บทที่ 163 เซวียนผิงโหว

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

ถึงแม้ฝีมือการบรรเลงเพลงของหลี่หวานหว่านมิอาจเทียบเท่าจวงเยว่ซีและกู้จิ่นอวี๋ได้ สุดท้ายจึงคว้าอันดับสองคู่กับจวงเยว่ซี

แม้การสอบคราวนี้กู้จิ่นอวี๋จะคว้าอันดับหนึ่งมาได้ แต่นางก็ไม่ได้ดีใจ

เพลงของหลี่หวานหว่านช่างสมบูรณ์แบบยิ่งนัก เลยทำให้รู้สึกกดดันมากยิ่งขึ้น

ทั้งที่อุตส่าห์รู้ล่วงหน้าตั้งแต่ตอนไปเยี่ยมซูเฟยแล้วว่าไท่จื่อเฟยจะเชิญอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญด้านดนตรีจากในวังไปเป็นกรรมการสอบ กู้จิ่นอวี๋จึงลงทุนเปลี่ยนทำนองเพลงเพื่อสร้างความประหลาดใจ ไม่เช่นนั้นคงไม่ยอมลงทุนลงแรงเพื่อการสอบเล็กๆ ในครั้งนี้หรอก เพราะต่อให้นางเล่นเพลงตามปกติ ไม่ว่ายังไงที่หนึ่งก็ต้องเป็นของนางอยู่ดี

รู้เช่นนี้ไม่เปลี่ยนทำนองเสียตั้งแต่แรกยังจะดีกว่าอีก

อย่างน้อยนางก็ได้ที่หนึ่งมาเพราะฝีมือ

พอมีเพลงของหลี่หวานหว่านมาเป็นข้อเปรียบเทียบ เพลงของกู้จิ่นอวี๋เลยกลายเป็นตัวตลกไปในพริบตา

คิดให้ตายยังไงกู้จิ่นอวี๋ก็คิดไม่ถึงว่าคนนอกสายตาอย่างหลี่หวานหว่านจะขึ้นมาทัดเทียมได้

หลังจากที่สอบเสร็จ อาจารย์เซี่ยอยู่ต่อในห้องดนตรี เพื่อชี้แนะให้หลี่หวานหว่าน ว่าจุดไหนที่นางยังต้องปรับปรุง แถมยังมอบกู่ฉินให้นางด้วย

แม้จะเทียบไม่ได้กับกู่ฉินฝูซี แต่รับรองว่าดีกว่ากู่ฉินในมือของหลี่หวานหว่านแน่นอน

กู้จิ้นอวี๋เดินออกไปจากห้องดนตรีอย่างไม่สบอารมณ์

ขณะที่กำลังลงบันได ก็บังเอิญเจอกับจวงเมิ่งเตี๋ยพอดี

จวงเมิ่งเตี๋ยสอบได้อันดับท้าย เดิมก็น่าโมโหอยู่หรอก แต่พอได้เห็นในสิ่งที่กู้จิ่นอวี๋ต้องเจอ ก็รู้สึกว่าตัวเองไม่ได้แย่ขนาดนั้น

จวงเมิ่งเตี๋ยวหรี่ตามองกู่ฉินฝูซีที่อยู่ในมือของคนตรงหน้า “ไอ้หยา อุตส่าห์มีของดีๆ อยู่ในมือแท้ๆ แต่สุดท้ายก็ถูกสกัดดาวรุ่งอยู่ดี ฝีมือก็มีอยู่แค่นั้น ยังกล้าจะเปลี่ยนทำนองอีก น่าขันชะมัด!”

เพลงของกู้จิ่นอวี๋แย่ขนาดนั้นเชียวรึ

ก็ไม่เสียทีเดียว

หากวันนี้หลี่หวานหว่านไม่เปลี่ยนทำนองเหมือนกันแล้วละก็ คนที่จะได้เป็นดาวรุ่งในวันนี้คงหนีไม่พ้นกู้จิ่วอวี๋

กู้จิ่นอวี๋ไม่เหมือนกับกู้เจียวที่มองทุกอย่างด้วยสายตาว่างเปล่า พอฟังเมิ่งเตี๋ยพล่ามจบ กู้จิ่นอวี๋ก็ปรี๊ดแตก “อย่างน้อยข้าก็สอบได้ที่หนึ่ง ขอถามซิว่าคุณหนูจวงสอบได้ที่เท่าไหร่”

กู้จิ่นอวี๋พูดแทงใจดำจวงเมิ่งเตี๋ยเข้าจังๆ จะให้เถียงกลับก็คงเถียงไม่ขึ้นอยู่ดี เลยเปลี่ยนมาใช้วิธีพูดไปเรื่อยแทน “เดี๋ยวนี้กล้าเถียงข้าแล้วรึ”

กู้จิ่นอวี๋ถอนหายใจหนึ่งทีก่อนตอกกลับ “จะว่าไปแล้ว ข้าเป็นท่านหญิง ตามมารยาทแล้ว เจ้าต้องโค้งคำนับให้ข้า แต่ในเมื่อที่นี่คือสถานศึกษา ทุกคนเท่าเทียมกัน ข้าก็จะไม่ยุ่งวุ่นวายกับเจ้า”

คราวนี้ กู้จิ่นอวี๋สะกิดต่อมโมโหของจวงเมิ่งเตี๋ยสำเร็จ ”ก็ดีแล้วนี่กู้จิ่นอวี๋ เป็นท่านหญิงแล้วยังไง อย่าคิดว่าข้าไม่รู้ตัวตนที่แท้จริงของเจ้า! เจ้าอย่าได้คิดหาเรื่องข้าจะดีกว่า! ไม่อย่างนั้น วันใดวันหนึ่งข้าอาจจะเผลอหลุดความลับของเจ้าออกไปก็เป็นได้!”

กู้จิ่นอวี๋เริ่มหน้าเขียว

นางรู้ว่าเมิ่งเตี๋ยพูดถึงเรื่องอะไร ตอนนั้นที่หมู่บ้านเวินเฉวียน ท่านพ่อพูดต่อหน้าท่านอันจวิ้นอ๋องว่านาง กู้เจียว และกู้เหยี่ยน เป็นแฝดสาม แต่จวงเมิ่งเตี๋ยดันรู้เรื่องอยู่ก่อนแล้ว

แล้วนางรู้ได้อย่างไร

แล้วอันจวิ้นอ๋องรู้เรื่องนี้หรือไม่

ครั้งก่อนที่เขามาเยี่ยมนาง เพราะเขาไม่รู้ความจริง หรือเขารู้อยู่แล้วแต่ทำเป็นไม่สนใจ

ในหัวกู้จิ่นอวี๋เต็มไปด้วยความสับสน

พอเห็นคนตรงหน้าแสดงท่าทีจิตใจไม่อยู่กะร่องกะรอย จวงเมิ่งเตี๋ยเลยคิดว่าตนพูดขู่สำเร็จ ทำหน้ากรอกตาไปมาก่อนจะเดินไปขึ้นรถม้าเพื่อกลับจวน

อีกฝั่งหนึ่ง อาจารย์เซี่ยได้ชี้แนะหลี่หวานหว่านเป็นที่เรียบร้อย

หลีหวานหว่านไม่รีบกลับ แต่อุ้มกู่ฉินเครื่องใหม่ไปยังศาลาเดิมที่นางชอบไปนั่งฝึกซ้อมอยู่คนเดียว ศาลาที่ว่าห่างไกลจากตัวอาคารเรียนมาก จึงไม่มีใครมารบกวน

“แม่นาง แม่นางอยู่ไหม” หลี่หวานหว่านมองไปที่กำแพง

ไม่มีเสียงตอบกลับ

ปกติเวลานี้นางควรจะอยู่สิ

หลี่หวานหว่านครุ่นคิดอยู่พักก่อนจะเอ่ยต่อ “แม่นาง ข้าสอบผ่านแล้ว ขอบคุณเพลงของท่านมาก!”

พอเอ่ยจบ เด็กสาวยืนรอคำตอบจากอีกฝั่งของกำแพง จนกระทั่งหิมะตก นางจึงอุ้มกู่ฉินเดินออกไปจากตรงนั้น

อีกฟากหนึ่งของกำแพง เถ้าแก่รองกำลังขนเก้าอี้ที่เพิ่งซื้อมาเข้ามาวางในสวนหลังโรงหมอ พลางถาม “เจ้าได้ยินเสียงเด็กผู้หญิงจากอีกฟากของกำแพงไหม เพลงอะไรนั่น”

กู้เจียวที่กำลังเปิดดูคู่มืออย่างขะมักเขม้นตอบ “ไม่รู้สิ”

เถ้าแก่รองทำหน้างง พลางคิด อย่าบอกนะว่ากู้เจียวมีเอี่ยวกับเรื่องนี้ เขารู้ว่านางรักษาคนเก่ง แต่เรื่องดนตรีนะหรือ ไม่น่าหรอกกระมัง แม้ในห้องของนางมีกู่ฉินวางอยู่ก็จริง แต่เขาไม่เคยเห็นนางเล่นมันเลยสักครั้ง

ไม่แม้แต่จะแตะมันด้วยซ้ำ!

หิมะตกลงมาสักพักก็หยุดลง แต่ดูเหมือนทำท่าจะตกอีก เถ้าแก่รองกลัวว่าถ้าดึกกว่านี้กู้เจียวจะเดินทางกลับไม่สะดวก เขาจึงรีบให้นางเลิกงาน

ก็ดี กู้เจียวจะได้ไปรับจิ้งคงกลับบ้านด้วยกัน

พอมาถึงกั๋วจื่อเจียน ก็เห็นว่าจิ้งคงมายืนรอที่หน้าประตูอยู่แล้ว ร่างกะปุ๊กลุ๊กสวมชุดเครื่องแบบของกั๋วจื่อเจียน กำลังทำท่ามองซ้ายมองขวา ช่างสะดุดตายิ่ง

อีกคนที่สะดุดตา ก็คือเซียวลิ่วหลังที่ยืนอยู่ด้านหลังจิ้งคง

ไม่รู้ทำไม คนคนนี้นับวันยิ่งดูหน้าตาหล่อเหลาขึ้น

“เจียวเจียว!” พอเห็นกู้เจียว จิ้งคงก็รีบทิ้งพี่เขยตัวแสบแล้ววิ่งเข้าไปหา

กู้เจียวลูบหัวเหม่งของเขา แล้วหันไปมองทางเซียวลิ่วหลัง “คืนนี้ไม่อยู่ทบทวนบทเรียนรึ”

“ก็ไม่นะ” เซียวลิ่วหลังเอ่ยตอบ

พอเห็นเซียวลิ่วหลังแบบนี้ กู้เจียวเลยไม่ได้รู้สึกถึงความน่ากลัวของการทบทวนหนังสือแต่อย่างใด แต่ความจริงไม่ใช่อย่างนั้น ช่วงนี้บัณฑิตทุกคนโดยเฉพาะนักเรียนเก่าต้องขยันมากเป็นพิเศษ เพราะใกล้วันสอบชุนเหวยเข้าไปทุกที

แม้แต่หลินเฉิงเย่กับเฝิงหลินเอง ช่วงนี้ก็ต้องนอนดึกตื่นเช้าเป็นพิเศษ

วันนี้อาจารย์ไม่ได้บังคับให้พวกเขาอยู่ทบทวนหนังสือก็จริง แต่ทั้งห้องมีเพียงแค่เซียวลิ่วหลังคนเดียวที่ไม่อยู่ต่อ

ทั้งสามคนเดินกลับเรือนด้วยกัน

และแล้ว หิมะก็โปรยลงมาอีกครั้ง

กู้เจียวคว้าร่มไม้ออกมา แต่ดูเหมือนเสี่ยวจิ้งคงอยากจะเล่นสนุกกับหิมะเสียอย่างงั้น!

โชคดีที่กู้เจียวนำเสื้อคลุมผืนเล็กมาสวมให้เขา ดูแล้วเหมือนพ่อมดตัวน้อย

พ่อมดน้อยกระโดดโลดเต้นท่ามกลางหิมะ “ว้าว ว้าว ว้าววว”

เซียวลิ่วหลังช่วยกางร่มให้ เขาจงใจเอียงร่มไปทางกู้เจียวเล็กน้อย

ทั้งสองคนเดินตัวติดกัน ข้ามถนนไปด้วยกัน

ความสัมพันธ์ที่อยู่ด้วยแล้วสบายใจที่สุด คงจะเป็นการที่ต่างฝ่ายต่างเงียบแต่กระนั้นก็ไม่มีความรู้สึกอึดอัดเกิดขึ้นแต่อย่างใด

ทั้งสองดื่มด่ำกับความเงียบ รวมถึงเสียงโหวกเหวกของจิ้งคงที่ดังขึ้นด้วย

“ออ จริงสิ” กู้เจียวจู่ๆ นึกอะไรขึ้นได้ “วันเกิดของเจ้าคือเมื่อไหร่”

สูติบัตรของเขามีเขียนไว้

ทะเบียนสมรสเองก็เช่นกัน

ที่ถามกะทันหันเช่นนี้ เท่ากับว่านางไม่คิดว่าข้อมูลพวกนั้นเป็นความจริง

กู้เจียวมักจะเป็นแบบนี้ นางจะไม่เค้นถามตรงๆ แต่จะใช้วิธีตะล่อมถามด้วยเสียงอ่อนนุ่มในช่วงเวลาที่เขาเผลอ

“เดือนสิบสอง” เขาเอ่ย

“ออ” “วันไหนล่ะ”

“วันสิ้นปี” เซียวลิ่วหลังเงียบไปพัก ก่อนจะเอ่ยตอบเบาๆ

กู้เจียวคลี่ยิ้ม นึกในใจ

ดีจัง

ที่ยังไม่เลยวันเกิดของเขาไปเสียก่อน

คนโบราณไม่ได้ฉลองวันเกิดทุกปี แต่ให้ความสำคัญกับปีมากกว่า เช่น ปีแรกเอย ปีนักษัตรเอย วันเกิดปีที่สิบห้าสำหรับผู้หญิงจะต้องเสียบปิ่นปักผมเอย ผู้ชายอายุครบยี่สิบจะต้องสวมรัดเกล้าเอย เป็นต้น

รัดเกล้าเป็นสิ่งที่แสดงว่าชายคนนั้นได้บรรลุนิติภาวะแล้ว จึงต้องเกล้าผมและสวมรัดเกล้าเพื่อแสดงถึงความเป็นผู้ใหญ่

แต่สำหรับกู้เจียวแล้ว ในโลกที่ตนจากมา อายุสิบแปดถือเป็นอีกหนึ่งช่วงที่สำคัญของชีวิต

นางจึงอยากฉลองวันเกิดให้เขา

“จิ้งคง วันเกิดของเจ้าคือวันไหน” กู้เจียวเอ่ยถามจิ้งคงที่กำลังเล่นสนุกอยู่

“วันสิ้นปี!” จิ้งคงเอ่ยตอบ พลางย่อตัวลงเพื่อปั้นหิมะให้เป็นก้อนกลม

“บังเอิญเสียจริง”

“วันเกิดเจียวเจียวก็ตรงกับวันสิ้นปีเหมือนกันรึ” เด็กน้อยถามตาใสแจ๋ว

กู้เจียวยิ้มให้เขา “ไม่ใช่ข้าหรอก แต่เป็นพี่เขยเจ้าต่างหาก”

จิ้งคงสีหน้าเปลี่ยน มือที่กำลังปั้นหิมะอยู่ก็พลันนิ่งไป

อะไรกัน! ทำไมเขาต้องมาเกิดวันเดียวกันกับพี่เขยจอมแสบด้วยเนี่ย เขาไม่อยากเกิดวันสิ้นปีแล้ว!

ที่จริงแล้ว วันเกิดของจิ้งคงมิใช่ว่าจะตรงกับวันสิ้นปีเสมอไป จิ้งคงถูกนำมาทิ้งที่วัดตอนเขาอายุได้ประมาณสองสามเดือน ไม่มีใครรู้วันเกิดของเขา

แต่เป็นท่านเจ้าอาวาสที่ช่วยเขาคำนวณวันเกิดโดยดูจากขนาดตัวของเขา เลยเดาว่าจิ้งคงน่าจะเกิดซักช่วงก่อนหรือหลังปีใหม่ ก็เลยกำหนดอย่างมัดมือชกว่าวันเกิดของจิ้งคงคือวันสิ้นปี

จิ้งคงทำหน้าบูดบึ้ง “ทำไมเจ้าต้องเลียนแบบข้า แม้แต่เรื่องวันเกิด”

เซียวลิ่วหลังยกมุมปาก พลางคิด ข้าโตกว่าเจ้าอีกไม่เห็นรึไง ใครเลียนแบบใครกันแน่

“เฮ้อ” จิ้งคงถอนหายใจ

“เป็นอะไรไปรึ” กู้เจียวลูบหัวเด็กน้อย พลางคิด คงไม่ใช่เพราะเกิดวันเดียวกันกับเซียวลิ่วหลังหรอกนะ

จิ้งคงทำท่าแบมือ พลางเอ่ย “ปีก่อนๆ ข้าฉลองวันเกิดกับพวกอาจารย์และคนอื่นๆ ไม่ว่าเขาจะอยู่ที่ไหนก็มักจะกลับมาฉลองวันเกิดข้าได้ทันเวลาเสมอ”

เซียวลิ่วหลังทำหน้าอึน ในวัดมีการฉลองวันเกิดด้วย นี่วัดของพวกเขาเป็นวัดแบบไหนกันแน่นะ

จิ้งคงถอนหายใจอีกครั้ง “เมืองหลวงช่างไกลเหลือเกิน เกรงว่าปีนี้ข้าคงไม่ได้เจอกับท่านอาจารย์และคนอื่นๆ แล้วล่ะ”

กู้เจียวพยายามนึกภาพตาม พระชราเดินเซไปมาในเมืองหลวงด้วยไม้เท้า

ดูจะโหดร้ายเกินไปหน่อย

คงมาไม่ไหวหรอก

กู้เจียวย่อตัวลง เอ่ยด้วยเสียงอ่อนนุ่ม “ปีนี้เจ้าฉลองวันเกิดกับพี่เขยไปนะ”

เด็กชายทั้งสองต่างทำหน้ารังเกียจ พลางนึกในใจ ก็ไม่อยากนักหรอก

“แม้เจ้าจะไม่ได้เจอกับท่านอาจารย์ของเจ้า แต่เจ้าเขียนจดหมายไปหาเขาได้นะ”

“นั่นสินะ ทำไมข้านึกไม่ออกนะ”

เขาทำในสิ่งที่เขาพูด และแล้ว จิ้งเขียนจดหมายยาวถึงอาจารย์ในคืนนั้น ประโยคแรกแสดงความคิดที่ลึกซึ้งของเขาต่ออาจารย์ และอีกเก้าสิบเก้าประโยคถัดมาล้วนอวดอ้างอวดตัวเอง

และแล้ว เขาก็เขียนจดหมายที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรักและความปรารถนาดีจนเสร็จ

เซียวลิ่วหลังอาสาจะไปส่งจดหมายให้

แต่จิ้งคงไม่ไว้ใจเขา เลยยืนกรานว่าจะไปส่งเอง

วันต่อมาเซียวลิ่วหลังจึงโดดเรียนออกมาเพื่อพาเขาไปที่ไปรษณีย์

บุรุษไปรษณีย์ได้รับจดหมายและกำลังจะนำไปใส่ในกล่องจดหมาย

เสี่ยวจิ้งคงถาม “ส่งไปที่โยวโจวหรือ”

บุรุษไปรษณีย์เอ่ยตอบ “ใช่แล้วล่ะ”

เสี่ยวจิ้งคงถามขึ้นอีกรอบ “อ่านที่อยู่ให้ข้าฟังรอบหนึ่งได้ไหม”

บุรุษไปรษณีย์ “……”

สุดท้ายเขาก็ยอมอ่าน

วัดไป่อวิ๋น ภูเขาต้าหมัง หมู่บ้านชิงเฉวียน เมืองผิงเฉิง

“ถูกต้อง” จิ้งคงพยักหน้า “เป็นแบบด่วนหรือไม่”

บุรุษไปรษณีย์ “จดหมายธรรมดาไม่สามารถส่งแบบด่วนได้”

เสี่ยวจิ้งคงทำตาโตพลางเอ่ย “แต่จดหมายของข้าไม่ใช่จดหมายธรรมดาๆ นะ”

เป็นจดหมายที่เขาพรรณนาความคิดถึงของเขาที่มีต่ออาจารย์ (แค่ประโยคเดียว) และสารทุกข์สุขดิบทั่วไป (เล่าว่าตัวเองตัวสูงขึ้น) รวมถึงพูดถึงเรื่องการเรียน (โม้ว่าตัวเองสอบได้ที่หนึ่ง)

เพราะเป็นช่วงใกล้ปีใหม่ งานที่ไปรษณีย์จึงยุ่งเป็นพิเศษ

แต่ด้วยความน่ารักของเสี่ยวจิ้งคง บุรุษไปรษณีย์จึงแวะพูดคุยกับเขาอยู่นานสองนาน

แต่ตอนนี้ ความอดทนของเขาใกล้หมดลง

“สรุปเจ้าจะส่งหรือไม่ส่งกันแน่” เขาถาม

“ถ้าไม่ส่งด่วน ข้าก็ไม่ส่ง” จิ้งคงพูดออกมาตรงๆ

บุรุษไปรษณีย์ “…”

เซียวลิ่วหลังยืนเกาหัวอยู่ข้างๆ

ก่อนหน้านี้เขาเคยเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับส่งจดหมายด่วนให้เขาฟัง เพราะว่าจดหมายถึงมือเร็ว เลยทำสงครามชนะ

ที่จริงจิ้งคงเองก็ยังไม่รู้ว่าอะไรคือสิ่งที่เรียกว่าส่งด่วน เขาแค่รู้สึกว่าคำๆ นี้ฟังแล้วดูมีพลัง เลยอยากจะส่งด่วนบ้าง

เซียวลิ่วหลังยื่นมือให้เขา “เอาจดหมายมา เดี๋ยวข้าส่งด่วนให้เจ้าเอง”

“จริงหรือ” เสี่ยวจิ้งคงทำหน้าสงสัย

เซียวลิ่วหลังพยักหน้า “จริงสิ ข้ารับประกันว่าจดหมายของเจ้าจะได้รับการส่งโดยด่วนอย่างแน่นอน!”

“อย่ามาหลอกข้านะ!” เสี่ยวจิ้งคงเอ่ยเสียงดุ

“โกหกเจ้าก็เป็นหมาสิ” เซียวลิ่วหลังเอ่ยหน้านิ่ง

เสี่ยวจิ้งคงไม่เข้าใจว่าเซียวลิ่วหลังหมายความว่าอย่างไร ทำไมพี่เขยตัวแสบถึงต้องเป็นเจ้าแปดด้วย เจ้าแปดออกจะน่ารักขนาดนั้น…

แต่สุดท้าย เสี่ยวจิ้งคงก็ยอมยื่นจดหมายให้เขาแต่โดยดี

เซียวลิ่วหลังเดินไปที่ไปรษณีย์อีกรอบ ขอปากกาแล้วเขียนบนจดหมายตัวใหญ่ๆ ว่าส่งด่วน

จากนั้นก็ขอซื้อซองจดหมายใหญ่ แล้วนำจดหมายของเสี่ยวจิ้งคงใส่ลงไป

บุรุษไปรณีย์ยกนิ้วให้เขา

ฉลาดมาก

พอส่งจดหมายเสร็จ เซียวลิ่วหลังพาเสี่ยวจิ้งคงไปส่งที่เรือน

ยังเดินไปไม่ทันไร เสี่ยวจิ้งคงก็ทำท่ากระโดดเต้นไปมา “ข้าปวดฉี่!”

เซียวลิ่วหลังจึงพาเขาไปเข้าห้องน้ำที่ไปรษณีย์

หลังจากทำธุระเสร็จแล้ว เสี่ยวจิ้งคงดันเดินออกมาผิดทาง และจู่ๆ เขาก็ดันเดินไปชนกับท่อนขาของใครบางคน

เหมือนกับตอนที่เขาเจอกู้เจียวครั้งแรก ที่วิ่งชนขาของนาง

เสี่ยวจิ้งคงล้มกลิ้งลงไปบนพื้น

ชายแปลกหน้ายื่นมือแล้วพยุงเขาขึ้นมา

แม้จะเป็นการช่วยเหลือธรรมดา แต่ชายผู้นี้กลับทำแล้วดูมีพลังอย่างบอกไม่ถูก

เสี่ยวจิ้งคงเงยหน้ามองคนตรงหน้า

เขาสวมชุดขนจิ้งจอกสีทอง รูปร่างสูง คิ้วเข้ม ใบหน้าได้รูปราวกับหยกน้ำแข็ง

แม้จะดูมีอายุ แต่ใบหน้าของเขากลับไร้ริ้วรอยแห่งวัย

ทั้งดูสง่าและดูแข็งแรงกำยำในคราเดียวกัน

เสี่ยวจิ้งคงเอาแต่มองอยู่อย่างนั้น จนระลึกได้ว่าตัวเองวิ่งชนเขาก่อนจึงรีบขอโทษ “ข้าผิดเอง!”

“ไม่เป็นไร” เขาเอ่ยเสียงเนิบ

“อืม…งั้นข้าไปก่อนล่ะ!” เสี่ยวจิ้งคงวิ่งกลุกๆ ออกไป

ส่วนชายแปลกหน้าเดินไปขึ้นรถม้า

โดยมีทหารแปดนายยืนทำความเคารพให้เขาอย่างพร้อมเพรียง “ท่านโหว!”