรีบรีบส่งซองลูกธนูให้กับเสื่นเติ้ง
“เอาล่ะ ข้าจะรับหน้าที่นี้เอง…” เสิ้นเติ้งไม่ปฏิเสธและแบกมันไว้บนหลังของเขาอย่างภาคภูมิใจ
“ข้ารู้จักร้านหนึ่งทางทิศตะวันออกของเมืองที่ทําหม้อไฟอร่อยมาก งูจงอางก็เป็นคนเหมือนกันบางทีเขาอาจจะต้องการกินหม้อไฟอร่อยๆก็ได้ ถ้าเราไม่เจอเขาเราก็ถือโอกาสฉลองให้กับเสิ้นเติ้งก็แล้วกัน!” สือต้าเฟิงก็พูดขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง
เอี้ยนลี่เฉียงเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้าอย่างแรง
“เป็นความคิดที่ดี! หากว่าเราเจอเขากําลังกินหม้อไฟอยู่เราก็รีบเปานกหวีดทันที!”
เงินเติ้งเงียบอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่เขาจะพยักหน้า
“ใครจะไปรู้ บางทีงูจงอางตัวนั้นอาจจะอยู่ในที่ที่ใครก็คาดคิดไม่ถึง!”
หลังจากก้าวไปไม่กี่ก้าวทั้งสามคนก็หัวเราะออกมาพร้อมกัน..