ตอนที่ 210 ลอบทำร้าย สังหารอย่างเด็ดขาด (3)
นายท่านตัดสินใจแล้ว เขาก็ทำได้เพียงปฏิบัติตามคำสั่ง ในเมื่อมีเพียงทางเลือกเดียว เช่นนั้นเขาก็ได้แต่จัดการเรื่องทุกอย่างให้เรียบร้อยอย่างสุดความสามารถ
ท่านผู้เฒ่าถงก้มหน้าลงไม่พูดสิ่งใด พ่อบ้านถงพูดต่อ “บ่าวได้ยินว่าซ่งจงคนนี้ไม่เพียงแต่สังหารคนได้รวดเร็วและไม่ทิ้งหลักฐาน ทั้งยังไม่เคยทำพลาดมาก่อน นอกจากนี้การเคลื่อนไหวของเขาก็มีสง่าอย่างมาก ลงมือรวดเร็วมากเช่นเดียวกัน เพียงหนึ่งกระบวนท่าก็จบชีวิตอีกฝ่ายโดยไร้ซึ่งความเจ็บปวด เป็นตัวเลือกที่ดีในการปลิดชีพ”
“ปลิดชีพ? ไม่เลว การปลิดชีพคุณชายใหญ่ผู้เป็นลูกหลานขุนนางใหญ่นั้นต้องเลือกผู้ที่สง่าผ่าเผย” เวลานี้ท่านผู้เฒ่าถงเพิ่งเงยหน้าขึ้น “พ่อบ้าน มาดูภาพวาดใหม่ที่ข้าเพิ่งวาดหน่อยเร็ว ว่าเป็นเช่นไรบ้าง”
หยิบกระดาษคัดลอกขึ้นมา เผยให้เห็นภาพวาดด้านหลัง สิ่งที่ปรากฏแก่สายตาคือภาพลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมือง
……
ผ่านไปอีกหนึ่งวัน แม้ว่าตลอดทางจะมีโจรกระจอกมาลอบทำร้าย แค่อิ่งซายกมือขึ้นก็จัดการอย่างง่ายดาย
นั่งรถม้ามานานสามสี่วัน มั่วเชียนเสวี่ยปวดเมื่อยไปทั่วตัว เปิดผ้าม่าน มองเห็นท้องฟ้าสดใส นางจึงขอลงจากรถม้า
หนิงเซ่าชิงเห็นว่าตลอดการเดินทางนั้นราบรื่น นั่งอยู่ในรถม้าจนหงุดหงิดแล้ว จึงยิ้มแล้วอนุญาตให้นางลงจากรถม้า
เดินลงมาจากรถม้า ให้คนจูงม้าของอิ่งซาและของตนมา จากนั้นสั่งอาซานไปเตรียมม้าให้กับมั่วเชียนเสวี่ย หมัวมัวเดินไปบอกด้วยความฉงน “คุณชาย คุณหนู…ขี่ม้าไม่เป็นเจ้าค่ะ”
หมัวมัวเห็นสีหน้าของหนิงเซ่าชิงที่เคล้าไปด้วยความตกตะลึง จึงรีบอธิบายว่าคุณหนูร่างกายอ่อนแอและป่วยง่ายตั้งแต่เล็ก ฮูหยินจึงไม่อยากให้นางต้องเหน็ดเหนื่อย แน่นอนว่านางย่อมไม่พูดว่าเมื่อก่อนคุณหนูเป็นคนขวัญอ่อน ไม่กล้ากระโดดขึ้นหลังม้า
“เอ่อ…” บุตรีของภรรยาเอกท่านแม่ทัพขี่ม้าไม่เป็นเนี่ยนะ หนิงเซ่าชิงคิดไม่ถึง ทว่ายากที่จะกลับคำพูด ทำสีหน้าเคร่งขรึมแล้วกระโดดขึ้นหลังม้า จากนั้นยื่นมือไปคว้าตัวมั่วเชียนเสวี่ยขึ้นมาบนหลังม้าของตน
มั่วเชียนเสวี่ยขึ้นไปบนหลังม้าอย่างรวดเร็ว หลังจากทุกคนมองนางครู่หนึ่งก็ถอนสายตากลับ แล้วกระโดดขึ้นหลังม้าตามๆ กัน พวกเขาขี่ม้าแล้วออกเดินทางช้าๆ
วัฒนธรรมพื้นบ้านของเทียนฉีนั้นไม่เปิดกว้าง คนสองคนขี่ม้าตัวเดียวกันเป็นเรื่องที่พบเจอได้ยาก แม้จะเป็นสามีภรรยากัน แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าคนนอกล้วนหลีกเลี่ยง
แม้ปกตินางจะเล่นกับหนิงเซ่าชิงต่อหน้าคนเหล่านี้โดยไม่รู้สึกอะไร แต่เมื่อกอดกันต่อหน้าทุกคนแบบนี้เข้าจริงๆ มั่วเชียนเสวี่ยรู้สึกเขินอายเล็กน้อย
แต่ว่า ม้าเคลื่อนไหวแล้ว หากไม่จับหนิงเซ่าชิงที่อยู่ด้านหน้า นางจะนั่งอยู่บนหลังม้าได้อย่างมั่นคงได้อย่างไร ด้วยเหตุนี้จึงยื่นมือออกไป จับเสื้อของหนิงเซ่าชิง
ทว่าหนิงเซ่าชิงกลับไม่พูดสิ่งใด จู่ๆ เขาก็คว้าแขนของมั่วเชียนเสวี่ย วางมือของนางไว้ที่เอวของเขา นางไม่คุ้นเคยกับม้า ไม่กล้าดีดดิ้น เมื่อถูกหนิงเซ่าชิงดึงตัว ร่างของนางจึงพุ่งไปด้านหน้า แนบชิดกับแผ่นหลังของเขา ส่วนแขนของนางก็กอดเอวของเขาอย่างเป็นธรรมชาติ
จากการกระโดกของม้า ร่างกายเสียดสีกันไปมา ท่าทางของทั้งคู่เย้ายวนอย่างมาก
หนิงเซ่าชิงยกแส้ม้าขึ้นตี ม้าวิ่งอย่างรวดเร็ว
มั่วเชียนเสวี่ยไม่เคยนั่งม้าเร็วมาก่อน แน่นอนว่าไม่อาจคุ้นชินในเวลาสั้นๆ ได้ ด้วยเหตุนี้จึงกรีดร้องด้วยความตกใจ
เสียงกรีดร้องของนางคล้ายเสียงออดอ้อน ใบหูของคนทั้งสองข้างแดงระเรื่อเล็กน้อย ทว่าไม่กล้าหันไปมอง ทุกคนล้วนขี่ม้าไปด้านหน้า
หลังจากมั่วเชียนเสวี่ยร้องด้วยความตกใจ นางก็ได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ ของหนิงเซ่าชิง นางย่อมรู้ดีว่าเขาจงใจแกล้งตน ด้วยเหตุนี้นางจึงอดไม่ได้ที่จะโต้กลับ หยิกเอวของเขาอย่างแรง ทว่าหนิงเซ่าชิงกลับคล้ายไม่รู้สึก เขาเอาแต่จดจ่อกับการตีม้า
มั่วเชียนเสวี่ยหยิกเขาสองที จนนางรู้สึกกระอักกระอ่วน จึงค่อยๆ ผ่อนแรง กอดหนิงเซ่าชิงจากด้านหลังด้วยความอ่อนโยน ศีรษะของนางแนบชิดแผ่นหลังของเขาอย่างเป็นธรรมชาติ
มุมปากของหนิงเซ่าชิงยกขึ้น แส้สำหรับตีไม้ไม่ได้ฟาดลงไป ความเร็วของม้าย่อมลดลงเล็กน้อย
ลมแผ่วเบาพัดผ่านแผงอกของหนิงเซ่าชิง ไม่กระทบดวงหน้าของมั่วเชียนเสวี่ยแม้แต่น้อย นางได้ยินเพียงเสียงลมพัดผ่าน มองต้นไม้ด้านข้างที่ถอยหลังไม่หยุด นางรู้สึกอิ่มเอมใจอย่างมาก
นางรู้สึกว่าความตึงเครียดในการหนีตายได้หายไปกับสายลม เวลานี้คล้ายกำลังท่องเที่ยวอย่างไรอย่างนั้น
ได้แต่ภาวนาให้เส้นทางนี้ไม่มีวันสิ้นสุด
มั่วเชียนเสวี่ยค่อยๆ หลับตาลง ทว่าหนิงเซ่าชิงกลับขมวดคิ้วเป็นปม
“มีคนมา” มือของหนิงเซ่าชิงที่จับบังเหียนม้าคลายลงเบาๆ มือที่จับแส้ม้ากุมมือของมั่วเชียนเสวี่ยที่อยู่ตรงเอวเอาไว้ แล้วพูดเสียงอ่อนโยน “เชียนเสวี่ยจับข้าให้แน่นๆ”
มั่วเชียนเสวี่ยได้ยินเช่นนี้จึงเงยหน้าขึ้น มองซ้ายมองขวา
นอกจากเห็นอิ่งซ่าขี่ม้ามาใกล้ม้าของพวกเขาแล้วนั้น ไม่พบความเคลื่อนไหวอื่นๆ
แต่ว่านางไม่กล้าประมาท บริเวณโดยรอบนอกจากเสียงเกือกม้าของพวกนางแล้ว เงียบจนผิดปกติ นี่มันไม่ถูกหลักวิทยาศาสตร์
ตั้งสติอยู่นาน มั่วเชียนเสวี่ยก็ได้ยินเสียงที่ซ่อนอยู่ในป่า
เสียงนั้นใกล้เข้ามาเรื่อยๆ คล้ายม้านับพันตัวกำลังวิ่ง
ป่าที่เงียบสงบดังกระหึ่มขึ้นมาทันที
หมัวมัว ชูอีและสืออู่ต่างขี่ม้าเข้ามาใกล้ มั่วเชียนเสวี่ยตึงเครียดไปครู่หนึ่ง นี่มันเกิดอะไรขึ้น จู่ๆ ก็เสียงดังเช่นนี้ คล้ายทหารนับพันม้านับหมื่นตัวกำลังวิ่ง ด้านหน้าไม่ใช่หมู่บ้าน ด้านหลังไม่มีร้านค้า นี่คือสนามรบเช่นนั้นหรือ
คล้ายอ่านใจของนางออก หนิงเซ่าชิงตบมือของนางเบาๆ เป็นการปลอบโยน “ไม่ได้มีคนมากขนาดนั้น”
คนพวกนี้เพียงแค่อาศัยเสียงที่ดังกระหึ่ม สร้างบรรยากาศที่น่าสะพรึงกลัวก็เท่านั้น อยากจะให้พวกเขาตกใจจนขวัญหนีตั้งแต่ยังไม่ได้สู้
หนิงเซ่าชิงหรี่ตาลง กลอุบายเด็กๆ เช่นนั้น ประเมินเขาต่ำเกินไปแล้วกระมัง หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง มั่วเชียนเสวี่ยค่อยๆ เห็นชัดขึ้น เป็นจริงตามที่หนิงเซ่าชิงบอก ภายใต้ความมืดยามค่ำคืนมีคนประมาณร้อยกว่าคน
ลมแรงจนฝุ่นตลบ เสียงเกือกม้าดังกึกก้อง ไอสังหารแผ่ซ่าน แสงจันทร์ก็ถูกชะล้างจนมืดสลัวไปมาก
แค่ว่า คนเหล่านั้นยังไม่ทันได้เข้าใกล้พวกเขา ชายชุดดำกลุ่มหนึ่งก็โผล่ออกมาจากทั่วทุกสารทิศ
หนิงเซ่าชิงหันหลังแล้วช้อนตัวมั่วเชียนเสวี่ยขึ้น สูดลมหายใจเข้าแล้วแตะเท้าเบาๆ พามั่วเชียนเสวี่ยเหาะเหินขึ้นไปบนซากกำแพงที่อยู่ไม่ไกล
หลังจากวางมั่วเชียนเสวี่ยลง หนิงเซ่าชิงก็หมุนตัวหันหลังยืนอยู่ด้านหน้าซากกำแพง เขายืนตัวตรงราวกับต้นใน ท่าทีแข็งแกร่งดั่งแสงแดด นัยน์ตาทอประกายภายใต้คิ้วทรงมีดดาบดั่งดวงดาวเยือกเย็น แววตาคู่นั้นกำลังจับจ้องการต่อสู้ด้านล่าง
ไม่ช้าก็เร็วคนเหล่านี้ต้องมา มาเร็วเช่นนี้ ก็ดีเหมือนกัน! เมื่อถึงเวลาจะได้ไม่ต้องมาพร้อมกัน มิเช่นนั้นในทางกลับกันจะทำให้เขารับมือไม่ทัน
หนิงเซ่าชิงมองการต่อสู้ที่ชุลมุนวุ่นวายด้านล่างด้วยความทระนง แสงอาทิตย์อัสดงทอประกายแสงสีทองลงบนตัวเขา คล้ายเคลือบร่างของเขาด้วยแสงสีทอง ทรงพลังยิ่งนัก
มั่วเชียนเสวี่ยมองหนิงเซ่าชิงจากด้านหลัง นางสัมผัสได้ว่าลมปราณของเขากำลังค่อยๆ เปลี่ยนทีละเล็กทีละน้อย
ตอนแรกที่พบเจอเขา ตัวของเขาแผ่ซ่านไปด้วยความผ่าเผย หลังจากถอดเสื้อคลุมหรูหรา ละทิ้งฐานันดรศักดิ์อันสูงส่ง นางคิดว่าเขาเป็นเพียงปัญญาชนอ่อนแอคนหนึ่งเท่านั้น
แต่หลังจากได้ใกล้ชิดกับเขาหลายวัน นางก็คิดว่าเขาเป็นเพียงบุรุษอ่อนโยนที่ทำตัวน่าขัดใจ ถึงขั้นคิดว่าเขามีความขี้ขลาดที่ตนไม่ค่อยชื่นชอบ
หลังจากนั้น ทันทีที่เขาปรากฏตัวก็ขับไล่คู่สามีภรรยาตระกูลจ้าวออกจากหมู่บ้าน ให้พ่อลูกหวังอวี๋ซานชดใช้บ้านและยังชดใช้เงิน ให้คำแนะนำกับนาง…ทำให้นางรู้สึกว่าบุรุษคนนี้นอกจากชอบกินน้ำส้มสายชูแล้ว ยังมีความร้ายลึก
หลังจากนั้น นางเปิดโรงงาน เขาคอยปกป้องนางเงียบๆ…
นอกจากด้านที่อ่อนโยนแล้ว เขายังมีด้านที่เจ้าเล่ห์ และยังมีด้านที่ตัดสินใจเด็ดขาด…
เช่นเดียวกับสิ่งที่เขาทำในตอนนี้ คนด้านล่างเข่นฆ่ากันเยี่ยงผักปลา แต่เขากลับนิ่งเฉย ยืนอยู่บนที่สูงเพื่อวิเคราะห์ความสัมพันธ์ทั้งในที่แจ้งและที่ลับอย่างละเอียด แล้วสังหารศัตรูในช่วงคับขัน ควบคุมสถานการณ์ทั้งหมด
เขาคือต้นไม้ที่สูงใหญ่ ภายใต้พายุฝนที่โหมกระหน่ำ หากอยากจะยืนอยู่ด้านหลังเขา ตนก็ต้องกลายเป็นต้นไม้ใหญ่ให้ได้