ตอนที่ 156 เบาเกินไป !

หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง

“คุณชายขอรับ บ่าวไม่ได้หมายความเช่นนั้น ! ” ชิงเฟิงรีบกุมศีรษะแล้วเข้าไปหลบอยู่ด้านหลังของผู้ดูแลจาง

ผู้ดูแลจางพยักหน้าพลางครุ่นคิด “หากนางนำป้ายไปขอเงินจากร้านค้าจริง ๆ ก็ถือว่าตอบแทนบุญคุณนี้แล้วขอรับ” เพียงแต่…หนี้ชีวิตคงไม่ได้ชดใช้กันโดยง่ายหรอก !

ลู่เหวินจวินหาแรงงานจำนวนหนึ่งจากท่าเรือ เมื่อขนเครื่องปั้นดินเผาและเครื่องเคลือบออกได้ครึ่งลำเรือและกลับมายังโกดังอีกครั้ง หลินเว่ยเว่ยกับเจียงโม่หานก็จากไปแล้ว มีเพียงหลิวว่ายจื่อที่คอยนับและจดบันทึกอย่างละเอียดเท่านั้น

เจียงโม่หานเดินทางไปหาอาจารย์ฟ่านแล้วนำวิธีเขียนบัญชีที่เรียบเรียงใหม่ให้อาจารย์ฟ่านพิจารณา เดิมทีอาจารย์ฟ่านก็ชำนาญด้านตัวเลขอยู่แล้ว สำหรับวิธีเขียนบัญชีด้วยรูปแบบง่าย ๆ เช่นนี้ เขาถึงขั้นให้ความสำคัญกับมันมาก โดยเฉพาะตัวเลขอารบิกที่เรียบง่ายและชัดเจน หากได้รับการส่งเสริมก็เกรงว่าแม้แต่ชาวบ้านที่เขียนหนังสือไม่เป็นก็สามารถใช้สัญลักษณ์อันเรียบง่ายนี้จดบันทึกได้

อาจารย์ฟ่านยังพลิกดูอย่างจริงจังอีกรอบแล้วมองศิษย์คนโปรดด้วยสายตาชื่นชม จากนั้นก็เอ่ยว่า “ได้ยินว่าเจ้าสร้างกังหันวิดน้ำที่หมู่บ้านของตนและขุดคูน้ำเพื่อแก้ปัญหาด้านชลประทานได้ ตอนนี้ยังเรียบเรียงวิธีเขียนบัญชีแบบใหม่ขึ้นมาอีก…พักรักษาตัวที่บ้านก็ไม่ลืมสร้างประโยชน์แก่ราษฎร ทำงานเพื่อบ้านเมือง อาจารย์มองเจ้าไม่ผิดเลย ! ”

สร้างประโยชน์แก่ราษฎร ? ทำงานเพื่อบ้านเมือง ? หลังได้ยินสองประโยคนี้แล้ว เจียงโม่หานก็รู้สึกว่าไม่สอดคล้องกับตนแม้แต่น้อย เขาจึงงุนงงในทันที เรื่องสร้างกังหันวิดน้ำเป็นเพราะเด็กตัวแสบหลินเว่ยเว่ยอยากเบาแรงหาบน้ำขึ้นมากะทันหัน เขาก็แค่วาดภาพกังหันวิดน้ำที่เคยเห็นเมื่อชาติก่อนเท่านั้น สำหรับวิธีเขียนบัญชีแสนเรียบง่ายนี้ก็ได้แรงบันดาลใจจากนาง ตอนนี้เขาแค่เรียบเรียงมาเพื่อสร้างชื่อเสียงให้ตนเท่านั้น…

“ท่านอาจารย์ขอรับ วิธีเขียนบัญชีนี้เป็นเพราะศิษย์เห็นจากข้างบ้าน…” ยากนักที่เจียงโม่หานจะค้นพบมโนธรรม เขาจึงทนไม่ได้ที่จะแย่งผลงานของเด็กตัวแสบมาเป็นของตน

อาจารย์ฟ่านคลี่ยิ้มแล้วพยักหน้ารับ “อาจารย์รู้เพราะด้านหลังก็เขียนไว้แล้วไม่ใช่หรือ ? เป็นสาวน้อยผู้ฉลาดเฉลียวและมีไหวพริบข้างบ้านของเจ้า นางคิดวิธีเช่นนี้ขึ้นมาก็ไม่ควรประมาทสติปัญญาของชาวบ้านผู้ทำงานหนัก ! โม่หาน วิธีเขียนบัญชีของเจ้าสรุปออกมาได้ดีมาก หากเบื้องบนเห็นความสำคัญและถูกส่งเสริม มันจะเป็นประโยชน์ต่อเส้นทางในอนาคตของเจ้ามาก…”

“แต่วิธีเขียนบัญชีนี้เป็นความคิดของผู้อื่น ศิษย์ก็แค่สรุปและเรียบเรียงมัน…ศิษย์จะแย่งผลงานของผู้อื่นได้อย่างไรขอรับ ? ”

หากเปลี่ยนเป็นคนอื่น เจียงโม่หานคงไม่ลังเลที่จะแย่งมาเป็นของตนและยังมีอีกหลายพันวิธีในการปิดปากอีกฝ่ายด้วย ทว่าเหตุใดพอเป็นเด็กตัวแสบแล้ว เขากลับรู้สึกผิดขึ้นมาเสียอย่างนั้น ? เห็นอยู่ว่านางยอมยกผลงานให้เขาเองแท้ ๆ

อาจารย์ฟ่านเข้าใจนิสัยของอีกฝ่าย ในความเย่อหยิ่งก็มีความบริสุทธิ์อยู่จึงไม่อาจครอบครองผลงานของผู้อื่นได้ หลังครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งเขาก็กล่าวว่า “เอาเช่นนี้แล้วกัน เมื่อถึงเวลานั้นอาจารย์จะเสนอวิธีเขียนบัญชีนี้ในนามของเจ้า หากมีรางวัลลงมา เจ้าก็ยกรางวัลนั้นให้เด็กสาวข้างบ้าน ดีหรือไม่ ? ”

ด้วยความเข้าใจที่เจียงโม่หานมีต่อหลินเว่ยเว่ย เมื่อเทียบกับชื่อเสียงแล้ว นางยินดียอมรับเงินรางวัลมากกว่า ! แต่เขาก็ยังขมวดคิ้วพลางกล่าวว่า “ไม่มีทางเขียนชื่อสองคนได้เลยหรือขอรับ ? ”

อาจารย์ฟ่านชื่นชมอุปนิสัยของลูกศิษย์คนนี้ที่ซื่อตรงและยึดติดเกินกว่าผู้อื่น ทว่าสำหรับเส้นทางของขุนนางแล้ว การซื่อตรงและยึดติดเกินควรจะขัดขวางความยิ่งใหญ่ อาจารย์ฟ่านจึงอดชี้แนะไม่ได้ “สหายร่วมชั้นของอาจารย์คือเหยียนไว่หลาง1แห่งกรมคลัง หากเขาเห็นแล้วชอบก็สามารถเสนอเรื่องให้แก่หัวหน้าได้ การเสนอเรื่องของเขาไม่ใช่การเสนอธรรมดา…เจ้าเข้าใจความหมายที่อาจารย์สื่อหรือไม่ ? ”

เจียงโม่หานเผชิญหน้ากับอุบายในเส้นทางขุนนางมา 20 กว่าปี เขาจะไม่เข้าใจได้อย่างไรว่าฮ่องเต้ทรงให้ความสำคัญต่อการดำรงชีวิตของราษฎรที่สุด วิธีเขียนบัญชีแบบใหม่เช่นนี้ ไม่ว่าสำหรับเจ้าหน้าที่กรมต่าง ๆ หรือสามัญชนคนธรรมดาก็ใช้ง่ายและสะดวกสบายจึงมีโอกาสสูงที่จะดึงดูดให้ฝ่าบาทเห็นความสำคัญและมีราชโองการให้ส่งเสริมต่อไป

การได้เสนอหน้าต่อเบื้องพระพักตร์ฮ่องเต้ เหยียนไว่หลางแห่งกรมคลังผู้นั้นจะไม่สอดเท้าเข้ามายุ่งได้อย่างไร ? เมื่อเป็นเช่นนี้ก็จะเข้ามาเบียดเบียนโอกาสของผู้อื่น…ระหว่างเด็กสาวชาวบ้านคนหนึ่งกับบัณฑิตมากความสามารถ ผลลัพธ์ที่ได้ชัดเจนยิ่งกว่าสิ่งใด

อาจารย์ฟ่านเห็นเขายังแสดงแววตาสับสนแต่ก็เข้าใจความคิดของเขาจึงกล่าวต่อ “เจ้ากำลังคิดจะเขียนชื่อเด็กสาวคนนั้นคนเดียวเพราะไม่อยากแย่งผลงานนางใช่หรือไม่ ? ถ้าเป็นเช่นนั้นเจ้าคิดผิดแล้ว ! ความสำเร็จของเด็กสาวข้างบ้านได้กลายเป็นถนนให้ผู้อื่นก้าวไปสู้เส้นทางแห่งความสำเร็จ หากให้มันเป็นของผู้อื่น ไม่สู้เอามาเป็นทุนแห่งความสำเร็จให้ตนเองดีกว่า”

อาจารย์ฟ่านเห็นเขายังแสดงสีหน้าทำใจไม่ได้จึงถอนหายใจแล้วกล่าวว่า “เจ้าสามารถกลับไปคุยเรื่องประโยชน์และโทษให้เด็กสาวข้างบ้าน นางสามารถคิดวิธีเขียนบัญชีที่แปลกใหม่และสมบูรณ์แบบเช่นนี้ได้ย่อมเป็นคนฉลาดและมีไหวพริบแน่นอน นางต้องเข้าใจเจ้า”

เจียงโม่หานคิดในใจ ‘หรือว่าเด็กตัวแสบจะคาดเดาผลลัพธ์นี้ออกตั้งแต่แรกจึงปฏิเสธไม่ให้ใช้ชื่อของนาง ? แต่นางจะมองทุกอย่างทะลุปรุโปร่งถึงเพียงนี้เชียวหรือ ? ’

เจ้าคิดมากไปแล้ว หลินเว่ยเว่ยที่มองคนจากสีหน้าก็แค่เต็มใจยกผลงานที่ ‘ยืม’ คนอื่นมามอบให้เจ้าเพื่อเป็นฐานสร้างความสำเร็จของเจ้าเท่านั้น

ชื่อเสียง สำหรับบัณฑิตคนหนึ่งแล้วเป็นสิ่งสำคัญ แต่สำหรับเด็กสาวชนบทอย่างนาง ชื่อเสียงที่กล่าวถึงยังไม่สู้ข้าวสารสองสามชั่งหรือเงินสองสามตำลึงด้วยซ้ำ นางแค่อยากทำนาอย่างสงบสุขและร่ำรวยอย่างเงียบ ๆ เท่านั้น !

“โม่หาน เรื่องราวบนโลกมีสองด้านเสนอ ขุนนางก็เช่นกัน ยิ่งตำแหน่งของเจ้าสูงขึ้นมากเท่าไร การสร้างประโยชน์ให้ผู้คนบนโลกก็มีมากขึ้นเท่านั้น” อาจารย์ฟ่านเป็นห่วงลูกศิษย์ด้วยใจจริง ความรู้ ความสามารถหรือพรสวรรค์ก็ไม่ขาดทั้งนั้น แต่มีเพียงนิสัยนี้…ที่ยังต้องขัดเกลาอีกมาก !

ครั้งนี้เจียงโม่หานได้รับบาดเจ็บจึงวางแผนลงสอบช้าไปหนึ่งปี บางทีเขาอาจใช้ประโยคนั้นมาอ้างได้ว่า ‘ชายชราสูญเสียม้า แต่เป็นโชคอันยิ่งใหญ่แทน2’

หลังจากหลินเว่ยเว่ยไปส่งบัณฑิตหนุ่มที่สำนักศึกษาแล้ว นางก็ออกไปเดินเล่นตามท้องถนน จากระยะไกลนางมองเห็นคนในชุดบัณฑิตสองสามคนกำลังรุมล้อมบุรุษหนุ่มไว้ตรงกลาง ซึ่งพวกเขาเดินราวกับปูก้ามใหญ่ นางจึงลองเพ่งมองดี ๆ…เฮ้ ! คนตรงกลางไม่ใช่คนที่โดนนางใช้กระสอบคลุมศีรษะแล้วซ้อมจนขาหักหรอกหรือ ! ขากลับมาดีแล้วสิท่า ? ฟันหน้าหายไปสองซี่ก็ยังกล้าออกมาเดินข้างนอกอีกหรือ ?

“พี่อู๋ เดาสิว่าเมื่อครู่ข้าเพิ่งเห็นใครมา ? ” ชายที่ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มประจบสอพลอแค่มองก็รู้แล้วว่าเป็นลูกน้องคนหนึ่งในสำนักศึกษาและกำลังใช้น้ำเสียงนอบน้อมเอ่ยกับอีกฝ่าย

“ใคร ? สหายของเจ้าหรือ ? ” อู๋ปัวใช้นิ้วก้อยเขี่ยระหว่างฟันพลางเหลือบมองปราดหนึ่ง หลังพักรักษาตัวอยู่ที่บ้านสองสามเดือน ตัวเขาก็แทบจะมีเห็ดงอกออกมาอยู่แล้ว เขาอ้อนวอนท่านย่าอยู่นานถึงได้ออกมาเดินเล่นเช่นนี้ นี่ก็เพิ่งออกมาจากหอจุ้ยเซียน อีกประเดี๋ยวจะไปไหนต่อดี ? หรือจะไปหาเสี่ยวเฟิ่งเซียนที่ชิงเหลียนเสี่ยวดี ? ไม่เจอหลายเดือนก็ไม่รู้ว่าสุดที่รักจะคิดถึงเขาหรือไม่ ?

ชายคนนั้นหัวเราะแล้วกล่าวว่า “ข้าไม่ได้มีงานอดิเรกชอบดูผู้ชาย ! แม้เขาจะดูดีกว่าสตรี…คิคิคิ ! เจียงโม่หาน ข้าเห็นเจียงโม่หานไปที่สำนักศึกษา ! ”

“เจียงโม่หาน ? เจ้าหมอนั่นไม่ได้โดนพี่อู๋ซ้อมจนหัวหดไปแล้วหรือ แม้แต่สอบเยวี่ยนซื่อปีหน้าก็ไม่เข้าร่วม เหตุใดไม่ทำตัวเป็นเต่าหดหัวอยู่ในหุบเขาของมันต่อไป ? ” ชายหนุ่มในชุดบัณฑิตอีกคนสะบัดพัดแล้วคลี่ยิ้มอย่างหยิ่งยโส

หลินเว่ยเว่ยค่อย ๆ ขมวดคิ้ว…ดูเหมือนว่าคราวก่อนยังเบาเกินไป น่าจะทำให้เจ้านี่ต้องนอนติดเตียงอีกสักสามเดือน !

1 เหยียนไว่หลาง คือ รองหัวหน้ากรม

2 ชายชราสูญเสียม้า แต่เป็นโชคอันยิ่งใหญ่แทน หมายถึง สิ่งใดที่สูญเสียไป อาจไม่ใช่เรื่องร้ายก็ได้เพราะนำไปสู่เส้นทางใหม่ ๆ อีกมากมาย

ตอนต่อไป