พอกู้เจียวตัดไหมเสร็จ ก็เห็นว่าเซียวลิ่วหลังยังไม่มารับ
บังเอิญเจอร้านถังหู่ลู่ตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามพอดี เป็นร้านที่ครั้งก่อนนางเห็นกู้เหยี่ยนมาซื้อกับกู้ฉังชิง
นางเห็นว่าถังหู่ลู่ที่ซื้อไปคราวนั้นทั้งดูสะอาดและมีให้เลือกเยอะ
กู้เจียวเดินเข้าไปในร้าน “เถ้าแก่ เอาถังหูลู่เซียงจาสามไม้ ถังหูลู่ส้มหนึ่งไม้ แล้วก็ถังหูลู่ฮ่วยซัวหนึ่งไม้”
เสี่ยวจิ้งคงชอบถังหูลู่ฮ่วยซัวมาก เพราะไม่มีเมล็ดมากวนใจ แถมเนื้อสัมผัสมีความนุ่มหยุ่นอีกด้วย
เถ้าแก่ยิ้มให้กู้เจียว “ได้เลยแม่หนู ทั้งหมดเป็นร้อยอีแปะ”
ข้าวของที่เมืองหลวงนี่แพงจริงๆ
เมืองอื่นเขาขายกันแค่สามสี่อีแปะเท่านั้น แค่ของที่ขายตามข้างถนนก็ปาเข้าไปสิบกว่าอีแปะแล้ว ยิ่งร้านนี้ยิ่งแล้วใหญ่ บวกราคาเพิ่มไปอีก
แต่ถังหูลู่ที่นี่ถือว่ามีขนาดใหญ่มาก แถมยังใกล้ช่วงเทศกาลด้วย ราคาก็เลยเป็นไปตามนั้น
กู้เจียวจ่ายเงิน รับถังหู่ลู่มา แล้วใส่ไว้ในตะกร้า
กู้เจียวยืนคิดเล่นๆ ว่ามารอเซียวลิ่วหลังตรงนี้ก็ไม่เลวเหมือนกัน สักพัก จู่ๆ นางก็รู้สึกได้ว่ามีใครบางคนกำลังสอดแนมนางอยู่
หากเป็นชาติที่แล้วของนาง ถ้าไม่รู้ตัวว่าถูกใครจับตามองอยู่ล่ะก็มีหวังได้ตายก่อนแน่นอน
กู้เจียวหันไปมอง แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่ทันระวังและคาดไม่ถึงว่ากู้เจียวจะรู้ตัวได้เร็ว ก็เลยหลบไม่ทัน ได้แต่ตีเนียนเข้าไปในฝูงชน
กู้เจียวนึกว่าเขาจะไปแล้ว ก็เลยไม่ได้สนใจต่อ นางยังคงปักหลักยืนรอที่เดิม เพราะไม่อยากคลาดกับเซียวลิ่วหลัง
แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะเริ่มไหวตัวอีกครั้ง เขาเล่นขึ้นไปบนชั้นสองของโรงเตี๊ยม เปิดหน้าต่างออก ง้างคันธนูแล้วเล็งที่กู้เจียว
ถึงขั้นใช้อาวุธกันเลยทีเดียว
คงกะเอาถึงตายเลยสินะ
“เถ้าแก่ อีกสักประเดี๋ยวหากมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลามากๆ มาถามถึงข้า รบกวนบอกให้เขารอข้าที่นี่ด้วย” กู้เจียวเอ่ยกับเถ้าแก่ร้านถังหูลู่
หล่อ หล่อมากๆ งั้นรึ
เถ้าแก่ทำหน้ามึนงง
แม่นางก็พูดจาเกินไป
ตั้งแต่เขาเปิดร้านมายี่สิบกว่าปี ลูกท่านหลานเธอก็เห็นมาหมดแล้ว จะมีใครหน้าตาดีไปกว่าพวกเขาได้อีก
เหล่าเชื้อพระวงศ์ในแคว้นเจานับว่าได้พันธุกรรมมาดี ไล่มาตั้งแต่ฮ่องเต้ ฮองเฮา นางสนม ไปจนถึงลูกหลาน
เถ้าแก่ไม่ได้ติดใจอะไรกับคำพูดของแม่นาง จนกระทั่ง มีคนมาถามถึงกู้เจียว เขาจึงบอกไปตามที่กู้เจียวกำชับไว้
กู้เจียวมุ่งหน้าไปยังโรงเตี๊ยม
พื้นที่ด้านในค่อนข้างซับซ้อน ทางเลี้ยวเคี้ยวคดค่อนข้างเยอะ
แต่ด้วยความที่กู้เจียวเป็นคนรู้ทิศ นางจึงพอเดาได้ว่าจะต้องเดินไปทางไหน
สักพัก ก็มาถึงห้องที่ชายคนนั้นซุ่มอยู่
เขาไหวตัวด้วยการกระโดดออกนอกหน้าต่างแล้วปีนขึ้นไปบนหลังคา
กู้เจียวยื่นตัวออกไปนอกหน้าต่างครึ่งท่อน แล้วมองขึ้นไปทางหลังคา จากนั้นใช้มือค้ำที่โครงหน้าต่าง แล้วกระโดดขึ้นมาบนหลังคา
ครั้งนี้ นางได้เห็นลักษณะคร่าวๆ ของเขาแล้ว
เป็นผู้ชาย
สวมชุดดำทั้งตัว
กู้เจียวจิกเท้าลงบนแผ่นกระเบื้อง ก่อนจะหยิบมันขึ้นมาแล้วใช้แรงเตะกระเบื้องอัดอีกฝ่าย
เขาไม่ทันตั้งตัวว่ากู้เจียวจะมาไม้นี้ เลยหลบไม่ทัน ร่างของเขาถูกแรงกระแทกของแผ่นกระเบื้องเข้าอย่างจังจนเซล้มลงไป
กู้เจียวได้ยินเสียงกระแทกของอะไรบางอย่าง ราวกับเศษเหล็กกระทบกระเบื้อง
หรือว่าเป็นเสียง…หน้ากาก!
กู้เจียวเดาได้แล้วว่าเขาคือใคร
คนจากสำนักเฟยซวงนี่เอง
กู้เจียวหรี่ตามอง ก่อนจะเดินเข้าไปใกล้ๆ
เขาไม่มีเวลาลุกขึ้นยืน จึงตัดสินใจกลิ้งตัวไปทางริมหลังคา แล้วหนีออกไป
อ้อ
ฉลาดไม่เบานี่
ดูท่าจะเก่งกว่าพวกคนในค่ายต่อสู้เสียอีก
นานแค่ไหนแล้วนะที่ไม่ได้เจอคู่ปรับที่ทัดเทียมขนาดนี้ กู้เจียวคิด พลางยิ้มมุมปาก
เบื้องล่างนั้น เป็นลานของโรงมหรสพ
กู้เจียวกระโดดตามลงไป
แม้ดูเหมือนเสียงดนตรีที่กำลังดังสั่นจะกลบเสียงฝีเท้ามิด แต่กู้เจียวเป็นคนที่แยกแยะเสียงได้ดีเป็นอันดับหนึ่งขององค์กร
นางเดินผ่านม่านระย้า ไปยังห้องเล็กๆ ห้องหนึ่ง แล้วใช้มือผลักร่างของชายคนนั้นจนล้มลง!
ชายคนนั้นร้องเสียงอู้อี้ เขาล้มแรงจนรู้สึกราวกับสมองจะไหลออกมา
แม่นางผู้นี้เป็นใครกันแน่ เหตุใดถึงแรงเยอะเช่นนี้!
แต่ครั้งนี้ เขาไม่มีทางยอมนางอย่างง่ายดายแน่นอน
ชายคนนั้นคว้าผงจากในกระเป๋าขึ้นมาโปรยเพื่อเป็นกำบังให้เขาหลบหนีออกไป
และเป็นอีกครั้งที่เขาหนีกู้เจียวไปได้ หากเป็นชาติที่แล้ว กู้เจียวไม่มีทางปล่อยเอาไว้แน่นอน กู้เจียวคิด ดูเหมือนแรงของตนจะตกลงไปเยอะพอสมควรเลย
กู้เจียวพยายามตามเขาไป จนกระทั่งไปเจอกับห้องลับใต้ดินห้องหนึ่ง
แต่ร่างของเขากลับหายไปอย่างไร้ร่องรอย
แปลกเสียจริง
หายไปไหนแล้วนะ
แล้วที่นี่มันอะไรกัน ไหนว่าเป็นโรงมหรสพไม่ใช่หรือ
ไฉนถึงได้มีห้องลับตั้งอยู่ใต้ดินได้ล่ะ
เป็นห้องเก็บของงั้นหรือ หรือว่า
ขณะที่กู้เจียวยืนนึกอยู่นั้น บริเวณทางเข้ามีเสียงฝีเท้าดังขึ้น กู้เจียวจึงรีบเข้าไปหลบที่หลังตู้บานใหญ่
มีใครบางคนเดินเข้ามาพร้อมกับตะเกียงไฟ ทำให้กู้เจียวมองเห็นบริเวณนั้นได้ชัด
ตรงนั้นมีห้องอยู่สองห้อง ห้องที่ตั้งอยู่ด้านนอกดูเหมือนจะเป็นห้องประชุมลับ ส่วนห้องที่กู้เจียวกำลังยืนหลบอยู่ เหมือนจะเป็นห้องเก็บสมบัติ
มีหญิงวัยเยาว์สองคนเดินเข้ามาด้านใน
คนหนึ่งถือตะเกียง ส่วนอีกคนเปิดผ้าม่านแล้วมองมาทางห้องเก็บสมบัติราวกับกำลังสำรวจอะไรบางอย่าง แต่ก็รู้อยู่แก่ใจว่าในนี้ไม่มีคนอยู่แล้ว ก็เลยไม่ได้เดินเข้ามาสำรวจด้านใน
หญิงคนนั้นดึงผ้าม่านลง แล้วเอ่ยกับหญิงอีกคน “จุดตะเกียงเถอะ แล้วก็จัดเตรียมน้ำชาไว้ด้วยล่ะ”
“เพคะ” หญิงสาวอีกคนขานรับ
พอจุดตะเกียง เลยดูแบ่งแยกชัดเจนว่าตรงที่กู้เจียวยืนอยู่นั้นมืดมาก ยิ่งเหมาะแก่การหลบซ่อน
พอทุกอย่างถูกเตรียมไว้เรียบร้อย ก็มีหญิงในชุดขาวเสื้อคลุมเขียวเดินเข้ามาด้านใน
ใบหน้าของนางถูกบดบัง แต่รูปร่างของนางแลดูอรชร นิ้วเรียวยาวดั่งลำเทียน ดูปราดเดียวก็รู้ว่ามาจากตระกูลร่ำรวย
พอนางเดินเข้ามาในห้อง ก็ทำท่าส่งสัญญาณให้นางกำนัลเดินออกไปจากห้อง
มีเพียงแค่หญิงอรชรเพียงผู้เดียวที่อยู่ในห้อง
กู้เจียวที่กำลังสองจิตสองใจว่าจะเดินออกไปตอนนี้เลยดีไหม ตอนนั้นเอง ก็ปรากฏร่างของบุรุษสวมชุดขนสัตว์เดินเข้ามาด้านใน
บุรุษคนนั้นมีรูปร่างสูงโปรงเกินระยะสายตาของกู้เจียว ใบหน้าของเขาถูกคานประตูบดบัง เหลือให้เห็นเพียงแค่คางเรียวแหลมของเขา
เขานั่งลงตรงข้ามหญิงสาว
คราวนี้กู้เจียวยิ่งมองไม่เห็นกว่าเดิม เพราะตรงที่เขานั่งดันเป็นจุดบอดของตรงที่กู้เจียวยืนหลบอยู่พอดี
กู้เจียวจึงเห็นแค่หญิงที่สวมผ้าปิดหน้า
ถึงกระนั้น ก็ยังพอเห็นรางๆ ได้อยู่บ้างเล็กน้อย
“ท่านกลับมาแล้วหรือ องค์หญิงทรงเป็นอย่างไรบ้าง” หญิงเอ่ยถาม
แม้จะไม่เห็นสีหน้า แต่ฟังจากน้ำเสียงแล้ว เต็มไปด้วยความรู้สึกเคารพยำเกรง
เสียงของเด็กสาวคนนี้ ถ้าเป็นในชาติก่อน มีหวังได้ไปออกรายการไมค์ทองคำแน่นอน
บุรุษเอ่ยตอบด้วยเสียงนุ่มทุ้มลึก “นางสบายดีพ่ะย่ะค่ะ ขอบพระทัยท่านที่ทรงคำนึง”
พวกเขาสองคนไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไป
นัดพบกันในที่รโหฐานแบบนี้ แสดงว่ามีเรื่องที่ไม่ต้องการให้คนนอกรับรู้
กู้เจียวนึกในใจ นี่ตนจะต้องรอในนี้ไปอีกนานแค่ไหน ชายคนนั้นอุตส่าห์ล่อนางมาถึงที่นี่ก็เพราะจะยืมมือคนพวกนั้นสังหารตนสินะ
ไม่รู้ว่าชายคนนั้นตอนนี้ไปหลบอยู่ที่ไหนแล้ว
หญิงสาวเอ่ยต่อ “องค์หญิงทรงสบายดี ข้าเองก็ไร้กังวล”
ชายผู้นั้นเอ่ยตอบ “พระองค์เรียกกระหม่อมมาพบด้วยเหตุอันใดหรือ”
หญิงสาวถอนหายใจ “ท่านไม่ต้องใช้คำสุภาพหรอก โปรดเรียกข้าว่าหลินหลังเหมือนแต่ก่อนจะดีกว่า”
“กระหม่อมมิบังอาจ”
ชายคนนั้นปากบอกไม่กล้า แต่ด้วยท่าทางและราศีของเขาช่างดูเหนือกว่าฟ้ากว้างกว่าทะเลเสียอีก
หญิงสาวไม่คะยั้นคะยอต่อ จากนั้นดันหีบห่อที่อยู่บนโต๊ะยื่นให้อีกฝ่าย “อันที่จริงไม่มีอะไรหรอก ข้าเห็นว่าใกล้วันส่งท้ายปีเก่าแล้ว ด้วยสถานะปัจจุบันของข้า จึงไม่สะดวกที่จะไปที่สุสาน โปรดท่านช่วยข้าเผาเงินกระดาษและธูปเทียนให้เขาด้วย”
“ท่านทรงเมตตายิ่งนัก” น้ำเสียงของบุรุษไร้ซึ่งอารมณ์
หญิงเอ่ยถาม “ท่านถือโทษข้าหรือ”
ชายคนนั้นตอบ “พระองค์ทรงคิดมากไปพ่ะย่ะค่ะ”
“ชีวิตนี้ ข้าคงไม่มีโอกาสเรียกท่านว่าท่านพ่อสินะ ข้าทั้งรู้สึกเสียใจและเสียดาย ท่านก็เปรียบเสมือนพระบิดาของข้า เป็นคนที่ข้าเคารพรักยิ่ง”
ชายผู้นั้นเอ่ย “ท่านทรงเยินยอเกินไปแล้ว”
ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบสงัด บุรุษคนนั้นดูไม่ใช่คนช่างเจรจาเท่าใด ส่วนหญิงสาวเองก็ไม่เอ่ยอะไรออกมาเช่นกัน
สักพักหญิงสาวก็กระแอมออกมา
ชายผู้นั้นเอ่ยถาม “ท่านไม่สบายหรือพ่ะย่ะค่ะ”
หญิงส่ายหัว “ไม่เป็นไรมากหรอก แค่อากาศเปลี่ยนน่ะ”
“พระองค์ทรงรักษาพระวรกายด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
“เข้าใจแล้ว” หญิงสาวพยักหน้า
ฟังจากเสียง กู้เจียวรับรู้ได้ถึงความห่วงใยที่ชายหนุ่มมีต่อหญิงสาว
“พูดถึงเรื่องนี้ จู่ๆ ข้าก็นึกอะไรขึ้นได้ ตั้งแต่ครั้งที่ฝ่าบาทกับองค์ชายใหญ่เสด็จเยือนภาคใต้ ก็ไม่มาเหยียบที่วังหลังอีกเลย ข้าได้ยินมาว่าระหว่างทาง พวกเขาเจอกับนักพรตเทวดาท่านหนึ่ง นักพรตท่านนั้นได้มอบวิชาอมตะให้ฝ่าบาท แต่มีกฎอยู่ว่าฝ่าบาทต้องทรงจุดธูปสวดคาถาทุกวัน และห้ามเข้าใกล้หญิงสาว แม้แต่ฮองเฮาเองก็มิอาจเข้าใกล้ฝ่าบาทได้”
ชายผู้นั้นเอ่ยถาม “ที่พระองค์ต้องการจะสื่อก็คือ…”
“ข้าสงสัยว่านักพรตคนนั้นเป็นอุบายขององค์ชายใหญ่”
“กระหม่อมรับทราบ จะส่งคนไปสืบเสาะนักพรตคนนั้นโดยเร็ว หากไม่มีอะไรแล้ว กระหม่อมขอตัวลาก่อน”
บุรุษลุกขึ้นยืน โค้งคำนับให้ หญิงสาวเองก็ทำความเคารพตอบ
หลังจากที่เขาออกไป หญิงคนนั้นยังคงนั่งต่ออีกพักหนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจเดินออกจากตรงนั้น
ทันใดนั้นเอง ก็เกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้นจนได้ หลังคาห้องใต้ดินเริ่มแตกเป็นเสี่ยงๆ ส่งผลให้เศษกระดานไม้ถล่มลงมาในชั่วพริบตา!
“ไท่จื่อเฟย”
สิ้นเสียงร้องของนางกำนัล ไท่จื่อเฟยถูกจมอยู่ในกองกระดานไม้ รวมถึงกู้เจียวด้วยเช่นกัน