ตอนที่ 229 ตระกูลเซี่ยแห่งปักกิ่ง(2)

ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก

ตอนที่ 229 ตระกูลเซี่ยแห่งปักกิ่ง(2)

ตอนที่ 229 ตระกูลเซี่ยแห่งปักกิ่ง(2)

ทารกแรกเกิดจะนอนหลับเกือบตลอดเวลา ใช้เวลาแค่เพียงเล็กน้อยในการตื่นลืมตา ตอนนี้เด็กทั้งสองตื่นแล้ว พวกเขาก็จ้องมองคนที่กำลังอุ้มด้วยสีหน้างุนงง

ซูหว่านอี๋เห็นหลานเป็นแบบนี้ ก็ใจอ่อนระทวย

แต่อุ้มเด็กกันอยู่ได้สักพักก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น

เซี่ยเจ๋อหลี่วางลูกลงแล้วเดินไปเปิดประตู จนกระทั่งเห็นผู้มาเยือนที่อยู่ข้างนอก สีหน้าก็พาประหลาดใจ “สิงเจิ้งหาว นายมาที่นี่ทำไม?”

“ยินดีด้วย”

เมื่อได้ยินแบบนี้ เซี่ยเจ๋อหลี่ก็ตอบรับแล้วพูดขึ้น “ฉํนได้ยินมาว่าภรรยาของนายก็คลอดแล้ว ยินดีด้วยเหมือนกัน”

“ภรรยาของฉันคลอดลูกชายตัวอ้วนใหญ่ให้ ตอนนี้พักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลนี้แหละ แต่เดี๋ยวพวกเราก็ออกจากโรงพยาบาลแล้ว ก่อนจะออกจากโรงพยาบาลก็เลยแวะมาขอบคุณ”

ขณะพูด สิงเจิ้งฮ๋าวก็โค้งคำนับให้อย่างสุดซึ้ง เพื่อแสดงความขอบคุณ

เซี่ยเจ๋อหลี่เห็นสิ่งนี้ ก็รู้สึกแปลกใจนิดหน่อย

สิงเจิ้งหาวจึงอธิบายให้ฟังอยู่ข้าง ๆ “ภรรยาของฉันชื่อปันเหยา ขอบคุณครอบครัวของนายมากที่ช่วยเหลือก่อนหน้านี้ ทำให้คลอดลูกได้อย่างราบรื่น และเด็กออกมาสมบูรณ์”

ซูหว่านอี๋ได้ยินก็เดินเข้ามาหา “ที่แท้ก็เป็นสามีของคุณปันเหยานี่เอง ในที่สุดเธอก็กลับมาแล้ว ปันเหยากับลูกสบายดีไหม”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ สิงเจิ้งหาวก็พยักหน้าแล้วบอกกล่าว “ภรรยของผมกับลูกปลอดภัยดีครับ ขอบคุณทุกคนมากเลยครับ”

“อย่างนั้นก็ดีแล้ว เธอไม่ต้องขอบคุณอะไรพวกเราหรอก ได้เจอกันก็ถือว่ามีชะตาร่วมกัน พวกเราช่วยได้ก็ย่อมต้องช่วย มันเป็นเรื่องที่สมควรทำ”

“ยังไงก็ต้องขอบคุณทุกคนมากครับ”

สิงเจิ้งหาวแสดงความขอบคุณจากใจจริง หลังจากนั้นก็หันไปพูดกับเซี่ยเจ๋อหลี่ “ฉันขอคุยกับนายสักหน่อยได้ไหม?” ตอนนี้ความรู้สึกของเขาซับซ้อนเต็มไปหมด เพราะทีมหนึ่งกับทีมสองแต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยเข้าขากัน ไม่คิดเลยว่าครอบครัวของเซี่ยเจ๋อหลี่จะมาช่วยภรรยาของเขาในครั้งนี้ แต่เขาจะจดจำความรู้สึกนี้เอาไว้

เซี่ยเจ๋อหลี่เห็นแบบนั้นก็พยักหน้า แล้วเดินตามสิงเจิ้งหาวออกไปข้างนอก

“นายจะพูดอะไรเหรอ?”

เขารู้สึกว่าระหว่างพวกเขาไม่มีอะไรจำเป็นต้องพูดคุยกัน

“ฉันอยากจะแจ้งข่าวให้นายทราบเกี่ยวกับเหยาอี้หนิง เขาจะไม่กลับมาแล้ว ตอนนี้เขาโดนย้ายไปประจำการที่อื่น”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ เซี่ยเจ๋อหลี่ก็รู้สึกแปลกใจนิดหน่อย เขาไม่เคยทราบเรื่องนี้เลย

แต่สิงเจิ้งฮ๋าวจ้องมองเซี่ยเจ๋อหลี่ก่อนจะเอ่ยถาม “เรื่องนี้เกี่ยวกับนายด้วยหรือเปล่า?”

เซี่ยเจ๋อหลี่บอกกล่าวอย่างตรงไปตรงมา “จะเกี่ยวอะไรกับฉันเล่า ฉันไม่รู้มาก่อนเลยว่าเขาจะถูกย้าย”

หลังจากพูดจบ เซี่ยเจ๋อหลี่ก็พูดขึ้นทันที “ฉํนต้องกลับไปดูแลลูก อยู่คุยกับนายมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว”

เฝ้ามองเซี่ยเจ๋อหลี่เดินจากไป สิงเจิ้งหาวก็จ้องมองอยู่นาน หลังจากนั้นก็หันหลังแล้วเดินกลับไป เขายังต้องพาภรรยากับลูกชายกลับบ้าน

หลังจากเกิดเรื่องขึ้นในครั้งนี้ เขาก็เป็นหนี้บุญคุณเซี่ยเจ๋อหลี่ จึงพยายามปรับทัศนคติตัวเองให้ไม่มีอคติกับเซี่ยเจ๋อหลี่อีก

หลังจากเซี่ยเจ๋อหลี่กลับมาที่ห้องพักฟื้น ฉินมู่หลานก็อดถามไม่ได้ “ฉันจำได้ว่าคนนี้ค่อนข้างสนิทกับเหยาอี้หนิง เขามาที่นี่แค่ขอบคุณเหรอคะ?”

“ใช่ เขามาที่นี่เพื่อขอบคุณ แล้วก็ยังมาบอกข่าวของเหยาอี้หนิงให้ผมฟังด้วย เขาบอกว่าเหยาอี้หนิงจะไม่กลับมาแล้ว เขาโดนย้ายไปประจำการที่อื่น”

“จริงเหรอ ถ้าอย่างนั้นก็ดีมาก ฉันจะได้ไม่ต้องเจอหน้าเขากับเริ่นม่านลี่อีก”

ซูหว่านอี๋ก็ทราบว่าเหยาอี้หนิงคือใคร แต่ไม่ได้ให้ความสนใจอะไร เพราะถึงอย่างไรเหยาจิ้งจือกับคนอื่น ๆ ก็แก้ปัญหาทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว

หลังจากเหยาจิ้งจือและเซี่ยเหวินปิงกลับมาหลังจากไปทำอาหาร ฉินมู่หลานก็รู้สึกเจริญอาหารมากขึ้น หลังจากกินข้าวเสร็จก็พักผ่อนต่อ

เมื่อผ่านไปสองวัน หลังจากทุกคนจัดแจงของเรียบร้อยแล้ว ก็ออกจากโรงพยาบาลกลับไปที่บ้านพักครอบครัว

ทันทีที่ฉินมู่หลานกลับถึงบ้านพักครอบครัว อยู่ ๆ ก็เกิดความคึกครื้นขึ้นมา

เพราะในฐานทัพนี้ไม่เคยมีใครคลอดลูกแฝดเลย จึงทำให้ผู้คนสนใจมาเยี่ยมดูเด็กเยอะมาก จนเหยาจิ้งจือกับซูหว่านอี๋ต้องคอยปรามพวกเขาเท่าที่ทำได้ “ตอนนี้มู่หลานยังต้องพักผ่อน ขอบคุณทุกคนที่มาเยี่ยมนะคะ”

ทุกคนที่มาก็เข้าใจกันหมด หลังจากเห็นเด็กสองคนแล้วก็พากันกลับไป

แต่ก็ยังมีคนที่มานั่งดูอยู่พักหนึ่ง เช่น สองแม่ลูกเวินเนี่ยนอัน ตอนที่พวกเขามา ก็มองสำรวจดูเด็กอย่างถี่ถ้วน ต่อมาเวินเนี่ยนอันก็ได้เอ่ยขอโทษฉินมู่หลานสำหรับเรื่องของเซี่ยอวี่หรง

“พี่สะใภ้คะ ฉันต้องขอโทษแทนอวี่หรงด้วยค่ะ ขอโทษจริง ๆ ค่ะ”

ฉินมู่หลานได้ยินแบบนี้ก็ส่ายหัว แล้วเอ่ย “มันไม่เกี่ยวกับคุณเลยค่ะ คุณไม่จำเป็นต้องขอโทษฉันหรอก แล้วเพื่อนคุณกลับไปแล้วเหรอคะ ต่อไปก็คงไม่ได้เจอกันอีก เพราะฉะนั้นคุณไม่ต้องขอโทษหรอกค่ะ”

ตอนแรกเวินเนี่ยนอันไม่รู้เลยว่าเซี่ยอวี่หรงจะไปหาเซี่ยเจ๋อหลี่ เธอได้ยินมาจากปากคนอื่น ดังนั้นจึงคิดว่าควรมาขอโทษฉินมู่หลานกับเซี่ยเจ๋อหลี่

เวินเนี่ยนอันเห็นว่าฉินมู่หลานไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้ ก็รู้สึกโล่งใจ

“พี่สะใภ้ ขอบคุณมากเลยนะคะ’

ซูหว่านอี๋ที่อยู่ด้านข้างก็ได้ยิน จึงอดขมวดคิ้วไม่ได้ “มู่หลาน เพื่อนอะไร อวี่หรงอะไร เกิดอะไรขึ้นเหรอ?”

เวินเนี่ยนอันรู้สึกประหม่าที่จะเอ่ยเล่านิดหน่อย ฉินมู่หลานจึงเล่าสั้นๆ เพียงสองประโยคโดยไม่ใส่ใจอะไร

“พี่สะใภ้ อวี่หรงเป็นลูกสาวตระกูลเซี่ยที่ปักกิ่ง คุณนายเซี่ยเอ็นดูหล่อนมาตั้งแต่เด็ก เพราะฉะนั้น…หล่อนจึงมักง่าย คิดอยากทำอะไรตามใจตัวเองตลอด”

“อะไรนะ…ตระกูลเซี่ยที่ปักกิ่งเหรอ?”

สีหน้าของซูหว่านอี๋ก็อึมครึมลงทันที

“แม่ ทำไมเหรอคะ? หรือว่าแม่รู้จักตระกูลเซี่ยที่ปักกิ่ง?”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ ซูหว่านอี๋ก็กลับมามีสติอีกครั้ง ก่อนจะรีบส่ายหัวแล้วพูดว่า “ไม่หรอก แม่ไม่รู้จัก”

หลังจากนั้นซูหว่านอี๋ก็ไม่ได้พูดอะไร และไม่ได้เอ่ยถามอะไรเกี่ยวกับเซี่ยอวี่หรงอีก

ฉินมู่หลานรู้ได้ทันทีว่าแม่กำลังปิดบังบางอย่าง แตอนนี้เวินเนี่ยนอันสองแม่ลูกยังอยู่ที่นี่ เธอจึงยังไม่ถามอะไรมากมาย

หลังจากเวินเนี่ยนอันสองแม่ลูกกลับไปแล้ว ฉินมู่หลานก็อดหันมองซูหว่านอี๋แล้วเอ่ยถามเสียไม่ได้ “แม่ แม่รู้จักตระกูลเซี่ยที่ปักกิ่งด้วยเหรอคะ?”

………………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

หวังว่าเป็นคำยินดีจากใจจริงนะ

แม่ซูก็น่าจะมีภูมิหลังไม่ธรรมดาอยู่เหมือนกัน

ไหหม่า(海馬)