บทที่ 155 พี่เก็บไว้ป้องกันตัว

ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม

ณ ชานเมืองทางทิศตะวันออกของเมืองชิงถง ยามอู่*[1]

ขบวนเกี้ยวส่งตัวเจ้าสาวดังกระหึ่มไปด้วยเสียงตีกลอง เคลื่อนจากทิศตะวันตกไปยังทิศตะวันออกอย่างเชื่องช้า

เกี้ยวเจ้าสาวถูกยกขึ้นด้วยชายฉกรรจ์จำนวนสี่คน แสงอาทิตย์ยามวสันต์ได้สาดส่องลงมายังเกี้ยวสีแดงสด และชุดสีแดงบนตัวของเจ้าสาว ขับให้แสงแห่งความปีติยินดีสว่างโชติช่วง

ใบหน้าของทุกคนเปี่ยมล้นไปด้วยความยินดี มีเพียงเจ้าบ่าวที่ขี่ม้าตัวสูงใหญ่ด้านหน้าเท่านั้นที่ยังคงใบหน้าเรียบเฉย ราวกับว่าเจ้าสาวบนขบวนนี้ไม่เกี่ยวข้องกับเขา

“พี่ พี่ พี่ใหญ่หลิน!” ชายฉกรรจ์ที่แบกหีบห่อด้านหน้าสุดของขบวนส่งตัวเจ้าสาวได้เรียกเขาด้วยเสียงแผ่วเบา

หลินเหราดึงเชือกบังเหียนเล็กน้อย ก่อนจะหันหน้าไปถามว่า “มีอะไร?”

ชายฉกรรจ์ผู้นั้นเป็นประเภทที่มีความอดทนสูงกว่าบรรดาทหารประจำจวน นับตั้งแต่ที่เห็นความสามารถของหลินเหรา ก็ปฏิบัติตามคำสั่งเขามาโดยตลอด

เพียงแต่ตอนนี้หมดหนทางโดยแท้จริง จึงทำได้แค่เอ่ยปาก

เขาเอ่ยเสียงเบาด้วยสีหน้าจนปัญญา “พี่ใหญ่หลิน พี่ช่วยดีใจหน่อยสิ วันนี้เป็นวันแต่งงานของพี่นะ!”

แววตาของทุกคนหันมามองหลินเหราเป็นตาเดียว ชายหนุ่มจึงเลิกคิ้วสูงขึ้นเล็กน้อย

ก่อนที่เหยาเฉาจะจัดการตัวเอง เขาได้จัดระเบียบให้หลินเหราก่อน

หลังละลายของแข็งสีกากีซึ่งไม่รู้นำมาจากที่ใดแล้ว เขาก็ทาลงบนใบหน้าของหลินเหรา หน้าตาอันหล่อเหลาของชายหนุ่มพลันเปลี่ยนไปเป็นธรรมดาสามัญ

จากนั้นเขาก็หยิบวัตถุสีดำสำหรับวาดคิ้วออกมา ลงมือวาดคิ้วที่เดิมทีมีรูปทรงงดงามอยู่แล้วของหลินเหราให้ดูยุ่งเหยิงมากขึ้น ทำให้ทั่วทั้งร่างดูสดใสน้อยลง ต้องพูดว่า ทุกขั้นตอนนั้นดูเป็นธรรมชาติอย่างมาก

แม้ว่ารูปลักษณ์ของเขาจะไม่ได้ดูสะดุดตามากเพียงนั้นแล้ว แต่กลิ่นอายกลับยังคงแผ่กำจายออกมาเป็นพิเศษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสีหน้าที่ดูไม่เป็นมิตร เห็นเพียงครู่เดียวก็ทำให้หัวใจพลันเต้นโครมคราม

เฉินจิ่นรับหน้าที่เป็นคนยกหีบห่อแสดงความคิดเห็นด้วยเสียงแผ่วเบา “พี่ใหญ่หลินจินตนาการดู ครานี้คือการสู่ขอสะใภ้กลับบ้าน! จะต้องมีสีหน้าดีใจมากเพียงใด?”

หลินเหรารู้ว่าสีหน้าของตัวเองดูไม่ดีนัก เขาขมวดคิ้วเล็กน้อยราวกับกำลังตกอยู่ในห้วงความทรงจำ

นึกย้อนกลับไปในช่วงที่สู่ขอเหยาซู

ฐานะของหลินเหราไม่ถือว่าดีนัก พ่อหลินและแม่หวังไม่ค่อยถูกชะตากับลูกชายคนโตผู้นี้ รายละเอียดในพิธีแต่งงานล้วนเป็นหน้าที่ของหลินเหราตระเตรียมทั้งสิ้น

แต่เนื่องจากตอนนั้นเขายังเยาว์วัยนัก ทั้งยังเป็นการแต่งงานครั้งแรก ควรต้องเตรียมสิ่งใด ควรต้องจัดคนเท่าไร ล้วนไม่มีประสบการณ์ทั้งสิ้น สุดท้ายก็ยังมีส่วนที่ตกหล่นไม่รอบคอบ

ครั้นถึงตอนส่งตัวเจ้าสาว ชุดแต่งงานบนร่างกายของเขาก็เป็นชุดคลุมยาวสีแดงที่เคยนำมาให้ลูกชายของหลี่เจิ้งสวมใส่ออกจากบ้านในคืนก่อนแต่งงาน

ประกอบกับฝ่ายหญิงเป็นบุตรีที่ตระกูลเหยาโปรดปรานที่สุด สินเดิมแต่งงานของฝ่ายหญิงจึงได้รับการเพิ่มขึ้น

วันส่งตัวเจ้าสาว ลูกน้องที่หลินเหราเตรียมไว้นั้นไม่เพียงพอ จนเกือบจะไม่ได้รับตัวเจ้าสาวแล้ว

แม้ว่าหลินเหราจะเตรียมใจมาพร้อมเพียงใด แต่ไม่ว่าอย่างไรผู้อาวุโสรองตระกูลหลินก็ไม่มีทีท่าจะยกยอปอปั้นเขาสักนิด

ตลอดพิธีแต่งงานกลับทำให้ตระกูลเหยาไม่พอใจอย่างมาก เหยาซูเองก็รู้สึกไม่สบอารมณ์

เมื่อหลินเหราได้สติ จึงหันกลับไปมองขบวนแต่งงานอันแสนงดงามครู่หนึ่ง จากนั้นก็ชำเลืองไปมองขบวนส่งตัวเจ้าสาวที่บรรเลงเพลงอย่างคึกคัก ใบหน้าของทุกคนเปี่ยมไปด้วยสีหน้าแห่งความสุข จึงครุ่นคิดอยู่เงียบ ๆ

หากผู้ที่นั่งอยู่บนเกี้ยวแต่งงานคือเหยาซู เขาจะทำอย่างไร?

อื้อ เขาจะต้องเป็นคนนำพาเหยาซูออกมาจากตระกูลเหยาด้วยตัวเองอย่างแน่นอน จากนั้นก็พาหญิงสาวกลับบ้านของตัวเองด้วยความยินดีปรีดาและเต็มไปด้วยความคึกคักตลอดทาง จนกระทั่งนางกลายเป็นครอบครัวของพวกเขา

เมื่อเห็นกลิ่นอายของเจ้าบ่าวที่นำอยู่เบื้องหน้าไม่ได้ดูเย็นชามากถึงเพียงนั้นแล้ว ทั้งขบวนส่งตัวเจ้าสาวจึงดูคึกคักมากยิ่งขึ้น

เมื่อชายฉกรรจ์เห็นหลินเหราดูมีสีหน้าอ่อนโยนลง จึงหันไปพูดกับเฉินจิ่นเบา ๆ ว่า “สหายเฉิน เจ้านี่เก่งจริง ๆ”

เฉินจิ่นส่งเสียงกระแอมเบา ๆ พลางเอียงศีรษะเล็กน้อย “เอาล่ะ หยุดพูดได้แล้ว!”

เหล่าทหารทยอยกันเดินเข้าไปในป่าอย่างเชื่องช้า หากเคลื่อนผ่านป่าทึบแห่งนี้ไปก็จะเป็นส่วนที่มองเห็นได้สุดลูกหูลูกตาแล้ว ทั้งยังออกห่างจากเขตแดนของภูเขาทั้งสองฝั่ง

พ่อค้าที่ไปมาหาสู่โดยส่วนใหญ่จะต้องเจอกับโจรภูเขากลางป่า ซึ่งที่แห่งนี้จะเป็นสถานที่ที่หลินเหราและเหยาเฉาถูกจับเป็นเชลย

พวกเขาบรรเลงเพลงเสียงดังไปตลอดทาง โจรภูเขาเฮยหู่และภูเขาไป๋หู่ล้วนมีสายสืบ ไม่มีทางที่พวกเขาจะไม่รับรู้แน่นอน

หากออกจากป่าภูเขาไปแล้วยังไม่เจอแม้แต่เงาของโจร เช่นนั้นแล้วจะถือว่าแผนการนี้ล้มเหลว

ความกระวนกระวายใจล้วนเกิดขึ้นภายในใจของทุกคน เสี้ยววินาทีที่เฝ้ารอเจอโจรภูเขาอยู่เงียบ ๆ ความกลัวเพียงอย่างเดียวในตอนนี้คือการตั้งรับไม่ทัน

กระทั่งเข้าไปในส่วนลึกของป่าทึบ หลินเหราเป็นฝ่ายหยุดม้าก่อนและแกล้งตะโกนเสียงดังว่า “ทุกท่านโปรดหยุดเดินก่อน เราพักกันครู่หนึ่งเถิด ดื่มชาสักจอกแล้วค่อยออกเดินทางต่อ”

สมาชิกในขบวนส่งตัวเจ้าสาวที่บรรเลงดนตรีอย่างสนุกสนานก็พากันวางปี่กลองในมือลง ผู้ที่ยกหีบห่อก็วางกล่องลงข้างกายก่อนนั่งลงพักผ่อน

ต้นไม้ยามวสันตฤดูพากันแตกยอด ป่าไม้ที่เดิมทีเป็นสีเหลืองอร่ามก็เริ่มกลายเป็นสีเขียว ดูมีชีวิตชีวายิ่ง แสงอาทิตย์ยามอู๋ที่ร้อนแรงมากพอได้สาดส่องเข้ามาในป่าทึบแห่งนี้โดยตรง ทำให้เกิดแสงสว่างขึ้นบางจุด

หลินเหรานำม้าที่ผูกด้วยดอกไม้สีแดงขนาดใหญ่บนศีรษะไปมัดติดกับต้นไม้ที่อยู่ด้านข้าง จากนั้นก็เดินมาตรงหน้าเกี้ยว

“พี่รอง” เขาเอ่ยเสียงเบา “ท่านยังสบายดีใช่หรือไม่?”

บนศีรษะของเหยาเฉาถูกปิดด้วยผ้าคลุมหน้าสีแดง ระหว่างทางถูกเกี้ยวโยกโคลงเคลงไปมาจนทั้งร่างแทบจะหกล้มหัวขมำเลยทีเดียว

ยากที่จะหยุดพักผ่อน แต่ในที่สุดก็ได้ผ่อนคลายบ้างสักที

“ยังทนได้…”

เอวของเหยาเฉาถูกกระโปรงรัดจนแน่น แม้อยากจะยืนก็ยังทำได้ลำบาก

เขายกชุดแต่งงานสีแดงที่หนักหน่วงบนร่างกายขึ้น แล้วปลดออกอย่างเงียบ ๆ ในที่สุดความอึดอัดก็พลันผ่อนคลายลง ชายหนุ่มขยับเข้าไปใกล้ม่านหน้าตาสีแดงบนเกี้ยว พลางเอ่ยด้วยเสียงทุ้มต่ำว่า “ถึงไหนแล้ว?”

หลินเหราโน้มตัวลงไปพูดเสียงเบาว่า “เราอยู่ในป่าแล้ว เตรียมตัวให้พร้อม”

เหยาเฉารีบเอ่ยเตือน “อีกเดี๋ยวหากมีโจรปรากฏขึ้นตัว ตราบใดที่ยังไม่เห็นเลือดให้อดทนไว้”

หลินเหราพูดคุยกับเขาที่นั่งอยู่บนเกี้ยวแต่งงานสีแดงดูลายตา ประกอบกับเหยาเฉาที่เอ่ยด้วยเสียงเบามาก จึงยากจะฟังออกว่าเป็นเสียงของบุรุษ ซึ่งนั่นทำให้เขารู้สึกแปลกประหลาดไปชั่วขณะ

“ข้าทราบแล้วขอรับ” หลินเหรายืดตัวขึ้น และพูดปลอบใจว่า “ไม่ต้องกังวล ก่อนออกเดินทางต่างก็กำชับไว้หมดแล้ว เหล่าพี่น้องของเรารู้ชัดเจนดี”

เหยาเฉาพยักหน้า กวาน*[2] ประดับผมอันหนักหน่วงบนศีรษะเกือบทำให้เขาหน้าขมำ เมื่อนึกขึ้นได้ว่าหลินเหราไม่เห็นท่าทางของตนเองจึงรีบเอ่ยขึ้นว่า “อื้อ พวกเจ้าระวังกันด้วย อย่ายืนโง่ให้โดนโจมตีได้เชียวล่ะ”

แผนการในครานี้ดูสมจริงสมจังมาก ขบวนส่งตัวเจ้าสาวของชาวชนบทถูกจัดได้อย่างยิ่งใหญ่โอ่อ่า ทั้งหมดล้วนแสร้งเป็นแค่ชาวบ้านธรรมดา เมื่อเจอโจรจะต้องไม่หวาดกลัวมากเพียงนั้น

จวนผู้ตรวจการจึงคัดเลือกทหารที่จะเข้าร่วมภารกิจอย่างละเอียดถี่ถ้วน ก่อนออกเดินทางก็กำชับอย่างละเอียด ครั้นเจอกับพวกโจรจริง ๆ ไม่ว่าอย่างไรห้ามบุ่มบ่ามเข้าสู้กับอีกฝ่ายโดยเด็ดขาด

การฝึกฝนโดยปกติของทหารประจำจวนมักจะโดนทรมานไม่น้อย ขอแค่ป้องกันจุดสำคัญในร่างกายให้ได้ ที่เหลือแม้จะบาดเจ็บผิวหนังภายนอกก็ย่อมไม่เป็นไร

ผู้ที่อาจจะถูกเปิดเผยตัวตนที่สุด กลับเป็นเหยาเฉาที่นั่งอยู่บนเกี้ยว

หลินเหราครุ่นคิด ก่อนเอ่ยกำชับอีกครั้ง “หากแผนการไม่สำเร็จ ในเกี้ยวมีดาบอยู่หนึ่งเล่ม ท่านจงเก็บเอาไว้ป้องกันตัว”

เหยาเฉาตะลึงงัน “เจ้าซ่อนดาบไว้ในนี้ตั้งแต่เมื่อใด? หากถูกพบเข้า…”

หลินเหราตัดบทเขาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ซ่อนไว้ในช่องลึกใต้ที่นั่งของท่านนั่นแหละ คลำเบา ๆ ก็เจอแล้ว”

เหยาเฉาใช้มือคลำหาอย่างละเอียด กระทั่งพบกับความแตกต่างบริเวณใต้ที่นั่ง จากนั้นก็กดลงเบา ๆ ‘แกร๊ก’ เสียงหนึ่งดังขึ้น ชั้นประกบขนาดเล็ก ๆ พลันเด้งออกมา

เขามองไปยังดาบอ่อนภายในชั้นประกบนั้นแวบหนึ่ง ตัวดาบที่บางเฉียบ แม้แต่สตรีที่มีศิลปะการต่อสู้เล็กน้อยก็ยังสามารถโลดแล่นได้ เป็นอาวุธป้องกันตัวที่ดีที่สุดสำหรับคนที่มีฐานะเป็นเจ้าสาว

เหยาเฉาเลื่อนกลับไปอย่างเงียบเชียบ และหันกลับไปเอ่ยเสียงต่ำว่า “เจอแล้ว”

หลินเหราพูดเสียงเบา “หากแผนการในครานี้ล้มเหลว ท่านเคลื่อนไหวไม่สะดวกให้หยิบดาบแล้วชิงหนีไปก่อน ข้าและเหล่าสหายจะขวางไว้ด้านหลัง จดจำเส้นทางไว้ ใช้ทางเล็กที่ม้าวิ่งไม่ได้”

เพื่อความสมจริง วันนี้เหยาเฉาได้สวมใส่ชุดแต่งงานที่มีน้ำหนักมากของสตรีจริง ๆ หากต้องหนีก็แค่ฉีกกระโปรงทิ้งและหนีไป

เวลานี้หลินเหรายังกำชับอีกหนึ่งประโยค ดูท่าคงเป็นกังวลหากเจอเรื่องไม่คาดฝัน เพราะเขาคือคนที่สลัดตัวหนีได้ยากที่สุด

ในใจของเหยาเฉารู้สึกสงบลง รู้สึกว่าน้องเขยผู้นี้ครั้นเทียบกับท่าทางเมินเฉยในตอนที่เจอกันครั้งแรก เปลี่ยนเป็นผู้ที่ได้รับความสนใจไม่น้อย

เขากุมมือขวาและพูดกับหลินเหราว่า “รู้แล้ว พวกเจ้าระวังตัวด้วย”

หลินเหรายืดตัวขึ้น และเดินกลับมายังตำแหน่งเดิมของตัวเอง

เหยาเฉาขยับกวานที่หนักหน่วงบนศีรษะเล็กน้อย จากนั้นก็เอนศีรษะพิงด้านหลัง ให้เกี้ยวแบกรับน้ำหนักของตัวเองเท่ากัน จากนั้นก็คาดคะเนแผนการของภารกิจอีกหนึ่งรอบในสมอง

เขาปิดผ้าคลุมหน้าลง ทำให้วิสัยทัศน์เบื้องหน้ากลายเป็นภาพสีแดง มองแล้วตาพร่ามัวไม่น้อย

เป็นกังวลในตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์ เหยาเฉาทำได้แค่ให้ตัวเองสงบสติอารมณ์ หลับตาลง และรอคอยอย่างเงียบ ๆ

[1] 午时 wǔshí อู่ฉือ แปลว่า เวลาอู่ หมายถึง ช่วงเวลา 11.00 – 13.00 น.

[2] กวาน คือสิ่งที่ชนชั้นสูงชาวจีนในสมัยโบราณใช้สวมครอบบนศีรษะ

สารจากผู้แปล

เชื่อว่าหลังจากนี้พี่เฉาคงจะเข็ดขยาดไม่อยากแต่งหญิงเป็นเจ้าสาวอีกแล้ว ดูแล้วเหมือนเอาพี่มาทรมานจริงๆ

แผนการนี้จะสำเร็จไหมนะ

ไหหม่า(海馬)