บทที่ 166 บุตรชายของเขา

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

“ขอบคุณท่านพี่เซียวมากที่ช่วยข้า ในที่สุด ข้าก็จะได้ฉลองปีใหม่อย่างสบายใจเสียที! แล้วข้าจะใช้บริการอีกนะ” เป็นเสียงของบัณฑิตของกั๋วจื่อเจียนที่กำลังยืนส่งเซียวลิ่วหลังที่หน้าประตูเรือน

เขาเป็นเพื่อนร่วมชั้นของเฝิงหลิน อายุน้อยกว่าเซียวลิ่วหลังหนึ่งปี สอบเข้าได้ด้วยการใช้เส้นสาย และไม่ใช่คนเรียนเก่ง ด้วยความที่ต้องฉลองปีใหม่กับญาติพี่น้อง เขาจึงแก้ปัญหาด้วยการให้เซียวลิ่วหลังช่วยเขียนกลอนให้

เซียวลิ่วหลังเขียนลงไปตามความสามารถของคนว่าจ้าง ไม่ดูอลังการเกินไป แต่ก็ไม่ธรรมดาเกินจนไม่น่าอ่าน

“ส่งข้าแค่นี้ก็พอแล้ว” เซียวลิ่วหลังไม่อยากให้เขาเดินไกล จึงขอเดินออกไปเอง

ท้องฟ้าขมุกขมัว อากาศเริ่มเย็นลง

เซียวลิ่วหลังขึ้นรถม้ามุ่งหน้าไปหากู้เจียว

พอหญิงนางหนึ่งเจอกับเขา ก็บอกไปว่า “เจ้ามาหาหมอหญิงกู้ใช่หรือไม่ นางออกไปตั้งนานแล้ว เห็นบอกว่าจะไปซื้อถังหูลู่ที่ฝั่งตรงข้ามนู่น”

นางเอ่ยพลางชี้ไปทางร้านถังหูลู่

ร้านที่ว่าเป็นร้านเก่าแก่ของเมืองหลวง เถ้าแก่เป็นคนเจียงหนาน ตอนเด็กๆ เซียวลิ่วหลังเองก็เคยมาที่นี่อยู่บ่อยๆ เพียงแต่ตอนนั้นพวกเขายังไม่มีถังหูลู่ขาย

พอเซียวลิ่วหลังมาถึงร้านก็พบว่าเถ้าแก่คนเดิมไม่อยู่แล้ว

เถ้าแก่คนเก่าอายุมากแล้ว เลยนั่งพักอยู่ที่หลังร้าน เถ้าแก่คนปัจจุบันคือลูกชายของเขา

“เถ้าแก่”

เซียวลิ่วหลังเอ่ยทัก ก่อนจะถามเรื่องกู้เจียว อีกฝ่ายก็เอ่ยถามเขาก่อน “ท่านชายกำลังตามหาคนอยู่รึ”

เซียวลิ่วหลังทำท่าตกใจ

บนใบหน้าของเขามีเขียนบอกหรือว่าเขากำลังตามหาคนอยู่

ตอนแรกเถ้าแก่ก็ไม่ได้ติดใจอะไรกับคำพูดของกู้เจียวที่บอกว่าคนหล่อๆ อะไรนั่น แต่พอเขาได้ยลโฉมเซียวลิ่วหลังตัวจริงเสียงจริง ก็พลันนึกถึงประโยคที่กู้เจียวกำชับกับเขาไว้ “เถ้าแก่ อีกสักประเดี๋ยวหากมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลามากๆ มาถามถึงข้า รบกวนบอกให้เขารอข้าที่นี่ด้วย”

ถ้าจะให้พูดแบบสวยหรูแบบคนมีการศึกษา คงจะต้องบอกว่า ‘คมขำล้ำเข้มเกินมนุษย์ ประเสริฐสุดหมื่นชายไม่มีเหมือน’

หล่อเหลาอย่างที่นางว่าจริงๆ

งามอย่างกับเทวดาบนสวรรค์

“ท่านรู้ได้อย่างไร” เซียวลิ่วหลังเอ่ยถาม

เถ้าแก่จึงเล่าทุกคำที่กู้เจียวพูดกับเขา

หล่อเหลางั้นรึ

นี่นางพูดถึงเขาแบบนี้หรอกรึ

เซียวลิ่วหลังคลี่ยิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัว “นางได้บอกท่านหรือไม่ว่าไปทำอะไร”

เถ้าแก่ส่ายหัว “นางไม่ได้พูดถึงเลย”

“ออกไปนานแล้วหรือยัง”

“สักพักใหญ่ๆ แล้วล่ะ เนี่ย จนข้าขายถังหูลู่เกือบหมดแล้ว”

เซียวลิ่วหลังเริ่มมีลางสังหรณ์ไม่ดี “ท่านเห็นหรือไม่ว่านางไปทางไหน”

เถ้าแก่ชี้ไปที่โรงเตี๊ยม “ดูเหมือนว่านางจะเข้าไปในนั้นนะ”

เซียวลิ่วหลังเดินเข้าไปในโรงเตี๊ยม

พอเข้าไป ก็ได้ยินเสียงแขกของโรงเตี๊ยมกำลังพูดคุยกัน

“เจ้ารู้ข่าวเรื่องโรงมหรสพชิงเฟิงหรือยัง”

“โรงมหรสพเปิดใหม่ที่เจ้าเคยพูดถึงนะหรือ เกิดอะไรขึ้นล่ะ”

“ก็ดันเกิดถล่มลงมาน่ะสิ เฮ้อ เมื่อก่อนตรงนั้นเคยเป็นโรงเก็บเหล้า ขุดห้องใต้ดินไว้ตั้งเยอะแยะ ข้าก็กะแล้วเชียวว่าสักวันจะต้องถล่มลงมา!”

เซียวลิ่วหลังเริ่มใจคอไม่ดี

“มีคนติดอยู่ด้านในรึ”

“มีสิ ได้ยินมาว่าเป็นผู้หญิงด้วยล่ะ!”

เซียวลิ่วหลังไม่รู้จักโรงมหรสพที่พวกเขาพูดถึง แต่พอเอ่ยชื่อโรงเก็บเหล้า เขานึกออกทันที ถนนเส้นนี้เคยมีโรงเก็บเหล้าตั้งอยู่ก่อน เปลี่ยนเจ้าของไปหลายครั้ง แต่ยังคงธุรกิจค้าขายสุราเหมือนเดิม

ไม่ได้มาตั้งหลายปี กลายเป็นโรงมหรสพไปแล้วรึ

เซียวลิ่วหลังรีบพุ่งตัวไปยังที่เกิดเหตุ

บริเวณนั้น ผู้คนเริ่มรายล้อมกันหนาตา ซึ่งก็แปลว่ามีอุบัติเหตุเกิดขึ้นจริงๆ แม้แต่ตำรวจเองก็มายืนล้อมตรงนั้นเช่นกัน

พวกตำรวจกันพื้นที่เอาไว้ ชาวบ้านจึงได้แต่ยืนด้อมๆ มองๆ

แขกที่มาใช้บริการออกจากพื้นที่หมดแล้ว จะเหลือก็แค่ไท่จื่อเฟย นางกำนัลสองคน ทหารยามและเจ้าของหอโรงมหรสพที่ยังติดอยู่ข้างใน

เจ้าของรู้ว่าคนที่ติดอยู่ข้างในนั้นคือไท่จื่อเฟย แต่พวกตำรวจยังไม่รู้

นางกำนัลคนหนึ่งเอ่ยขึ้น “รีบไปช่วยเร็วเข้า! ข้างล่างมันอันตรายมากเลยนะ! อย่าให้ฮูหยินของข้าต้องรอนานสิ!”

ตำรวจเรียกเจ้าของมาถาม “ข้างล่างนี้เอาไว้ใช้ทำอะไรรึ”

เจ้าของเอ่ยตอบ “เดิมทีเป็นห้องเก็บสุรา ต่อมาข้าเปลี่ยนให้เป็นห้องใต้ดินเอนกประสงค์”

ตำรวจถามต่อ “มีแค่ห้องเดียวรึ แล้วตรงนั้นล่ะ”

“ตรงนั้นก็เป็นห้องใต้ดินเหมือนกัน มีขนาดเล็ก เลยเอาไว้ใช้เก็บพวกสมบัติต่างๆ ”

“แล้วในห้องนั้นมีคนอยู่หรือไม่”

นางกำนัลโพล่งขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์ “จะไปมีคนอยู่ได้อย่างไรล่ะ”

ก็นางตรวจดูแล้วนี่นา

นางกำนัลอีกคนพยายามดึงเสื้อนางกำนัลคนแรกไว้ พยายามเตือนว่าอย่าเผลอพูดอะไรออกไป

นางกำนัลคนแรกจึงกระแอมในลำคอ “พวกท่านอย่ามั่วแต่เสียเวลากันอยู่เลย ฮูหยินของข้าอยู่ในนั้นคงอึดอัดน่าดู พวกท่านได้ยินเสียงของนางหรือไม่ นางตะโกนร้องจนแทบจะไม่มีเสียงแล้วนะ”

ตะโกนร้องจนไม่มีเสียง แปลว่านางยังอยู่ในสภาพที่พูดได้

แม้นางจะถูกฝังอยู่ใต้ดิน แต่โชคยังดีที่ไม่ได้รับบาดเจ็บ

กู้เจียวที่แอบอยู่ในห้องเก็บสมบัติเล็กๆ อยู่ในสถานการณ์ที่แย่กว่ามาก เพราะมีก้อนหินใหญ่สองก้อนร่วงลงมาประกบร่างของกู้เจียวทั้งสองฝั่งซ้ายขวา ซ้ำร้าย มีก้อนหินขนาดใหญ่คาอยู่บริเวณรอยต่อของพื้น

ด้วยแรงโน้มถ่วงและความหนักของก้อนหิน ก้อนหินที่ขนาบข้างกู้เจียวเริ่มเขยื้อนออกไปด้านข้างเรื่อยๆ ส่วนก้อนที่อยู่ด้านบนก็เริ่มมีแนวโน้มจะตกลงมา

ก้อนหินลูกใหญ่นี้ ซีกนึงอยู่ทางฝั่งกู้เจียว ส่วนอีกซีกหนึ่งอยู่ทางฝั่งไท่จื่อเฟย

ให้ยกก้อนหินออกมาคงจะเป็นการยาก วิธีที่ดีที่สุดคือทำให้ซีกใดซีกหนึ่งกระดกขึ้น เพื่อช่วยไท่จื่อเฟยออกมา

แต่หากทำเช่นนั้น กู้เจียวที่อยู่ให้ห้องเก็บสมบัติก็จะถูกหินก้อนนั้นกดทับ

“ถ้าเจ้ายืนยันว่าไม่มีคนอยู่ งั้นก็เริ่มเลยแล้วกัน” องครักษ์เอ่ย

“ช้าก่อน!”

เซียวลิ่วหลังเดินค้ำไม้เท้าเข้าไปกลางวง

“ใครใช้ให้เขาเข้ามากัน” องครักษ์ทำหน้างุนงง

ทหารที่เฝ้าทางเห็นว่าเขาเป็นคนขาเป๋ เลยไม่ได้ใส่ใจอะไร ใครจะไปนึกละว่าจู่ๆ เขาจะบุกเข้ามาเร็วขนาดนี้

“ด้านล่างมีคนอยู่” เซียวลิ่วหลังเอ่ย

นางกำนัลคนแรกแย้งขึ้น “เจ้าอย่าพูดจาเหลวไหล! ก็ข้าเห็นอยู่ว่าไม่มีคน!”

“ถ้าไม่เชื่อก็ลองฟังดูสิ” เซียวลิ่วหลังเอ่ยเสียงแข็ง

เหล่าองครักษ์บอกให้ทุกคนเงียบเสียงลง

พวกเขาย่อตัวลงแล้วเงี่ยหูฟัง มีเสียงอยู่จริงๆ เป็นเสียงตึงๆ ราวกับมีคนใช้ก้อนหินเคาะกำแพง

พวกเขาเริ่มลังเล

ในเมื่อข้างล่างนี้มีคนอยู่ ถ้าหากใช้วิธีเดิมละก็ แปลว่าต้องแลกมาด้วยหนึ่งชีวิตเพื่อช่วยอีกหนึ่งชีวิต น่าหดหู่ยิ่งนัก

นางกำนัลโพล่งขึ้นอีกครั้ง “จะรออะไรอีกล่ะ รีบช่วยคนสิ!”

เวลาก็ผ่านไปเรื่อยๆ หากปล่อยไว้เช่นนี้ ไม่เพียงแต่ทรมานร่างกายไท่จื่อเฟย คนในวังอาจเริ่มสงสัยแล้วก็เป็นได้

องครักษ์แย้งขึ้น “นี่แม่นาง ไม่ใช่ว่าพวกเราไม่อยากช่วย แต่ข้างล่างนั่นมีคนอยู่ตั้งสองคน หากรีบร้อนเกินอาจทำให้อีกคนเสียชีวิตได้นะ!”

นางกำนัลทั้งสองต่างมองหน้ากัน

ห้องเก็บสมบัตินั่นออกจะลึกลับซับซ้อน ไม่ควรมีใครอยู่ตรงนั้นตั้งแต่ทีแรก หากมีคนอยู่จริงๆ จะต้องเป็นคนที่พยายามลอบทำร้ายไท่จื่อเฟยอย่างแน่นอน!

นางกำนัลคนแรกเอ่ย “ใครจะไปรู้ละว่าข้างล่างนั้นจะใช่คนจริงๆ หรือเปล่า อาจจะเป็นหมาแมวที่ไหนก็ได้ ไม่เชื่อท่านก็ลองถามเจ้าของดูสิว่าเคยมีใครไปตรงนั้นไหม”

แน่นอนว่าเจ้าของร้านต้องตอบว่าไม่เคย

องครักษ์เริ่มหนักใจ

ในนั้นไม่มีทางเป็นหมาแมวไปได้ จากที่ได้ยินเสียงเคาะเป็นจังหวะๆ ซึ่งก็ชัดเจนว่ามีคนอยู่ในนั้น ซ้ำยังเป็นคนที่ตกอยู่ในอันตรายด้วย

“ท่านมีวิธีที่ดีกว่านี้ไหมล่ะ” นางกำนัลเอ่ยถาม

พวกเขาหนักใจกว่าเดิม

แน่นอนว่า…ไม่มีแล้ว

นางกำนัลคนแรกหยิกที่นิ้วตัวเอง พลางปรึกษากับนางกำนัลอีกคน ได้ข้อสรุปว่า พวกเขายอมเปิดเผยตัวตนว่ามาจากวัง

นางยื่นตราให้พวกเขาดู

พอตำรวจเห็นตราของวังบูรพา ก็ตกใจจนเข่าทรุด

นางกำนัลคนแรกเอ่ยขึ้น “ข้าจะบอกความจริงก็แล้วกัน ว่าคนที่ติดอยู่ข้างล่างนั่นคือคนของวัง หากเกิดอะไรขึ้นกับนางเพราะความไม่ระมัดระวังของพวกเจ้า อย่าหาว่าพวกข้าไม่เตือนก็แล้วกัน!”

จากที่ฟังแล้ว คนคนนั้นคงต้องเป็นบุคคลระดับสูงของวังบูรพา อาจเป็นพระสนม อาจเป็น…

พวกเขาไม่กล้าเดาต่อแล้ว

คนหนึ่งเป็นคนจากวัง ส่วนอีกคนเป็นชาวบ้านตาดำๆ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าจะต้องช่วยใครก่อน

องครักษ์จึงออกคำสั่งให้ลูกน้องไปเตรียมเชือกเพื่อผูกกับหินฝั่งไท่จื่อเฟย

เซียวลิ่วหลังแย้งขึ้น “พวกเจ้าคิดจะทำอะไรน่ะ ไม่สนความเป็นความตายของอีกคนเลยหรือ”

องครักษ์ตอบเขาอย่างตรงไปตรงมา “พ่อหนุ่ม ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นคนดี แต่คนในนั้นเป็น…เป็นคนเบื้องสูง หากเกิดอะไรขึ้น พวกเรารับผิดชอบไม่ไหวหรอก”

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เซียวลิ่วหลังต้องมาเผชิญคำพูดพวกนี้ ในช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวาน เขาเพิ่งจะตระหนักได้ว่าตำแหน่งลาภยศนั้นสำคัญแค่ไหน

ไม่ใช่ทุกครั้งหรือทุกเรื่องที่จะปล่อยผ่านไปได้โดยไม่มีอะไรเกิดขึ้น

เป็นเพราะเขาไม่ได้อยู่จุดสูงสุด เลยไม่มีใครรับฟังจิ้งคง

เป็นเพราะเขาไม่ได้อยู่จุดสูงสุด ชีวิตของกู้เจียวเลยสำคัญน้อยกว่าคนของวัง

เซียวลิ่วหลังกำหมัดแน่น

ดวงตาทั้งสองข้างเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดง หัวใจของเขาแตกสลาย

พวกเขาผูกเชือกเรียบร้อย เตรียมช่วยกันยกขึ้น

ในตอนนั้นเอง เซียวลิ่วหลังตัดสินใจโยนไม้เท้าทิ้ง แล้วกระโดดลงไปตรงช่องโหว่ที่อยู่ระหว่างก้อนหินและรอยแตกที่พื้น

“เจ้าทำอะไร บ้าไปแล้วเหรอ! ข้างล่างนั่นอันตรายนะ! รีบขึ้นมาเดี๋ยวนี้! พวกเจ้าหยุด หยุด หยุด หยุดหยุดก่อน!” องครักษ์ทำหน้าตื่นตกใจแล้วรีบตะโกนสั่งหยุดทุกอย่าง

พวกลูกน้องที่เตรียมช่วยกันดึงเชือกเลยหยุดตามคำสั่ง

นางกำนัลคนแรกเริ่มบันดาลโทสะ “หยุดอะไร ใครใช้ให้หยุด ก็เจ้านั่นมันอยากไปตายเอง! ใยต้องสนใจอีก! ก็รู้อยู่แล้วว่าอันตรายนี่ พวกมันน่ะสมคบคิด! จงใจวางอุบายทำร้ายคนของไท่จื่อ! หรือว่าพวกเจ้าเป็นพวกเดียวกัน!”

เล่นเอ่ยประโยคค้ำคอไว้เสียขนาดนี้ ใครเล่าจะเห็นใจชาวบ้านตาดำๆ สองคนนั้น

เซียวลิ่วหลังหันไปมององครักษ์ ก่อนจะเอ่ยประโยคหนึ่งด้วยน้ำเสียงอันเย็นเยือก ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นพอได้ยินก็ถึงกับอ้ำอึ้ง

บนถนนที่ผู้คนและรถราไหลเวียนตลอดเวลา รถม้าคันหนึ่งที่ไร้ซึ่งความโดดเด่นกำลังเคลื่อนตัวอย่างเนิบช้า

คนที่อยู่ในรถม้า คือเซวียนผิงโหวและผู้ดูแลหลิว

ผู้ดูแลหลิวเองก็เพิ่งจะได้เจอกับนายท่าน เลยขึ้นรถม้าไปด้วยกัน

“เรื่องที่มอบหมายไว้ ไปถึงไหนแล้ว” เซวียนผิงโหวเอ่ยถาม

ผู้ดูแลหลิวได้แต่ยิ้มอย่างละอายใจ

ตอนนั้นเขาเองที่ประกาศกร้าวว่าจะพาบุตรชายที่เป็นลูกนอกสมรสกลับมาให้ทันฉลองปีใหม่ที่จวน แล้วนี่ก็ใกล้จะถึงวันปีใหม่แล้ว เด็กคนนั้นไม่เอาอะไรสักอย่างแม้แต่ยศถาบรรดาศักดิ์

“ทำไม่ได้ก็พูดมาตรงๆ ” เซวียนผิงโหวเอ่ยเสียงเนิบ

ผู้ดูแลหลิวตอบ “เจอตัวแล้วก็จริง แต่ท่านชายน้อย…อาจยังคงฝังใจเรื่องในอดีต เลยไม่ยอมกลับขอรับ”

“อืม” เซวียนผิงโหวขานตอบเบาๆ ไร้ซึ่งอารมณ์ใด “ไม่กลับก็ช่างเถอะ”

เซวียนผิงโหวไม่ชอบบังคับใครอยู่แล้ว

ผู้ดูแลหลิวนั่งปาดเหงื่อ พลางคิด ยังดีที่ไม่โดนลงโทษ

ปกติเซวียนผิงโหวจะไม่ลงโทษบ่าว คนที่เพิ่งเข้ามาทำงานที่จวนมักจะคิดว่าท่านโหวคนนี้ต่างจากข่าวลือยิ่งนัก เป็นคนมีเมตตา ใจกว้าง ไม่ทำร้ายคนที่อ่อนแอกว่า

นั่นก็เพราะว่า คนที่ทำให้ท่านโหวโกรธได้ล้วนไปยมโลกกันหมดแล้วน่ะสิ

คนที่ยังมีชีวิตอยู่ คือคนที่ไม่เคยกระตุกหนวดท่านโหว

บางครั้งท่านโหวเองก็เป็นคนที่อารมณ์แปรปรวน เดี๋ยวดี เดี๋ยวร้าย

เขาสามารถสนทนาและหัวเราะกับผู้คน และจู่ๆ ก็เกิดหัวฟัดหัวเหวี่ยงเอามีดไล่ฟันคนได้ในวินาทีถัดมา

แต่โดยรวมแล้ว ถือว่าท่านโหวเป็นคนที่ใจกว้างมากๆ คนหนึ่ง

ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่ได้มายืนอยู่ในจุดนี้อย่างทุกวันนี้แน่นอน

“ท่านโหว!”

นายทหารคนสนิทควบม้าเข้ามาใกล้ๆ

เซวียนผิงโหวเปรยตามองช้าๆ

ผู้ดูแลหลิวสั่งให้รถม้าหยุด

“มีเรื่องอันใด” เซวียนผิงโหวดึงผ้าม่านออก

“เกิดเรื่องกับไท่จื่อเฟยแล้วขอรับ เหตุเกิดตอนที่ท่านเพิ่งออกจากโรงมหรสพไปได้ไม่นาน จู่ๆ พื้นก็ถล่ม ไท่จื่อเฟยกับชาวบ้านอีกคนติดอยู่ข้างในห้องเก็บสมบัติขอรับ”

มีคนอยู่ในห้องเก็บของอย่างนั้นรึ นี่เป็นเรื่องสำคัญ

นั่นแปลว่าการเจอกันลับๆ ระหว่างเซวียนผิงโหวและไท่จื่อเฟยจะไม่เป็นความลับอีกต่อไป

เซวียนผิงโหวยังคงทำหน้านิ่ง

ส่วนคนที่ทำท่ากังวล กลับเป็นผู้ดูแลหลิว

ทหารผู้นั้นเล่าเหตุการณ์ต่อ “ทั้งสองคนถูกหินก้อนใหญ่บังอยู่บริเวณเหนือศีรษะ พวกตำรวจดันหินทั้งก้อนไม่ขึ้น จึงต้องเลือกฝั่งใดฝั่งหนึ่งเพื่อช่วยคนขึ้นมา แต่ว่า หากเลือกช่วยคนฝั่งนึง คนที่อยู่อีกฝั่งก็จะถูกก้อนหินกดทับและอาจถึงแก่ความตาย นางกำนัลของไท่จื่อเฟยยื่นตราของวังบูรพาให้พวกองครักษ์ พวกเขาถึงได้เลือกจะช่วยเหลือไท่จื่อเฟย แต่ในตอนนั้นเอง จู่ๆ ก็มีบัณฑิตหนุ่มคนหนึ่งกระโจนเข้าไปตรงก้อนหิน แล้วหันมาพูดกับองครักษ์ว่า…”

สิ้นประโยคท้าย นายทหารหันมาเหลือบมองเซวียนผิงโหว แล้วนิ่งไป

“เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับข้าอย่างนั้นรึ” เซวียนผิงโหวเอ่ยถาม

นายทหารทำหน้าเจื่อนๆ ก่อนเอ่ยตอบ “บัณฑิตหนุ่มคนนั้นบอกว่า คนที่อยู่ข้างในนั้นอีกคนก็คือ…คือท่านขอรับ!”