เซวียนผิงโหวถือผ้าห่มมือที่ทำจากขนจิ้งจอก เยื้องย่างก้าวเท้าขึ้นรถม้าของจวน
แม้ภาพลักษณ์ของเขาจะดูช่วงช้าและสง่างาม แต่ใครเล่าจะรู้ว่าเขาผู้นี้คือผู้ที่วางแผนกลยุทธ์จากระยะไกลพันลี้และได้รับชัยชนะในศึกสงคราม
“กลับจวน”
รถม้าเคลื่อนตัวออกไป
ม้าของจวนเซวียนผิงโหว คืออาชาไนยที่ผ่านศึกสมรภูมิมานักต่อนัก ไม่แปลกที่เวลาไปแห่งหนใดผู้คนมักจะแสดงอาการตกใจและยอมหลีกทางให้
ลมหนาวพัดโชย ทุกสิ่งขยับเคลื่อนไหว
ขณะที่เซวียนผิงโหวนั่งพักสายตาในรถม้า
ราวกับว่าเขารู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่าง เขาเลิกคิ้ว ลืมตา “หยุดรถก่อน”
แล้วรถม้าก็หยุดลง
เซวียนผิงโหวเปิดม่านออกไปดู นอกจากรถม้าแล้ว ก็ไม่มีอย่างอื่นปรากฏ
“ท่านโหว เกิดอะไรขึ้นหรือ” ทหารนายหนึ่งเอ่ยถาม
“ไม่มีอะไรแล้ว กลับจวนเถอะ” เขาเอ่ยพลางปิดผ้าม่านกลับไปเหมือนเดิม
“ขอรับ!”
รถม้าเคลื่อนตัวออกไปอีกครั้ง
ด้านหลังรถม้าที่เซวียนผิงโหวเห็นจากหน้าต่างรถ เซียวลิ่วหลังที่กำลังกอดจิ้งคงแน่นก็คลายมือออก
จิ้งคงรีบเด้งตัวออกมา ทำท่าไม่พอใจ “ทำไมเจ้าต้องกอดข้าไว้ตลอด ไม่ยอมให้ข้าขึ้นรถม้า ซ้ำยังเอามือมาปิดปากข้าด้วย นี่เจ้าคิดจะทำอะไรมิดีมิร้ายข้าหรือไร”
“ไปเรียนคำพวกนี้จากไหนกัน อย่าเอามาใช้มั่วซั่วสิ” เซียวลิ่วหลังละสายตาจากรถม้าของเซวียนผิงโหว ก่อนจะหันมาดูเด็กน้อยที่กำลังทำหน้าบึ้งตึง
จิ้งคงน้อยเอามือเท้าเอวแล้วกระทืบเท้า “เห็นๆ กันอยู่ว่าเจ้าทำไม่ดีก่อน ยังมีหน้ามาวุ่นวายกับคำศัพท์ของข้าอีก”
เฮอะ!
ข้าจะกลับไปฟ้องเจียวเจียว!
เซียวลิ่วหลังมองไปทางรถม้าเซวียนผิงโหวอีกครั้ง จากนั้นเขาและจิ้งคงก็ขึ้นรถม้าที่เช่ามาจากในเมือง
เขาได้แต่นั่งเงียบตลอดทาง
แม้ว่าแต่ไหนแต่ไร เขาจะไม่ใช่คนช่างพูด แต่เสี่ยวจิ้งคงสัมผัสได้ว่าพี่เขยตัวแสบมีท่าทีแปลกไปจากเดิม
ตอนที่พี่เขยตัวแสบเจอกับท่านปู่ครั้งแรกก็มีท่าทีเช่นนี้
แต่ครั้งนี้ ดูเหมือนจะหนักกว่าครั้งนั้นเสียอีก
หรือว่า เขาหลบหน้าคนรู้จักอีกแล้วรึ
เสี่ยวจิ้งคงนั่งกอดอก พยายามใช้ความคิด!
เวลาผ่านไปสองเค่อ รถม้าก็หยุดอยู่หน้าตรอกปี้สุ่ย จิ้งคงรีบพุ่งตัวออกไปอย่างเร็ว “เจียวเจียวเจียวเจียว! ข้ากลับมาแล้ว!”
เพราะเขาเป็นเด็ก แม้จะมีเรื่องให้คิด แต่ก็ปล่อยทิ้งได้อย่างรวดเร็ว
วันนี้เฝิงหลินและหลินเฉิงเย่เองก็มาที่เรือนด้วย เป็นความคิดของหลินเฉิงเย่ที่อยากมา
“การสอบ ชุนเหวย ใกล้ มาถึง แล้ว ข้า เลย จะขอมา ฝากเนื้อฝากตัว กับท่านอาจารย์หญิง” หลินเฉิงเย่เอ่ยตะกุกตะกัก พลางยื่นกล่องของฝากให้กู้เจียว
เซียวลิ่วหลังเป็นครูของเขา ส่วนกู้เจียวเป็นอาจารย์หญิง
ครูที่อายุน้อยกว่านักเรียน
หลินเฉิงเย่พยายามพูดให้เร็วและกระชับขึ้น เพื่อไม่ให้ดูติดอ่างมากเกิน
กู้เจียวไม่ได้มีทีท่ารังเกียจจังหวะการพูดติดๆ ขัดๆ ของเขาแต่อย่างใด แล้วเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงปกติ “ขอบคุณเจ้ามาก เข้ามานั่งก่อนสิ”
หลินเฉิงเย่รู้ว่าอาจารย์หญิงของเขาเป็นคนดี
ดีมากเลยทีเดียว
กู้เจียวยื่นขนมที่ทำไว้ให้เขา หลินเฉิงเย่กินเข้าไปหนึ่งคำ ก่อนจะร้องออกมา “อะ อะ อะ อร่อยมาก!”
พอตื่นเต้น อาการเก่าก็กำเริบอีกครั้ง
เขาเขินจนหน้าแดงและไม่กล้าพูดอะไรต่อ
กู้เจียวไม่ได้แสดงท่าทีอะไรออกมา แล้วยื่นจานขนมให้เขา “ยังมีอีกนะ เดี๋ยวข้าจะใส่กล่องไว้ให้เจ้า”
หลินเฉิงเย่หายใจออกโล่งอก
นับวันอาการพูดติดอ่างของเขายิ่งแสดงออกมาชัดขึ้น หลายคนก็เห็นใจเขา ไม่ใช่ว่าทุกคนจะมีอคติต่อสิ่งที่เขาเป็นแต่อย่างใด
แต่เขา ไม่ต้องการความสงสาร
เขาอยากให้ทุกคนปฏิบัติต่อเขาเฉกเช่นคนทั่วไป
ท่าทีของกู้เจียวทำให้เขาเกิดความสบายใจ
เซียวลิ่วหลังเองก็เช่นกัน ถึงแม้จะออกไปทางเข้มงวดอยู่บ้าง และถ้าเทียบกันแล้ว เขารู้สึกเป็นตัวเองมากกว่าเวลาอยู่ที่กับกู้เจียว
“ปีนี้ไม่กลับบ้านรึ” กู้เจียวเอ่ยถาม
หลินเฉิงเย่พนยักหน้า “ใกล้ จะถึง ช่วงสอบ แล้ว พ่อข้า เลยให้…ให้ข้า อยู่เรียน หนังสือ…ที่เมืองหลวง”
ตระกูลหลินมีคนมีเงิน จึงซื้อห้องพักที่อยู่ข้างๆ กั๋วจื่อเจียนไว้ให้เขา ตั้งอยู่ไม่ไกลจากตรอกปี้สุ่ยนัก
เฝิงหลินเองก็ไม่กลับบ้าน อยู่หอในกั๋วจื่อเจียน
ทั้งคู่ต่างก็เป็นเพื่อนร่วมห้องของกันและกัน พอใกล้ถึงช่วงปิดพักเรียน หลินเฉิงเย่ไม่อยากให้เฝิงหลินอยู่ปล่าวเปลี่ยวคนเดียวในกั๋วจื่อเจียน จึงชวนเฝิงหลินให้ไปพักที่ห้องของตน
“ให้ข้าไปพักกับเจ้า…คงไม่ดีมั้ง…ข้าต้องบอกเซียวลิ่วหลังก่อน” เฝิงหลินคิดว่าตัวเองน่าจะต้องพักที่นี่ ไม่อยากไปรบกวนหลินเฉิงเย่เท่าไหร่นัก
และแน่นอนว่าเขาเองก็อยากจะพักอยู่ที่นี่มากกว่า เพราะกู้เจียวทำกับข้าวอร่อย!
หลินเฉิงเย่เอ่ยกับเขา “ข้า บอก กับลิ่วหลัง แล้ว เขา บอกว่า ตกลง”
เฝิงหลิน “…”
งานฉลองปีใหม่เมื่อปีที่แล้วค่อนข้างแร้นแค้นพอตัว อาจเป็นเพราะกู้เจียวยังใหม่กับที่นี่ ยังไม่ปรับตัวให้เข้ากับตัวตนของตัวเองอย่างเต็มที่… เปล่าหรอก ที่จริงแล้ว พวกเขายังไม่มีเงินขนาดนั้น
นอกจากจน ก็คือจน
แต่ปีนี้จะไม่จนอีกต่อไป
แม้จะหมดเงินไปมากกับการเปิดโรงหมอ แต่อาชีพเสริมของเซียวลิ่วหลังที่รับสอนพิเศษให้หลินเฉิงเย่แล้ว ยังมีรับงานเขียนการบ้าน เขียนกลอน ได้เงินมารวมๆ แล้วก็ร้อยตำลึง
เขานำเงินออกมาสามสิบตำลึงเพื่อจ่ายค่าเช่าให้เสี่ยวจิ้งคงสำหรับเดือนนี้ และอีกเจ็ดสิบตำลึงจะมอบให้กู้เจียวใช้ในครัวเรือน
เสี่ยวจิ้งคงพอรับเงินจากพี่เขยแล้ว ก็ไม่มีท่าทีว่าจะเดินออกไปจากห้องหนังสือ
เซียวลิ่วหลังจึงหันไปถามเขา “เงินไม่ครบรึ”
เสี่ยวจิ้งคงไม่เข้าใจ
ใจหนึ่งเขาไม่อยากให้พี่เขยตัวแสบหลอกเขาเรื่องจดหมายด่วน เพราะเขาตั้งหน้าตั้งตารอเป็นอย่างมาก
แต่อีกใจเขาก็อยากให้พี่เขยตัวแสบโกหกเขา จะได้กลายร่างเป็นเจ้าแปด จิ้งคงจะได้ขย่ำหัวเขาอย่างสนุกสนาน
เสี่ยวจิ้งคงยืนมองพี่เขยตัวแสบอยู่พักนึงด้วยท่าทางสับสน ไม่เอ่ยอะไร จากนั้นเดินออกไปเงียบๆ
เสี่ยวจิ้งคงไม่ได้ตัวติดกันกับเซียวลิ่วหลังขนาดนั้น เว้นเสียจากจำเป็นจริงๆ เช่น วันที่เข้าต้องเรียนภาษาต่างถิ่น ปกติแล้วเสี่ยวจิ้งคงจะไม่มาเหยียบห้องหนังสือของเขาเท่าไหร่นัก
แต่วันนี้ จู่ๆ เสี่ยวจิ้งคงก็เดินมาด้อมๆ มองๆ ที่ห้องหนังสืออยู่เรื่อย จนเซียวลิ่วหลังรู้สึกประหลาดชอบกล
เสี่ยวจิ้งคงเองก็เช่นกัน
ทำไมพี่เขยยังไม่กลายร่างเป็นหมาอีก
ยิ่งคิดก็ยิ่งอยากให้เกิดขึ้น เขาอยากเห็นพี่เขยกลายร่างเป็นเจ้าแปดใจจะขาด!
วันนี้เป็นวันสุดท้ายก่อนปิดภาคเรียนของกั๋วจื่อเจียน
เซียวลิ่วหลังไม่ต้องเข้าเรียน เขาเลือกที่จะไปตลาดกับกู้เจียวเพื่อซื้อของสำหรับงานฉลองปีใหม่
ทั้งสองตื่นเช้ากว่าปกติ
เสี่ยวจิ้งคงตื่นขึ้นมาก็พบว่าพี่เขยไม่อยู่บนเตียงแล้ว
เขาเดินไปหาที่ห้องหนังสือก่อน จากนั้นก็ไปที่สวน แล้วตามด้วยห้องของกู้เจียว กู้เสี่ยวซุ่น กู้เหยี่ยน หญิงชรา แต่ก็ไม่พบ
เสี่ยวจิ้งคงเลยคิดว่าพี่เขยไม่อยู่แล้ว!
ในตอนนั้นเอง เจ้าแปดก็วิ่งกระดิกหางมาทางเขาพอดี!
ดวงตาจิ้งคงเบิกโพลงและเป็นประกายในทันใด!
ก่อนหน้านี้ กู้เจียวเคยมาซื้ออาหารสำหรับปีใหม่ไว้บางส่วนแล้ว คราวนี้พวกเขาจะมาซื้อขนมและของเล่นเอาไว้เล่นที่งาน
“ซื้อประทัดไม้ไผ่ไปไหม” เซียวลิ่วหลังเอ่ยถาม
“ต้องซื้อด้วยรึ” กู้เจียวไม่เข้าใจ ที่หน้าบ้านมีต้นไผ่ปลูกตั้งเยอะแยะ ถ้าจะใช้ค่อยไปตัดเอาก็ได้!
อย่างไรก็ตาม กู้เจียวไม่เคยคิดเกี่ยวกับประทัดมาก่อน นางยังคงนึกถึงชีวิตก่อนหน้านี้ของนางและเชื่อว่าดอกไม้ไฟและประทัดถูกห้ามในเมืองหลวง
“ซื้อป้ายคู่ติดประตูตุ้ยเหลียนกับกระดาษแดงดีกว่า” กู้เจียวเอ่ย
“ได้” เซียวลิ่วหลังพยักหน้า
กระดาษแดงของเมืองหลวงหน้าตาดูดีกว่าที่ชนบท กู้เจียวเลยซื้อมาเยอะเป็นพิเศษ
“ปีนี้พวกเราไม่ต้องติดตุ้ยเหลียนให้เซวียหนิงเซียงแล้วนี่” เซียวลิ่วหลังเอ่ยขึ้น
ปีก่อนเฝิงหลินให้กระดาษแดงมา แล้วกู้เจียวให้เซียวลิ่วหลังเขียนตัวอักษร แล้วเอาไปติดที่เรือนของเซวียหนิงเซียง
กู้เจียวเริ่มคิดถึงเซวียหนิงเซียงขึ้นมาเสียแล้ว
“แต่ยังมีเรือนของท่านปู่นี่นา ยังไงก็ต้องติดให้เขานี่”
เซียวลิ่วหลังนึกในใจ เจ้านับญาติเป็นตั้งแต่เมื่อไหร่กัน
พอซื้อของเสร็จ ก็กลับมาที่ตรอกปี้สุ่ย
พอเดินเข้าเรือน เซียวลิ่วหลังเห็นเสี่ยวจิ้งคงกำลังเล่นอยู่กับสุนัขของกู้เหยี่ยน
เสี่ยวจิ้งคงเอาหมวกเสือของเขาสวมให้เจ้าแปด แถมยังเอายางรัดผมมามัดจุกให้ด้วย
แม้จะมัดออกมาได้ไม่สวยเท่าไหร่ เสี่ยวจิ้งคงเลยวานให้ท่านปู่บ้านข้างๆ ช่วยมัดให้
งานของเสี่ยวจิ้งคงตอนนี้คือ เล่นกับเจ้าแปด
เล่นไปเล่นมา ก็ชักจะสนุกขึ้นเรื่อยๆ !
เมื่อก่อนเสี่ยวจิ้งคงไม่ได้ชอบสุนัขขนาดนั้น
แต่เขายังเด็ก ความชอบจึงเปลี่ยนไปเรื่อยๆ
เซียวลิ่วหลังกำลังจะเดินเข้าไปในเรือน แต่ดันได้ยินชื่อที่เสี่ยวจิ้งคงใช้เรียกเจ้าแปด “อาเหิงเอ๋ย~”
เซียวลิ่วหลังถึงกับผงะ!
อย่างไรแล้ว ท้ายที่สุดแล้ว เสี่ยวจิ้งคงก็ได้เห็นว่าพี่เขยจอมแสบยังอยู่ดี
แต่เขาได้ตัดสินใจไปแล้วว่าเจ้าแปดตัวน้อยในอ้อมแขนของเขาก็คือเซียวลิ่วหลัง ดังนั้น เซียวลิ่วหลังที่ยืนปรากฏตัวที่ประตูตอนนี้ คือเจ้าแปดอย่างนั้นรึ
เสี่ยวจิ้งคงลังเลอยู่พัก ก่อนจะเงยหน้าหันไปหาเขา “โฮ่ง!”
เซียวลิ่วหลัง “……”
“เป็นบ้าอะไรแต่เช้า”
จิ้งคงถอนหายใจ
พี่เขยไม่เห่าตอบ
เขาไม่ได้เป็นเจ้าแปดนี่นา
เฮ้อ
น่าเสียดายจัง
จิ้งคงรู้สึกรับไม่ได้ที่พี่เขยตัวแสบไม่ได้กลายร่างเป็นเจ้าแปด
ลิ่วหลังได้แต่ทำหน้างุนงง
นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน
แค่เขาไม่โฮ่งตอบ เจ้าตัวเล็กถึงกับทำหน้าผิดหวังเลยหรือ
ทีเสี่ยวจิ้งคงเรียกเจ้าแปดมั่วซั่ว เขายังไม่เห็นว่าอะไรเลยสักคำ!
กู้เจียวเดินเข้าไปในครัวเพื่อเตรียมอาหารเช้า
พอทานข้าวเสร็จ กู้เจียวก็เข้าไปเก็บจานชาม จู่ๆ เซียวลิ่วหลังเดินเข้า “มา ข้าช่วยเก็บเอง”
จู่ๆ หญิงชราก็โพล่งขึ้น “พวกเจ้าไม่ต้องทำ มีคนช่วยทำแล้ว”
คนที่หญิงชราหมายถึงก็คือจี้จิ่วอาวุโส
หลังจากที่จี้จิ่วอาวุโสเล่นพนันจนหมดตัว แถมยังโดนยึดบ้านไปอีก เลยยอมมาเป็นกรรมกรให้หญิงชรา
กู้เจียวมัวแต่วุ่นวายกับงานที่เรือน เลยไม่ได้ไปที่โรงหมอ จะมีก็แค่คนไข้ที่นางต้องไปช่วยตัดไหมให้
กู้เจียวเก็บของใส่ลงตะกร้าใบเล็กของนาง พร้อมออกเดินทาง
เซียวลิ่วหลังหันไปหานางแล้วถามขึ้น “ออกไปข้างนอกรึ”
“อืม ตรวจนอกสถานที่น่ะ”
เซียวลิ่วหลังรู้เรื่องที่กู้เจียวมีทักษะด้านการแพทย์ กู้เจียวเองก็ไม่อยากปิดบังเขา
“ไกลไหม” เซียวลิ่วหลังถาม
“ตรงถนนจูเชวี่ยนี่เอง” กู้เจียวตอบ
“ข้าก็จะไปส่งของตรงนั้นอยู่พอดี ไปด้วยกันสิ”
เซียวลิ่วหลังช่วยเขียนการบ้านให้ลูกเศรษฐี เลยบอกไปว่าจะส่งคืนให้ตอนช่วงก่อนปีใหม่
กู้เจียวไม่ว่าอะไร
พวกเขานั่งรถม้าเดินทางไปยังถนนจูเชวี่ย
เซียวลิ่วหลังส่งกู้เจียวลงก่อน จากนั้นเขาก็ไปส่งการบ้าน พอขากลับเขาก็กลับมารับกู้เจียว
คนไข้ของกู้เจียวปีนี้อายุครบหกปี เป็นเด็กหญิงตัวน้อยที่ดูร่าเริงแจ่มใสและชอบอยู่ไม่สุก และด้วยเหตุนี้ นางจึงเผลอพลัดตกลงจากบันไดแล้วเกิดบาดเจ็บที่เท้า
พี่สาวของนางเป็นนักเรียนอยู่ที่สำนักบัณฑิตหญิง นางบอกว่าหมอของเมี่ยวโส่วถังทำแผลดี เลยวางใจให้ช่วยรักษา
“แผลสมานเร็วมากเลย ไม่ต้องกลัวนะ ไม่เจ็บหรอก” กู้เจียวเอ่ยพลางใช้กรรไกรตัดไหมออก
เด็กสาวไม่ร้องเลยสักแอะ
ฮูหยินเอ่ยถาม “เจ็บไหม”
เด็กน้อยส่ายหัว พลางมองกู้เจียวด้วยความเลื่อมใส “ไม่เจ็บเลย พี่สาวเก่งมากเลย ท่านแม่ ข้าอยากโตไปเป็นหมอเหมือนกัน!”
ฮูหยินทำหน้านิ่งอึ้ง
ในสมัยโบราณ สถานะของอาชีพหมอถือว่าอยู่ระดับล่าง ยิ่งหมอผู้หญิงยิ่งไม่ต้องพูดถึง ไม่ต่างอะไรกับชนชั้นบ่าว
ตระกูลที่มีเรือนตั้งอยู่บนถนนจูเชวี่ย แน่นอนว่าจะต้องไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไป ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาคงไม่อยากเห็นบุตรสาวของตัวเองต้องไปทำงานระดับล่างแบบนั้นอยู่แล้ว
พวกเขามองว่า กู้เจียวมาจากบ้านฐานะยากจน เลยต้องมาทำอาชีพหมอหญิง
ไม่ใช่คนไข้ทุกคนที่เป็นแผลที่เท้าแบบบุตรสาวตน บางคนต้องทำการรักษาตรงบริเวณในร่มผ้า พวกคนชั้นสูงแม้แต่มองยังไม่อยากจะมองบริเวณเหล่านั้นเลย
แถมได้ยินมาว่า เวลาโรงหมอยุ่งมากๆ หมอหญิงจะต้องทำการรักษาให้คนไข้ผู้ชายอย่างไม่มีทางเลือก
แล้วอย่างนี้จะรักษาความบริสุทธิ์ไว้ได้อย่างไร แล้วต่อไปใครจะกล้าแต่งงานด้วย
สรุปคือ ตระกูลไหนที่เคร่งเรื่องนี้มากเป็นพิเศษ พวกเขาจะไม่สนับสนุนบุตรสาวของตัวเองไปเป็นหมอหญิงอย่างแน่นอน
กู้เจียวไม่ได้หันไปดูสีหน้ากระอักกระอ่วนของฮูหยินแต่อย่างใด นางสนใจแค่เด็กสาวตรงหน้า แถมยังยื่นมือไปหยิกพวงแก้มกลมๆ ของนางด้วยความหมั่นเขี้ยว “เป็นหมอน่ะไม่ง่ายหรอกนะ เจ้าต้องอ่านตัวหนังสือให้ออก ต้องเรียนหนังสือ ต้องขยัน ต้องอดทน ต้องอดมื้อกินมื้อ หากรักษาคนไข้ไม่ดี ก็เท่ากับรักษาชีวิตของเขาไม่ได้ ต้องมีความรับผิดชอบสูงมากๆ ”
เด็กหญิงตัวน้อยฟังรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง สักพักพอนึกอะไรขึ้นได้ ก็ค่อยๆ กระซิบบอกกับกู้เจียว “แต่พวกเขาบอกว่า หมอหญิงเป็นอาชีพชั้นต่ำนี่นา”
กู้เจียวเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงเรียบ “เกิดมาเป็นคนเหมือนกัน ใยต้องแบ่งชนชั้นอีกเล่า”
ฮูหยินเมื่อได้ยินดังนั้น ก็เกิดรู้สึกละอายใจ
นางดูถูกอาชีพหมอหญิงมาโดยตลอด
แต่พอมาตอนนี้ จู่ๆ เกิดรู้สึกมีอะไรบางอย่างสะกิดหัวใจ
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะประโยคเมื่อครู่ หรือว่าเป็นความแน่วแน่อะไรบางอย่างในตัวเด็กสาวคนนี้