ตอนที่ 55-1 ขาดประสบการณ์ตรง

หลังจากหลี่เว่ยหยางโค้งคำนับแล้วนางจึงกล่าวว่า:

“เพื่อต้องการจะแบ่งเบาภาระของฝ่าบาท ท่านพ่อได้ส่งสายลับไปยังพื้นที่ประสบภัยพิบัติเพื่อสืบหาข่าว และเพื่อทำความเข้าใจสถานการณ์อย่างแท้จริง

สายลับแจ้งว่า เมื่อขุนนางและเจ้าหน้าที่เหล่านั้นทราบว่า ทางราชสำนักส่งคนมาตรวจสอบ

เขาจึงเปิดเตาเพื่อทำอาหารให้กับบรรดาผู้ประสบภัยพิบัติตลอดทั้งคืน โดยใช้เสาสูงแขวนป้ายสีเหลืองเขียนคำว่า ‘ส่วนราชการ’

จากนั้นจึงรอให้ผู้ประสบภัยพิบัติมารวมตัวกัน เมื่อเจ้าหน้าที่ตรวจสอบมาถึง จึงเริ่มตีระฆังเพื่อเริ่มแจกจ่ายข้าวต้ม

แต่เมื่อบรรดาสายลับกลับออกไปพวกเขาได้รื้อเตาทิ้งทันที และการบรรเทาภัยพิบัติก็สิ้นสุดลงเช่นกัน

ฝ่าบาท…มิเพียงแต่เจ้าหน้าที่จะยักยอกเงินเข้ากระเป๋าของตนเองเท่านั้น

สิ่งที่แย่ไปกว่านั้นคือ พวกเขายังผสมโคลนและเปลือกไม้ลงในเมล็ดพืชเพื่อเพิ่มน้ำหนักให้กับธัญพืชเหล่านั้น

ในท้ายที่สุดเมื่อนำธัญพืชเหล่านั้นลงไปต้มในหม้อ และผู้ประสบภัยพิบัติพยายามที่จะกิน“ ข้าวต้ม” ชนิดนี้จึงถึงขั้นขาดสารอาหารตาย

เมื่อจักรพรรดิได้ฟังดังนั้นจึงพบว่าตนเองโง่เขลา เพราะพระองค์มิเคยคิดมาก่อนเลยว่า จะมีสิ่งเช่นนี้เกิดขึ้นจริง

ในตอนแรกพระองค์มิเชื่อในสิ่งที่หลี่เว่ยหยางกล่าวเกี่ยวกับเรื่องที่ขุนนางยักยอกเงินเข้ากระเป๋าของตนเอง

แต่ตัวพระองค์เองได้ส่งเจ้าหน้าที่ไปตรวจตราถึงสามกลุ่ม แต่ก็มิสามารถเปิดเผยสาเหตุของการจลาจลได้

และเด็กสาวผู้นี้ได้กล่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างชัดเจน อีกทั้งยังมีเหตุผลที่สามารถเข้าใจได้

แม้ว่าพระองค์จะพยายามฝืนตนเอง และพยายามจะคิดว่าสิ่งที่เด็กสาวผู้นี้กล่าวออกมานั้นเป็นเรื่องที่ไร้สาระ แต่ก็เป็นไปมิได้

“แต่ตอนที่เราได้ส่งสายลับในวังออกไปตรวจสอบ คนพวกนั้นได้กลับมารายงานว่ามิมีสิ่งใดที่น่าสงสัย!”

จักรพรรดิเปล่งเสียงทีละคำอย่างช้า

แน่นอนว่าจักรพรรดิจะมิพบอันใดเลย เพราะหลักฐานบนพื้นผิวนั้นได้ถูกเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นปกปิดเอาไว้

และพวกเขาได้ดำเนินการปราบปรามผู้ประสบภัยพิบัติเหล่านั้นเพื่อที่พวกเขาจะได้มิสามารถเปิดเผยความจริงได้

แต่ … ประเด็นเหล่านี้ทุกครั้งที่เกิดภัยพิบัติในชาติที่แล้ว นางได้เห็นมันด้วยตาของตนเอง

สิ่งนี้เป็นกลอุบายทุกประเภทที่เจ้าหน้าที่ทุจริตและเสมียนสกปรกทำกันอยู่เป็นประจำ

“สายลับของท่านพ่อก็มิพบอันใดเช่นกันในตอนแรก

เพราะผู้ประสบภัยมิเต็มใจที่จะกล่าวอันใดเลย เพราะภายในใจของพวกเขานั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกต่อต้าน

จากนั้นหม่อมฉันได้แนะนำให้ท่านพ่อสั่งให้สายลับที่ส่งไปแสร้งทำตัวเป็นขุนนางที่ประพฤติมิชอบเพื่อให้กลายเป็นพวกเดียวกันกับเจ้าหน้าที่ท้องถิ่น

แน่นอนว่าในขณะที่พยายามทำให้อีกฝ่ายเชื่อใจจึงทำให้สามารถเห็นปัญหาที่เกิดขึ้นได้อย่างชัดเจน…”

“เจ้า…”

จักรพรรดิกำลังสูญเสียคำกล่าว

“นโยบายประการที่สี่ซึ่ง พี่ใหญ่ได้กล่าวถึงคือการลดหย่อนภาษี

ฝ่าบาทได้ทรงมีราชโองการยกเว้นภาษีให้กับราษฎรที่อยู่ในพื้นที่ภัยพิบัติเพื่อแสดงถึงความห่วงใยซึ่งเดิมเป็นสิ่งที่ดีในการเอาใจใส่ผู้คน

แต่ทว่า ก่อนที่พระราชโองการจะถูกประกาศออกไปนั้น ได้มีเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นบางคนเร่งเรียกเก็บภาษีแล้ว

และเมื่อคำสั่งยกเว้นภาษีไปถึงพื้นที่ประสบภัยขั้นตอนการจัดเก็บภาษีก็ดำเนินการไปเรียบร้อยแล้ว

ฝ่าบาท…ดังนั้นจึงเป็นขุนนางของทางราชการเท่านั้นที่ได้รับผลประโยชน์ทั้งหมด”

ขณะนี้เจ้าจอมมารดาได้จ้องมองไปยังด้านข้างที่มีเจ้าหน้าที่กำลังจดบันทึก

เพื่อเป็นการส่งสัญญาณมิให้พวกเขาจดบันทึกถ้อยคำในส่วนนี้ลงไป

“ประการที่ห้าคือยุ้งฉางสำรอง .

ฝ่าบาท…ยุ้งฉางสำรองนี้ถูกจัดตั้งขึ้นเพื่อประโยชน์ของผู้ประสบภัยพิบัติ

แต่เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นที่รับผิดชอบยุ้งฉางสำรองนี้ได้สมรู้ร่วมคิดกับนายทุนและพ่อค้าไร้ยางอายในการประพฤติทุจริต

โดยการยักยอกเงินบรรเทาทุกข์ของฝ่าบาทควบคู่ไปกับการกดราคาธัญพืชที่รับซื้อมาจากราษฎร

และได้กลายเป็นข้อพิพาทกับประชาชน ระบบนี้จึงมิสามารถดำเนินการต่อไปได้

ดังนั้นการบรรเทาภัยพิบัติทั้งห้านโยบายจึงเป็นเพียงหลักการบนแผ่นกระดาษโดยที่มิสามารถปฏิบัติให้เกิดประสิทธิผลได้จริง

และยังเป็นการเปิดโอกาสให้ข้าราชการประพฤติมิชอบ

และสิ่งนี้นับว่า เป็นการทำลายชาติและนำความหายนะมาสู่ประชาชนอย่างแท้จริง!”

น้ำเสียงและคำกล่าวแต่ละคำของหลี่เว่ยอย่างนั้น สามารถดึงดูดความสนใจของผู้คนรอบข้างได้เป็นอย่างมาก

จักรพรรดิผู้ซึ่งกำลังนั่งอยู่บนบัลลังก์นั้น นิ่งเงียบอยู่นานโดยมิได้กล่าวอันใดออกมาแม้แต่คำเดียว

ทุกคนเหลือบมองพระองค์อย่างประหม่า โดยมิทราบว่าเมื่อใดจึงจะมีคำกล่าวออกมา

อย่างไรก็ตาม ในที่สุดจักรพรรดิก็หายใจเข้าลึก ๆ :

“นโยบายทั้งห้านี้มาจากพี่สาวของเจ้า”

ดวงตาของหลี่เว่ยหยางลดลงด้วยความเคารพอย่างเต็มที่:

“ฝ่าบาท, การที่นางสามารถหาแนวทางแก้ไขได้นั้น นับว่าเป็นเรื่องที่ดี แต่น่าเสียดายที่การนำไปใช้งานกลับประสบปัญหามากมาย

สิ่งนี้เป็นเพราะพี่ใหญ่มิเคยออกจากบ้าน จึงขาดประสบการณ์ตรง

อย่างไรก็ตาม หม่อมฉันแตกต่างจากพี่ใหญ่อย่างสิ้นเชิง

เนื่องจากในตอนที่ยังเป็นเด็กสุขภาพของหม่อมฉันมิค่อยดีนัก ท่านพ่อจึงส่งตัวไปพักฟื้นยังชนบทที่อยู่ห่างไกล

ดังนั้นจึงได้รับรู้เรื่องราวของคนอนาถาและการถูกกดขี่ข่มเหง…ฝ่าบาทได้โปรดอภัยโทษให้กับความผิดของพี่ใหญ่ด้วย”

ข้อมูลเชิงลึกที่ละเอียดถี่ถ้วน และยังมีทักษะการวิเคราะห์ที่แม่นยำ อีกทั้งยังมีมุมมองที่กว้างมาก ซึ่งทั้งหมดนี้ปรากฏในตัวของเด็กสาวผู้นี้

จักรพรรดิมองไปยังหลี่เว่ยหยางด้วยความรวดเร็วและทรงพลังอย่างตกตะลึง:

“เจ้ารู้แล้วว่าจะมีปัญหา?”