ตอนที่ 209 ลอบทำร้าย สังหารอย่างเด็ดขาด (2)

เหนียงจื่อของคุณชายขี้โรค

ตอนที่ 209 ลอบทำร้าย สังหารอย่างเด็ดขาด (2)

หัวหน้าตระกูลหนิงดื่มน้ำชา ไอสองสามครั้ง หลังจากลมหายใจกลับมาลื่นไหลดังเดิม เขาก็เงยหน้าขึ้น สีหน้าของเขาอิดโรย แม้ว่าจะไม่ใช่สีหน้าล้มป่วย ทว่าไม่มีความหนักแน่นและน่าเกรงขามเหมือนเมื่อครู่แล้ว

จั่งสุยเห็นนายท่านของตนกลับมาหายใจลื่นไหล จึงถามด้วยความระมัดระวัง “เรื่องที่นายท่านได้รับบาดเจ็บ เหตุใดแม้แต่กับหัวหน้าหอลับและหัวหน้าหอการเงินก็ต้องปิดเป็นความลับด้วยขอรับ หรือว่าพวกเขาเองก็…”

หัวหน้าตระกูลหนิงนิ่งเงียบ ทอดถอนหายใจ “การที่ปิดบังพวกเขาไม่ได้หมายความว่าไม่เชื่อใจพวกเขา แต่เพราะไม่อยากให้พวกเขากังวลก็เท่านั้น” หัวหน้าตระกูลหนิงคือเสาหลักของตระกูลหนิง คือที่พึ่งพิงทางใจของพวกเขา คือสวรรค์ในใจพวกเขา ตนห้ามเป็นอะไรเด็ดขาด

สาเหตุที่ไม่บอกพวกเขา ประการแรกเป็นเพราะไม่อยากให้ความมั่นใจในการทำงานด้านนอกของพวกเขาลดน้อยลง ประการที่สองเป็นเพราะเขาประเมิณตนเองสูงเกินไป ครั้งนี้เสียรู้ให้ผู้อื่น กระทั่งเวลานี้ยังหาตัวผู้อยู่เบื้องหลังตัวจริงที่วางแผนข่มเหงตระกูลหนิงไม่ได้ ไม่อยากจะเสียหน้าต่อหน้าบริวาร

เมื่ออ่อนแอก็ต้องแสร้งทำเป็นแข็งแกร่งเพื่อให้ศัตรูยำเกรง เมื่อแข็งแกร่งก็ต้องแสร้งทำเป็นอ่อนแอเพื่อลวงให้ศัตรูตกหลุมพราง!

อย่างน้อยก่อนเซ่าชิงจะกลับมา เขาไม่คิดจะให้สองคนนี้รับรู้

ในที่แจ้งตระกูลเซี่ยผลักสองแม่ลูกชั่วช้านั้นออกมา แต่ในที่ลับผู้ใดเป็นคนควบคุมแผนการทั้งหมด

คนคนนั้นคือฮ่องเต้? หรือว่าจะเป็นคนในตระกูลที่ทรยศใคร่อยากจะขึ้นเป็นหัวหน้าตระกูลเอง หรือว่าจะเป็นตระกูลคู่อริที่ใคร่อยากจะกำจัดตระกูลหนิงของเขาให้สิ้นซาก มีคนอยากได้เงินทอง มีคนอยากได้อำนาจ ทั้งยังมีคนอยากจะได้อำนาจลับของเขา…

เวลานี้มองดูแล้วคล้ายว่าตระกูลหนิงโชติช่วงอย่างมาก แต่ความเป็นจริงกลับมีภัยอันตรายมากมายซ่อนอยู่รอบตัว ขั้วอำนาจใหญ่หลายขั้วดั่งเสือที่จ้องจะตะครุบ สถานการณ์ซับซ้อนมาก แค่เพียงผิดพลาดเล็กน้อย ก็จะกลายเป็นเป้าการแข่งขันของขั้วอำนาจต่างๆ ทันที เขาจำต้องระมัดระวัง

เห็นหัวหน้าตระกูลทอดถอนหายใจเฮือกใหญ่ จั่งสุยจึงเปลี่ยนบทสนทนา “จะให้มีคำสั่ง กดดันตระกูลถงหรือไม่ขอรับ” ในเมื่อพวกเขากล้าลงมือกับคุณชายใหญ่แห่งตระกูลหนิง เท่ากับว่าท่านผู้เฒ่าถงรนหาที่ตาย

จั่งสุ่ยที่สามารถติดตามอยู่ข้างกายหัวหน้าตระกูล ทำหน้าที่ปรนนิบัติรับใช้อย่างแนบชิดย่อมต้องเป็นพ่อบ้านหนิง แค่ว่าหลังจากหัวหน้าตระกูลหนิงล้มป่วย พ่อบ้านหนิงจึงลงจากตำแหน่งแล้วให้บ่าวรับใช้คอยดูแลเรื่องในเรือน ส่วนตนก็ตั้งใจทำหน้าที่คอยดูแลหัวหน้าตระกูลหนิงเพียงคนเดียว

หัวหน้าตระกูลหนิงขมวดคิ้วอยู่นานพักใหญ่ “ทั้งหมดนี้รอเซ่าชิงกลับมา ค่อยให้เขาจัดการเอง อินทรีแข็งแกร่งอยากจะครองท้องฟ้า ย่อมต้องเรียนรู้ที่จะบินด้วยตนเอง”

“เช่นนั้นไม่ส่งคนไปดูแลความปลอดภัยของคุณชายใหญ่จริงๆ หรือขอรับ”

“ไม่ต้อง! หากเซ่าชิงสามารถกลับมาอย่างปลอดภัย เช่นนั้นข้าที่เป็นหัวหน้าตระกูลจะสนับสนุนทุกอย่างเพื่อให้เซ่าชิงได้ขึ้นเป็นหัวหน้าตระกูล”

นี่เป็นการทดสอบครั้งสุดท้ายของพ่อคนหนึ่งที่มีต่อลูก ถึงแม้จะโหดร้าย แต่ที่มากไปกว่านั้นกลับเป็นการปกป้องและคาดหวัง…

ยิ่งไปกว่านั้น เขาไม่เคยคิดว่าท่านผู้เฒ่าถงและสองแม่ลูกชั่วข้าคู่นั้นจะสามารถรับมือกับลูกชายของตนได้ หลายปีที่ผ่านมานี้เซ่าชิงเองก็ได้สร้างอำนาจของตนขึ้นมาอย่างลับๆ การที่เขาไม่พูดไม่ได้หมายความว่าเขาไม่รู้

พ่อบ้านถามขึ้นอีก “ด้านฮูหยิน…”

หัวหน้าตระกูลหนิงถลึงตาโตด้วยความโมโห “เรียกนางว่าสตรีชั่วช้า!”

“ขอรับ สตรีชั่วช้าซื้อใจคนอย่างไม่หวาดเกรง เหล่าฮูหยินอายุมากแล้ว ไร้เรี่ยวแรง จะให้บ่าวยื่นมือเข้าไปช่วยดูแลหรือไม่ขอรับ”

หัวหน้าตระกูลหนิงยกมือขึ้นปรามสิ่งที่พ่อบ้านพูด “ด้านเหล่าฮูหยินเจ้าไม่ต้องกังวล”

พ่อบ้านหนิงมองออกไปด้านนอกอย่างมีเลศนัย “เวลานี้ แม้แต่คนในเรือนแห่งนี้ก็ถูกซื้อตัวไปแล้วขอรับ…”

ทว่าหัวหน้าตระกูลหนิงกลับหัวเราะเบาๆ แล้วพูดขึ้น “คนที่ถูกซื้อตัวไปล้วนไม่ใช่คนซื่อสัตย์และจงรักภักดี เก็บเอาไว้ก็ไร้ประโยชน์ รอให้เซ่าชิงรับช่วงหัวหน้าตระกูลต่อจากข้า ประจวบเหมาะจะได้ทำการเก็บกวาดครั้งใหญ่…”

เขาต้องการที่จะรอให้ทุกคนไม่ระมัดระวัง รอปลาใหญ่ออกมา แล้วค่อยหว่านแห…

……

ถงจื่อจิ้งแกะสลักตุ๊กตาในมือเสร็จ เขาวางตุ๊กตาแกะสลักลงในกล่องอย่างระมัดระวัง จากนั้นหยิบลูกหมูฉบับน่ารักหนึ่งตัวออกมาจากกล่องอีกใบหนึ่ง เขาสั่งให้ถงจั่นเตรียมม้า แล้วขี่ม้ามุ่งหน้าไปยังหมู่บ้านหวังจยาด้วยความดีใจ

ไม่ได้ไปเยี่ยมพี่สาวมาหลายวันแล้ว ไม่รู้ว่าลูกหมูแกะสลักในมือจะทำให้นางยิ้มได้หรือไม่ ลูกหมูแกะสลักตัวนี้เขาแกะสลักตามภาพวาดนิทานเรื่องลูกหมูสามตัวที่นางเล่าให้ฟัง เขาใช้เวลาหลายวันมากกว่าจะแกะสลักเสร็จ

แต่ผู้ใดจะไปคาดคิดตอนไปถึงหมู่บ้านหวังจยา โรงงานเต้าหู้ยังคงมีคนพลุ่กพล่าน ส่วนเรือนในตระกูลหนิงกลับปิดสนิท

ถงจั่นเดินไปเคาะประตู นานพักใหญ่กว่าหมิงเย่ว์จะเดินมาเปิดประตูให้ เมื่อเห็นถงจื่อจิ้งยืนอยู่ด้านหลังเขา นางไม่กล้าพูดอะไรทั้งนั้น เดินกลับไปหยิบจดหมายแล้วพูดกับถงจั่นเสียงเบา “นี่คือจดหมายที่ฮูหยินฝากเอาไว้ให้คุณชายถง”

หลังจากยื่นจดหมายให้ นางก็ปิดประตูลง กลัวเขาเกิดวิปลาศขึ้นมา แล้วโยนนางออกจากเรือน

เหตุที่มั่วเชียนเสวี่ยไม่เอาจดหมายให้เขาล่วงหน้า นั่นเป็นเพราะกลัวเขาจะดื้อดึง ขอตามเข้าเมืองหลวงด้วย

ทั้งยังไม่กล้าที่จะไม่บอกลา นางกลัวถงจื่อจื้งจะคิดไม่ตก แล้วอาการกำเริบขึ้นมา แต่ความจริงมั่วเชียนเสวี่ยเป็นกังวลมากเกินไปแล้ว ปมในใจของถงจื่อจิ้งละลายไปแล้ว ได้รับการอบรมสั่งสอนจากจี้ซวี่เหยาทุกวัน ถงจื่อจิ้งกลายเป็นคนใจกว้างมานานแล้ว

คนที่สามารถทำให้หนิงเซ่าชิงเชิญมาจากที่ไกลห่าง ทำให้ท่านผู้เฒ่าถงพอใจตั้งแต่แรกเห็น ย่อมเป็นคนที่ความรู้และความสามารถในการพลิกแพลงไม่อาจดูแคลนได้

ถงจื่อจิ้งรีบแย่งจดหมายมาจากมือของถงจั่น ดึงจดหมายออกมา แล้วคลี่จดหมาย

จื่อจิ้ง

พี่ไปแล้ว พี่เข้าเมืองหลวงแล้ว

ตอนที่จื่อจิ้งเห็นจดหมายฉบับนี้ต้องโมโหมากแน่ๆ จื่อจิ้งอย่าโมโหเลย เมื่อโมโหมากๆ จะทำให้หมดหล่อเอาได้ รอให้พี่และพี่เขยอยู่ในเมืองหลวงได้อย่างมั่นคงก่อน พี่จะส่งคนมารับจื่อจิ้งไปเที่ยวเล่นที่เมืองหลวงแน่นอน

พี่มอบหุ้นของโรงงานเครื่องปรุงเซียนมั่วที่ตั้งอยู่ตรงหุบเขาด้านนอกเรือนตระกูลถงไปในนามเจ้าสองหุ้น เจ้าต้องช่วยพี่ดูแลโรงงานให้ดี นี่คือน้ำพักน้ำแรงของพี่ ใช้เวลานานกว่าครึ่งปีถึงจะสร้างขึ้นมาได้…

สุดท้าย อย่าหลับหูหลับตามาเมืองหลวง ต้องเชื่อฟังคำสอนของอาจารย์จี้ ตั้งใจร่ำเรียนให้ดี รีบรับช่วงดูแลตระกูลถงในเร็ววัน

จากพี่มั่วเชียนเสวี่ย

ถงจื่อจิ้งเงียบไปนานครู่หนึ่ง แล้วพับจดหมายใส่เข้าไปในซองจดหมายอย่างระมัดระวัง หลังจากนั้นดึงสัญญาในซองจดหมายออกมาดู เมื่อดูจบก็เก็บจดหมายเอาไว้ในอ้อมกอด แล้วยื่นสัญญาให้ถงจั่น

“เอาไปให้พ่อบ้าน ในเมื่อสัญญาฉบับนี้มีหุ้นของตระกูลถง เช่นนั้นก็ควรอยู่ในการดูแลของตระกูลถง”

เคยได้ยินจากอาจารย์จี้มานานแล้วว่าฐานันดรศักดิ์ของพี่เขยไม่ธรรมดา ไม่รู้ว่าการเข้าเมืองหลวงในครั้งนี้ของพี่สาวจะมีเรื่องให้นางเสียใจหรือไม่

ตอนกลางคืน ถงจื่อจิ้งเรียกจี้ซวี่เหยามาพบ

“อาจารย์จี้ จื่อจิ้งอยากเข้าเมืองหลวง”

“เมืองหลวงนั้นต้องเข้าอย่างแน่นอน เพียงแต่แซ่จี้คิดว่าตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาที่สมควร”

“เช่นนั้นอาจารย์จี้คิดว่าเมื่อใดจึงจะเป็นเวลาที่สมควร”

“ประการแรก อย่างน้อยคุณชายต้องสามารถปกป้องตนเองได้ หลังจากนั้น คุณชายต้องคิดหาวิธีครอบครององครักษ์ส่วนหนึ่งของตระกูลถง และอำนาจบางส่วนของตระกูลถง…”

หลังจากจี้ซวี่เหยาพูดถึงข้อดีข้อเสียมากมายจบลงเขาก็เดินออกไป

ถงจื่อจิ้งนั่งใช้ความคิดอยู่นานภายในห้อง แล้วบอกกับถงจั่น “ไปตามตัวพ่อบ้านมา ข้ามีเรื่องจะหารือกับเขา”

ห้องหนังสือของท่านผู้เฒ่าถง

ขณะที่ท่านผู้เฒ่าถงกำลังนั่งคัดลอก พ่อบ้านถงก็เปิดประตูเข้ามา

“นายท่าน เตรียมทุกอย่างพร้อมแล้วขอรับ ลงมือครั้งนี้ปลอดภัยแน่นอนขอรับ ไม่ได้ใช้องครักษ์ฝีมือดีของตระกูลถง ร่วมมือกับหน่วยกล้าตายลับบางส่วน ทั้งยังเชิญนักฆ่ามารับมือกับกระบี่มายาหยกของคุณชายใหญ่หนิงโดยเฉพาะอีกด้วยขอรับ”

“ทำได้ดีมาก! เมื่อเป็นเช่นนี้ก็จะไม่ทิ้งร่องรอยเอาไว้ วันข้างหน้าตระกูลหนิงมาเอาความ ก็ไม่อาจจับพิรุธตระกูลถงของข้าได้” ท่านผู้เฒ่าถงก้มหน้าก้มตาคัดลอกด้วยความตั้งใจ แค่เพียงพูดขึ้นเรื่อยเปื่อยเท่านั้น “ว่าจ้างผู้ใด”

พ่อบ้านถงตอบด้วยความเคารพ “นักฆ่าคนนั้นคือมือกระบี่ปลิดชีพที่มีชื่อเสียงในยุทธภพ เขาแซ่ซ่งนามจง เพราะใช้กระบี่ได้อย่างรวดเร็ว ตั้งแต่เข้ามาในยุทธภพไม่มีใครที่สามารถหนีรอดไปจากการไล่ฆ่าของเขา ดังนั้นเขาจึงได้ฉายานี้มาขอรับ”