บทที่ 184 ไม่บังเอิญหรอก

Top Star ระบบปั้นเธอให้เป็นดาว

บทที่ 184 ไม่บังเอิญหรอก

บทที่ 184 ไม่บังเอิญหรอก

มีเหงื่อไหลลงมาจากหน้าผากของลู่เฉิน ซูโย่วอี๋เลยยกมือขึ้นเช็ดเหงื่อให้เขาเบา ๆ “คุณจะรีบวิ่งมาทำไมเนี่ย?”

ฉันไม่ได้จะหนีหายไปไหนสักหน่อย

ลู่เฉินชำเลืองมองเธอ “ทำไมจู่ ๆ ก็กลับมาแล้วล่ะ?”

ซูโย่วอี๋ยิ้มจนตาหยี “อยากมาเซอร์ไพรส์คุณน่ะสิ”

แม้ว่าแผนการจะล้มเหลวไปแล้ว แต่นั่นก็ไม่ได้ลดทอนความสุขของเธอที่ได้พบกับลู่เฉินลงเลย

ลู่เฉินยื่นมือออกไปจับมือหญิงสาว “งั้นครั้งหน้าก็อย่ายอมแพ้กลางคันแบบนี้สิ”

“ฉันไม่ได้ยอมแพ้สักหน่อย” ซูโย่วอี๋ใช้นิ้วประสานเข้ากับฝ่ามือของเขา “ฉันไม่อยากรบกวนคุณตอนทำงาน แค่จะกลับไปรอคุณที่บ้านเฉย ๆ”

ลู่เฉินคว้ามือเล็ก ๆ ที่กำลังวุ่นวายอยู่ของเธอ “เที่ยงนี้คุณอยากกินอะไร?”

“ได้หมดเลย”

“ผมจองร้านอาหารฝรั่งเศสเอาไว้ ฉันชอบกินหรือเปล่า?”

ซูโย่วอี๋เองก็ไม่ติดอะไรอยู่แล้ว “ตกลงค่ะ”

เธอเดาว่าเดิมทีลู่เฉินคงวางแผนไปกินกับประธานจาง “แล้วประธานจางล่ะ เขาไม่รีบเหรอคะ?”

“อืม ประธานจางกับบริษัทของพวกเรายังมีเรื่องธุรกิจอีกมากมายต้องคุยกัน เราติดต่อกันได้เรื่อย ๆ อยู่แล้ว ไม่เป็นไรหรอก คุณไม่ต้องกังวล”

ว่าจบทั้งสองก็ไปเอารถที่โรงจอดรถชั้นใต้ดิน หลังจากนั้นก็ไปที่ร้านอาหาร

จริง ๆ แล้วซูโย่วอี๋ไม่ค่อยชอบกินอาหารฝรั่งเศสเท่าไหร่ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะการปรุงอาหารหรือเพราะไม่ถูกโฉลก เธอมักจะรู้สึกว่าอาหารฝรั่งเศสมีกลิ่นคาวมาก

มีเพียงแค่การจัดเตรียมที่ดูมีความละเอียดอ่อนมาก

ดีที่ร้านอาหารฝรั่งเศสร้านนี้ทำอาหารได้ไม่เลว จำนวนอาหารในแต่ละจานมีไม่มาก อาหารทุกจานซูโย่วอี๋กินไปได้นิดเดียว แต่พอกินหมดก็อิ่มพอดี

พอลู่เฉินจ่ายเงินเสร็จก็หันมาถามเธอว่าจะกลับไปถ่ายละครเมื่อไหร่

“พรุ่งนี้เช้าค่ะ แล้ววันนี้ช่วงบ่ายคุณมีแผนทำอะไรหรือเปล่า?”

“มีประชุมคณะกรรมการ”

หืม

งั้นก็สำคัญมากสินะ

ซูโย่วอี๋บุ้ยปาก “งั้นคุณก็ตั้งใจทำงานนะคะ ตอนเย็นก็รีบกลับบ้าน ฉันจะทำกับข้าวให้คุณกิน”

แต่เสียงของลู่เฉินต่ำลง “ผมไม่ไปประชุมก็ได้”

แบบนี้

ไม่ดีมั้ง…

เดิมทีซูโย่วอี๋แค่อยากกลับมาเจอเขา และตอนนี้ก็ได้เจอกันแล้ว แค่นี้เธอก็พอใจ

และเธอว่าจะไปดูหยินหยินเสียหน่อย

แต่ลู่เฉินเห็นเธอเหม่อลอย “คุณคิดอะไรอยู่?”

“หยินหยินอยู่ปักกิ่งหรือเปล่าคะ? ฉันกำลังคิดว่าตอนบ่ายคุณไปทำงาน แล้วฉันก็จะ…”

ยังไม่ทันพูดจบ ลู่เฉินก็พูดขัดจังหวะเธอขึ้น “ตอนบ่าย ผมจะไม่ทำงาน”

“เมื่อกี้คุณบอกว่าต้องประชุมคณะกรรมการ”

“พรุ่งนี้ค่อยทำก็ได้”

“แต่ตอนบ่ายฉันไม่ได้มีเรื่องสำคัญอะไร คุณไม่จำเป็นต้องทิ้งงานหรอก”

“สำคัญสิ”

ซูโย่วอี๋กำลังอยากจะถามว่าเรื่องอะไร แต่พอสบตากับลู่เฉิน ก็เห็นว่าเขามองเธอด้วยสายตาแปลก ๆ ทำให้หูของเธอร้อนผ่าว จึงพูดด้วยน้ำเสียงเขินอาย

“คืนนี้ฉันไม่ได้ไปไหน…”

ใบหน้าลู่เฉินจริงจังขึ้นมา “กลางวันก็ส่วนกลางวัน กลางคืนก็ส่วนกลางคืน”

!

ซูโย่วอี๋ไม่อยากโต้เถียงกับเขาในหัวข้อนี้ต่อไป “อยากเดินดูของสักพักไหม?”

เพราะร้านอาหารนี้อยู่ในอาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ ทำให้มีร้านค้ามากมายในบริเวณใกล้เคียง

ลู่เฉินไม่ได้ปฏิเสธ “แล้วแต่คุณ ถ้าคุณอยากเดินดู ผมจะไปเป็นเพื่อน”

นี่ความหมายว่าเขาไม่อยากเดินดูเหรอ

ถ้าลู่เฉินไม่ได้พูดเรื่องกลางวันกลางคืนอะไรนั่น ซูโย่วอี๋ตื่นมาตั้งแต่หกโมงกว่า เธอก็อยากกลับบ้านไปนอนสักพัก

แต่ตอนนี้จะทำอย่างไรก็น่าอึดอัดใจ เธอจึงลากลู่เฉินเดินเล่นในห้างสรรพสินค้าอย่างไร้จุดหมายเป็นเวลาหนึ่งชั่วโมง

จนท้ายที่สุดก็เดินดูของต่อไปไม่ไหว “พวกเรากลับบ้านกับเถอะ”

“โอเค” เสียงของลู่เฉินยังคงเหมือนเดิม แต่ทำไมซูโย่วอี๋กลับรู้สึกถึงอาการดีใจบางอย่าง

ลู่เฉินจูงมือเธอเดินไปที่รถ แต่ในหัวของซูโย่วอี๋กลับเริ่มคิดถึงภาพลามกพวกนั้น

แย่แล้ว

เธอคิดบ้าอะไรกันเนี่ย

ถ้าขึ้นรถไป จะรัดเข็มขัดนิรภัยอย่างไร ซูโย่วอี๋เหม่อลอยเล็กน้อย

ก่อนที่จะคบกับลู่เฉิน ในหัวของเธอมีแต่เรื่องอนาคต ประชาธิปไตย เรื่องอารยธรรม และความเป็นอิสระ

แต่หลังจากที่คบกับลู่เฉินไม่นาน เธอก็กลายเป็นคนแบบนี้

ซูโย่วอี๋เงยหน้ามองลู่เฉินอย่างหดหู่ “นี่ฉันลามกจริง ๆ เหรอ?”

ลู่เฉินควบคุมพวงมาลัยด้วยมือทั้งสองข้างอย่างอารมณ์ดี “ใช่ คุณลามกมาก เมื่อกี้นี้ในหัวคุณคิดอะไรอยู่”

หืม

แล้วฉันจะพูดออกไปได้อย่างไร?

จู่ ๆ ซูโย่วอี๋ก็เลื่อนกระจกรถลงและมองไปรอบ ๆ เพื่อเปลี่ยนเรื่องคุย “วันนี้อากาศเย็นมากเลย ไม่ต้องเปิดแอร์ก็ได้มั้งคะ”

พอได้ยินแบบนั้น ลู่เฉินก็หัวเราะออกมา

แฟนสาวตัวน้อยของเขาจะน่ารักมากเกินไปแล้ว

อยากให้เธออยู่ข้างกายเขาไปทุก ๆ วันเลย ทำอย่างไรดี?

ซูโย่วอี๋แกล้งทำเป็นมองบรรยากาศนอกรถ แต่หางตากลับมองดูลู่เฉินจนรู้ว่าอีกฝ่ายแกล้งเธอ ถึงยกมือขึ้นไปดึงหูของเขา

“ลู่เฉิน ฉันไม่ได้ลามก เข้าใจไหม?”

“คุณลามก คุณลามกที่สุด ทุก ๆ วันคุณเอาแต่คิด…”

ลู่เฉินหุบยิ้มอย่างรวดเร็วและทำหน้าจริงจัง “ใช่ ผมลามกที่สุด ทุก ๆ วันผมเอาแค่คิดเรื่องนั้นทุกวัน”

ซูโย่วอี๋ “…”

เธอรู้สึกเหมือนกำลังกว้างหินใส่เท้าของตัวเอง

เธอจะไม่พูดอะไรอีกแล้ว

ส่วนลู่เฉินไม่กล้าแกล้งเธอต่อ ดีที่ร้านอาหารไม่ห่างจากเป่ยสืออี้ผินมากนัก ทั้งสองคนจึงมาถึงบ้านอย่างรวดเร็ว

หลังจากเปิดประตู ลู่เฉินเดินตามซูโย่วอี๋ไปอย่างเชื่อฟังเหมือนลูกติดแม่ รอจนซูโย่วอี๋เปลี่ยนเป็นชุดนอนและออกมา ลู่เฉินก็ดันให้เธอติดกับมุมห้องพร้อมกอดเธอเอาไว้ในอ้อมแขน และจูบลงไปที่ริมฝีปาก

ราวกับลู่เฉินกำลังกลืนกินซูโย่วอี๋ เขาดูดมันซ้ำ ๆ อยู่อย่างนั้น

ลมหายใจร้อนแผดเผาประสานกัน

ทุกครั้งที่ซูโย่วอี๋อยากจะถอยหนี ลู่เฉินก็จะขยับเข้าไปอีก ยิ่งจูบลึกซึ้งเท่าไหร่ ก็ยิ่งออกแรงมากขึ้น

ท้ายที่สุดขาของซูโย่วอี๋ก็เริ่มหมดแรง จึงทำได้เพียงหอบหายใจอยู่ในอ้อมแขนของลู่เฉิน

“สาวน้อย ตอนนี้ผมจะปล่อยคุณไปก่อน ซูหยินอยู่ที่ปักกิ่ง ตอนบ่ายคุณไปดูเธอได้ แต่ตอนกลางคืนคุณต้องมาอยู่กับผม”

ประโยคสุดท้ายนั้น ลู่เฉินกดเสียงลงต่ำในลำคอและพูดขึ้น

ซูโย่วอี๋หมดหนทางจนต้องยกนิ้วก้อยขึ้น “โอเค ๆ ฉันสัญญา”

หลังพักผ่อนสักพัก ลู่เฉินก็ไปประชุมที่บริษัท ส่วนซูโย่วอี๋ติดต่อหาซูหยินและไปรับเธอถึงกองถ่ายทำโฆษณา

แต่ตอนที่ซูโย่วอี๋มาถึงซูหยินยังถ่ายไม่เสร็จ เธอเลยเข้าไปคุยกับผู้ช่วยของซูหยินและนั่งรออยู่ข้าง ๆ

ซูหยินดูดีมาก ใบหน้าของเธอสง่างาม ที่สำคัญคือในดวงตาของเธอเต็มไปด้วยแสงเปล่งประกาย

ทุกการเคลื่อนไหวเต็มไปด้วยเสน่ห์ที่ชวนให้ทุกคนละสายตาไปไม่ได้

ตอนนี้ใกล้จะหกโมงแล้ว ซูหยินพึ่งจะทำงานเสร็จ

“ที่รัก ขอโทษทีนะ ให้เธอรอนานเลย”

ซูโย่วอี๋ลุกขึ้นยืน “ไม่เป็นไร เอาล่ะ พวกเรากลับบ้านกัน”

ซูหยินเลิกคิ้ว “กลับบ้านไหน แล้วนี่ประธานลู่รู้หรือยังว่าเธอกลับมา?”

เหตุผลเดียวที่ลู่เฉินกลัวก็คือจะมีคนมาแย่งคนของเขาไป แล้วจะยอมส่งที่รักมาให้กับเธอแบบนี้ได้ไง

“อืม พวกเราเจอกันแล้ว”

ซูหยินทำท่าทางเจ็บปวด “นี่ฉันยังเป็นที่รักของเธออยู่ไหม? ทำไมไม่มาหาฉันก่อนล่ะ”

ซูโย่วอี๋หัวเราะหึ ๆ เธอก็รู้สึกเหมือนกันว่าตัวเองสนใจคนรักมากกว่าเพื่อนจริง ๆ ถ้าไม่ใช่เพราะอยากจะเซอร์ไพรส์ลู่เฉิน เธอคงไม่คิดที่จะขอลาหรอก

“เดี๋ยวฉันทำอาหารให้เธอเอง”

แต่ซูหยินดึงไหล่ของเธอไว้ “ไม่ต้อง เธอกลับมาก็เหนื่อยมากพอแล้ว พวกเราออกไปกินข้างนอกกันเถอะ ประธานลู่ไม่ว่าอะไรใช่ไหม?”

ซูโย่วอี๋ตอบเธออย่างมั่นใจ “อื้ม นี่คือเวลาของเพื่อนสาวนี่”

เธอลืมเรื่องที่พูดว่าจะทำอาหารให้ลู่เฉินไปจนหมด

หลังจากลงมาข้างล่าง ก็มีรถแลนด์โรเวอร์จอดอยู่ข้างถนน เมื่อซูหยินเห็นรถคันนั้นก็หยุดเดิน

ซูโย่วอี๋เอียงหัวอย่างสงสัย “รู้จักเหรอ?”

ซูหยินยังไม่ทันได้ตอบกลับ ก็มีผู้ชายคนหนึ่งลงมาจากรถ

เป็นกู่อวี๋เฉิงนี่เอง

ซูโย่วอี๋รีบทักทายเขาก่อน “รองประธานกู่ บังเอิญจัง”

แต่สายตาของกู่อวี๋เฉิงกลับหยุดอยู่ที่ซูหยิน “ไม่บังเอิญหรอก ผมมารับเธอ”

ใครนะ?

ซูโย่วอี๋มองซูหยินอย่างไม่อยากจะเชื่อ “เขามารับเธอเหรอ?”