183 – ผู้พเนจร
นับตั้งแต่วันแรกของเพ็ญเดือนสิบเอ็ด ภายในเมืองผิงซีก็มีนักล่าค่าหัวพเนจรและบุ คคลเดินทางเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ พวกเขาทําให้เมืองมีชีวิตชีวาเป็นอย่างมาก
คนพวกนี้มาที่นี่ก็เนื่องจากค่าหัวอันมหาศาลของงูจงอาง
หลังจากการมาถึงของผู้พเนจรมาอย่างไม่หยุดยั้ง บรรยากาศในเมืองผิงซีก็เต็มไปด้วยความคึกคัก
งูจงอางยังไม่ถูกจับได้ แต่ด้วยการมาถึงของผู้พเนจร มันกลายเป็นบททดสอบครั้งใหญ่ของการรักษาสันติภาพภายในเมืองผิงซี
ลําพังแค่งูจงอางตัวนั้นพวกเขาก็มีปัญหามากพอแล้ว สําหรับผู้พเนจรแต่ละคนไม่เพียงแต่เป็นนักรบที่มีทักษะ พวกเขายังไม่สามารถระบุชื่อได้ การคาดหวังว่าผู้พเนจรเหล่านี้จะปฏิบัติตามกฏนั้นเป็นไปไม่ได้เลย
อีกทั้งคนพเนจรเหล่านี้ยังเคยชินต้องขึ้นโรงขึ้นศาลพวกเขาจะมีวิธีการหลบเลี่ยงกฎหมายได้เป็นอย่างดี
ในระหว่างวันก็ไม่เป็นไร คนพเนจรเหล่านั้นเดินไปมาข้างนอกเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่เมื่อตกกลางคืนและท้องฟ้าก็มืดลง คนพเนจรเหล่านั้นจะเคลื่อนไหว
แต่ละคนสวมผ้าพันคอสีดําเพื่อซ่อนใบหน้าขณะที่พวกเขาเริ่มไต่จากผนังหนึ่งไปอีกผนังหนึ่งภายในเมืองผิงซี พวกเขามองหาเบาะแสโดยไม่สนใจกฎหมาย แม้แต่ห้องเล็กๆที่เอี้ยนลี่เฉียงเช่าใกล้สะพานเก้ามังกรก็ยังถูกค้นตลอดสองคืน
เพียงแต่เอี้ยนลี่เฉียงแสร้งทําเป็นไม่สนใจและหลับใหลไป คนเหล่านั้นก็เพียงเปิดกระเบื้องมุงหลังคาและส่องหน้าเข้ามาดูเท่านั้น หลังจากไม่พบอะไรพวกเขาก็จากไป
เนื่องจากงูจงอาง “ประกอบการค้า” ของเขาในที่พักของชาวชาต เมื่อผู้พเนจรมาถึงเมืองผิงซี หลายคนจึงไปสํารวจพื้นที่นั้นทันที
อย่างไรก็ตาม ชาวชาตูในเมืองผิงซีนั้นนิสัยเสียและหยิ่งยโสมานานแล้ว แม้ว่าพื้นที่ของพวกเขาจะอยู่ภายในเมืองผิงซีพวกเขาถือว่าฝั่งตะวันตกของเมืองเป็นอาณาเขตปกครองตนเอง ต่อให้เป็นเจ้าหน้าที่ทางการพวกเขาก็ไม่อนุญาตให้เข้าไป
ข้าราชการและคนทั่วไปในเมืองผิงซีล้วนไม่เต็มใจที่จะทําให้ชาวชาตูไม่พอใจ แต่ผู้พเนจรไม่สนใจเลย ตั้งแต่วันที่ 2 ค่ําเดือน 11 เป็นต้นไป เกิดเหตุการณ์หลายคืนติดต่อกันในพื้นที่ที่ชาวชาตูอาศัยอยู่
อย่างแรกคือกลุ่มลาดตระเวนของชาวชาตูที่มีปัญหากับผู้พเนจรในพื้นที่ของพวกเขา หน่วยลาดตระเวนสองสามคนเสียชีวิตจากเหตุการณ์นั้น หลังจากนั้นก็เกิดเพลิงไหม้ขึ้นติดต่อกันสองคืนในที่พักของชาวชาตู
เมื่อวันขึ้น 5 ค่ําเดือน 11 มาถึงเอี้ยนลี่เฉียงได้ยินว่าคนชาตูไปที่สํานักงานบังคับใช้กฎหมายพวกเขาในชั่วข้ามคืน
ชะตากรรมของคนชาตูที่หายไปเหล่านั้นไม่ได้ทําให้เอี้ยนลี่เฉียงสนใจมากนัก
แต่ในขณะเดียวกันมันแสดงให้เห็นว่าพวกผู้พเนจรรู้อะไรบางอย่างและการที่จะจับตัวงูจงอางได้มันอาจจะมีประโยชน์มากกว่าเงินค่าหัว 1000 ตําลึงทองเลยทีเดียว
เนื่องจากในคืนที่เกิดเหตุการณ์ ไม่ได้มีเพียงโกดังเดียวที่เกิดการสูญเสีย แต่แม้กระทั่งที่พักของผู้นําของชาวชาตูก็ยังถูกปล้นด้วย
ผู้คนในเมืองผิงซีไม่ค่อยรู้เรื่องนี้มากนัก อย่างไรก็ตามในความเป็นจริง เมื่อเอี้ยนลี่เฉียงออกจากที่พักของอาลีกจีน เขายังทิ้งเบาะแสไว้มากมาย
เขาฆ่าชาวชาติหลายคนในขณะที่เขาจากไป เขาฆ่าคนไปไม่น้อย หากมีใครเป็นคนช่างสังเกตก็ย่อมเข้าใจความหมายของเรื่องนี้อย่างแน่นอน
ทุกคนต่างเข้าใจว่าในการที่เขาเผาโกดังของชาวชาตูก็เพราะต้องการบุกเข้าไปปล้นบ้านของผู้นําชาวชาตูนั้นเอง
ดังนั้นเมื่อมีชาวชาตูถูกลักพาตัวไปเหตุผลก็น่าจะมาจากผู้พเนจรนพวกนั้น ต้องการรีดเอาความลับที่ซุกซ่อนอยู่ใต้โกดังและสิ่งอื่นๆ
ต้องเข้าใจว่าผู้พเนจรเหล่านี้บางคนก็เดินทางมาจากที่ไกลแสนไกล
หากพวกเขาไม่สามารถจับงูจงอางได้หรือถูกคนอื่นตัดหน้าไปก่อน ค่าใช้จ่ายที่พวกเขาเดินทางมาในครั้งนี้จะสูญเปล่า ดังนั้นพวกเขาจึงต้องหาประโยชน์ในระหว่างการเค้นหาไปด้วย
เอี้ยนลี่เฉียงไม่รู้ว่าผู้พเนจรสื่อสารกันหรือไม่ แต่ภายในเวลาไม่กี่วัน เขาก็รู้สึกได้ชัดเจนว่าผู้พเนจรภายในเมืองผิงซีมีจํานวนเพิ่มขึ้น และคนพวกนั้นก็เริ่มจะมีคนที่เป็นถึงระดับปรมาจารย์นักรบมากขึ้นเรื่อยๆ
นอกเหนือจากการปรากฏตัวในอาณาเขตของชาวชาตูแล้ว ในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา เมื่อตกกลางคืนครอบครัวที่ร่ํารวยบางครอบครัวก็ถูกผู้พเนจรเหล่านั้นปล้นชิงอีกด้วย
แม้ว่าในหมู่ผู้พเนจรจะมีคนที่มีเกียรติไม่ทําเรื่องพวกนี้ แต่ก็มีคนไม่น้อยในหมู่พวกเขาที่ชื่นชอบการกระทําแบบนี้เป็นพิเศษ อีกทั้งยังไม่ได้มีเพียงแค่คนสองคนด้วย
ในตอนกลางคืน เมื่อผู้พเนจรเดินทาง พวกเขามักจะสวมผ้าคลุมศีรษะหรือบางสิ่งบางอย่าง เพื่อปกปิดลักษณะของพวกเขา ตราบใดที่ไม่สามารถจับได้คาหนังคาเขาก็ยากที่จะจับมือใครดมได้
นอกจากการพังทลายของระบบความปลอดภัยภายในเมืองแล้ว การตรวจสอบที่ประตูเมืองก็ ละเอียดมากและเสียเวลามากขึ้นกว่าเดิมมาก
ในเวลาอันสั้น ทั่วทั้งเมืองผิงซีก็กลายเป็นสวนสัตว์ มันแทบจะกลายเป็นดินแดนนรกไปแล้ว แม้ว่าจะเดินไปตามตรอกซอกซอยไหน ทุกคนก็แทบจะมองเห็นกองทหารติดอาวุธเดินอยู่ทั่วเมือง
เนื่องจากระบบรักษาความปลอดภัยของเมืองแทบจะกลายเป็นหายนะ และมีผู้แข็งแกร่งมากมายออกมาเที่ยวปล้นฆ่าในเมืองอย่างต่อเนื่อง สถาบันศิลปะการต่อสู้ของแคว้นผิงซีจึงยกเลิกไม่ให้นักเรียนออกลาดตระเวนอีก
ในเช้าของวันหนึ่งหลังจากที่เรียนวิชาดาบเสร็จสิ้นแล้ว เอี้ยนลี่เฉียงก็เดินเข้าไปในห้องสมุดของสถาบันศิลปะการต่อสู้เพื่อค้นหาสิ่งที่เขาต้องการ
หลังจากยืมตําราประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมเป็นจํานวนมาก เขายังยืมหนังสือประเภทอื่นอีกกองหนึ่งและเริ่มพลิกดูอย่างรวดเร็วในห้องสมุด
ในที่สุดสิ่งที่เอี้ยนลี่เฉียงต้องการก็ถูกพบภายใน คู่มือทหารที่มีพรสวรรค์
ชื่อจริงของกระบอกโลหะสีดํานั้นเรียกว่าปืนใหญ่มังกรอัคคี มันเป็นสิ่งที่นิกายลึกลับที่เรียกว่านิกายเกาะมังกรปีศาจ ซึ่งอยู่นอกขอบเขตของอาณาจักรฮั่นได้สร้างขึ้น
และแต่ละอันสามารถใช้ได้เพียงครั้งเดียว เมื่อใช้แล้วปืนใหญ่จะคายเปลวไฟอุณหภูมิสูงที่น่าสะพรึงกลัวออกมาซึ่งสามารถครอบคลุมระยะทางไกลได้
มันสามารถหลอมโลหะภายในสิบจ้างและไม่สามารถป้องกันได้ ปืนใหญ่มังกรสายฟ้านี้ถือเป็นอาวุธสังหารในระยะประชิดและระยะไกล
ผู้ที่มีระดับการฝึกฝนน้อยกว่าปรมาจารย์นักรบอาจพบว่าเป็นการยากที่จะเอาตัวรอดจากปืนใหญ่มังกรอัคคีได้
และจากหนังสือเล่มอื่นเอี้ยนลี่เฉียงก็พบคําตอบอย่างอื่นอีกด้วย
เขาได้รับสิ่งที่อยู่ภายในขวดสีดําที่ปิดผนึกไว้ด้วยขี้ผึ้ง นั่นคือพิษขโมยวิญญาณ พิษที่น่ากลัวชนิดหนึ่งที่มีต้นกําเนิดมาจากหุบเขามรณะของจักรวรรดิฮั่น
พิษชนิดนี้ไม่มีสีหรือสารและผสมกับน้ําได้ง่าย การใช้เพียงหยดเดียวผสมกับอาหารสามารถฆ่าคนหลายร้อยคน ถ้าใส่มันลงบนอาวุธและมุ่งหน้าเข้าสู่สงครามตลอดวันพิษก็ยังไม่ถูกชะล้างออกไป
เมื่อรู้ว่าสองสิ่งที่เขามีอยู่นั้นมีประโยชน์อย่างไร เอี้ยนลี่เฉียงก็รู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมาก นี่จะทําให้แผนการต่อไปของเขาสําเร็จลุล่วงไปด้วยดี