ตอนที่ 230 ตระกูลซู(1)

ตอนที่ 230 ตระกูลซู(1)

ซูหว่านอี๋จ้องมองลูกสาวด้วยสายตาอย่างลึกซึ้ง ภายในใจรู้สึกสับสนเล็กน้อย แต่เมื่อนึกถึงเรื่องราวบางอย่างในอดีต สุดท้ายหล่อนก็ส่ายหัวแล้วพูดขึ้น “ไม่ แม่ไม่รู้จัก”

ฉินมู่หลานรู้สึกได้ว่าแม่ต้องรู้อะไรบางอย่าง แค่หล่อนไม่อยากพูด เธอจึงไม่เอ่ยถามอะไรให้มากความ และรีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนาอย่างรวดเร็ว

ซูหว่านอี๋เห็นว่าลูกสาวไม่เอ่ยถามแล้ว ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก

หลังจากสองแม่ลูกพูดคุยกันได้สักพัก เหยาจิ้งจือก็เดินเข้ามาเรียกพวกเขาไปทานข้าว “ญาติสะใภ้ มู่หลาน กินข้าวได้แล้วจ้ะ”

เป็นเพราะฉินมู่หลานยังมีข้อจำกัด อาหารเยอะแยะมากมายจึงล้วนมีรสชาติจืดชืดไม่ได้เติมเกลือมากนัก ฉินมู่หลานจึงรู้สึกว่าลิ้นไร้รสชาติราวกับกินสำลี

เซี่ยเจ๋อหลี่มองออกว่าอาหารไม่ค่อยถูกปากฉินมู่หลานสักเท่าใด จึงอดพูดกับเหยาจิ้งจือเสียไม่ได้ “แม่ครับ ไม่ต้องรักษาสุขภาพขนาดนี้ก็ได้ ผมเพิ่งลองชิมไป มันไม่มีรสชาติอะไรเลย”

เหยาจิ้งจือยังไม่ทันได้เอ่ยพูด ซูหว่านอี๋ที่อยู่อีกด้านก็เอ่ยขึ้น “เพราะมู่หลานต้องให้นมลูก จึงควรกินรสอ่อนน่ะ”

ถึงแม้ว่าฉินมู่หลานจะไม่ค่อยถูกปากกับอาหารก็ตาม แต่เธอก็ทราบดีว่าควรระวังปากตัวเองมากขึ้น จึงยกยิ้มแล้วพูดขึ้น “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ จริง ๆ แล้วกินรสอ่อนก็ดีเหมือนกัน”

เหยาจิ้งจือรู้อยู่แล้วว่าอาหารรสชาติจืดจะทำให้ไม่ค่อยอยากอาหาร จึงรีบลุกขึ้นแล้วพูดว่า “มู่หลาน เดี๋ยวฉันไปทำไข่น้ำใส่น้ำตาลมาให้เธอดีกว่า”

“ไม่ต้องค่ะแม่ เอาไว้ค่อยกินไข่น้ำตอนหิวดีกว่า อาหารพวกนี้ฉันยังพอกินได้ค่ะ” ขณะเอ่ยก็เริ่มลงมือกินทันที

เมื่อเห็นลูกสะใภ้คนเล็กกินได้ไม่น้อย เหยาจิ้งจือก็นั่งลง “ได้ เดี๋ยวตอนเที่ยงจะทำให้นะ ถึงตอนนั้นเธอคงหิวแล้วแน่นอน”

“ค่ะ”

หลังจากทุกคนกินเสร็จ ซูหว่านอี๋ก็ให้ฉินมู่หลานกลับไปเอนตัวพักผ่อนที่ห้อง “มู่หลาน ลูกรีบไปนอนเถอะ พยายามเดินบนพื้นให้น้อยที่สุด ช่วงเดือนแรกนี่ต้องใส่ใจเป็นพิเศษ”

“ค่ะๆๆ หนูเข้าใจแล้ว”

ฉินมู่หลานก็ยอมเชื่อฟัง ขณะที่กำลังจะล้มตัวลงนอน ก็มีคนมาหาอีก

ผู้มาเยือนคือหยวนปิงซิน ภรรยาของผู้บังคับบัญชาเจียง เนื่องจากฉินมู่หลานเคยช่วยเจียงเฉิงลูกชายของพวกเขาในการผ่าตัดครั้งก่อน ทำให้เขาไม่มีผลข้างเคียงใด ๆ หยวนปิงเซียงจึงปฎิบัติต่อฉินมู่หลานประหนึ่งลูกหลานของตัวเอง ครั้งนี้เมื่อเห็นว่าเธอคลอดลูกฝาแฝดได้อย่างปลอดภัย จึงต้องแวะมาเยี่ยมเยียนอยู่แล้ว

“พี่สะใภ้ มาได้ยังไงครับเนี่ย รีบเข้ามาข้างในก่อนเถอะครับ”

เซี่ยเจ๋อหลี่เห็นหยวนปิงซิน ก็รีบเอ่ยเชิญให้หล่อนเข้ามานั่งข้างใน

หยวนปิงซินเห็นเซี่ยเจ๋อหลี่ ก็ยิ้มด้วยความปรีดา ก่อนจะเอ่ยว่า “อาหลี่ ยินดีด้วยนะ เธอโชคดีมากเลยที่มู่หลานให้ลูกกับเธอครั้งเดียวถึงสองคน แล้วยังเป็นลูกชายลูกสาวด้วย น่าอิจฉามากเลย”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ เซี่ยเจ๋อหลี่ก็ยกยิ้มแล้วตอบกลับ “ขอบคุณครับพี่สะใภ้ แต่หลังจากเจียงเฉิงแต่งงาน ผมมั่นใจว่าเขาก็จะมีหลานให้ในไม่ช้าแน่นอนครับ”

หยวนปิงซินได้ยินแบบนี้ก็ถึงกับส่ายหัว แล้วพูดขึ้น “ลืมไปได้เลย จนถึงตอนนี้ก็ยังหาแฟนไม่ได้สักคน แล้วจะแต่งงานได้ยังไงกัน” หลังจากเอ่ยจนจบ เธอก็รู้สึกขี้เกียจเกินกว่าจะพูดเรื่องของลูกชายตัวเอง และหันไปมองแล้วเอ่ยถามฉินมู่หลานด้วยความตื่นเต้น “มู่หลาน แล้วลูกทั้งสองคนอยู่ไหนล่ะ?”

“สองคนนั้นหลับไปแล้วค่ะ พี่สะใภ้อยากลองไปดูสักหน่อยไหมคะ?”

“อยากจ้ะ”

หยวนปิงซินรีบบอกกล่าวทันทีด้วยความอยากรู้อยากเห็นว่าเด็กทั้งสองคนนั้นเป็นอย่างไร หลังจากที่ได้เห็นเด็กทั้งสองคนแล้ว ก็อดเอ่ยชื่นชมด้วยน้ำเสียงเอ็นดูเสียไม่ได้ “เจ้าหนูสองคนหน้าตาดีมากเลย ร่างกายก็แข็งแรง น่ารักมากจริง ๆ”

ฉินมู่หลานได้ยินเช่นนี้ ก็เอ่ยตอบพร้อมรอยยิ้ม “พี่สะใภ้คะ ต่อไปเดี๋ยวคุณมีหลานชายหรือหลานสาว ก็คงน่ารักเหมือนกันค่ะ”

“จ้ะมู่หลาน ถ้าอย่างนั้นฉันขอคำแนะนำจากเธอหน่อยสิ เผื่อว่าเจ้าลูกชายเหลือขอที่บ้านมันจะยอมหาคู่สักที”

ด้วยความที่กลัวว่าเสียงจะดังรบกวนเด็กน้อยทั้งสอง หยวนปิงซินจึงออกไปข้างนอกอย่างเงียบเชียบ

เหยาจิ้งจือคอยดูแลพวกเด็ก ๆ แล้วขอให้ฉินมู่หลานออกไปคุยกับหยวนปิงซินข้างนอก เพราะหล่อนไม่ค่อยรู้จักสนิทสนมกับครอบครัวผู้บังคับบัญชามากนัก เป็นเพราะลูกสะใภ้คนเล็กช่วยผ่าตัดให้ลูกชายของพวกเขา จึงให้ลูกสะใภ้คนเล็กไปพูดคุยด้วยแทน

ฉินมู่หลานเห็นดังนั้นจึงเดินตามไปที่ห้องนั่งเล่นด้วย แต่เธอพบว่าตั้งแต่หยวนปิงซินมา ซูหว่านอี๋ผู้เป็นแม่ก็เงียบมาก นอกจากนี้ยังเอาแต่ก้มหน้าก้มตา ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่

แต่มีคนอื่นอยู่ที่นี่ด้วย ฉินมู่หลานจึงไม่ได้เอ่ยถามอะไรอยู่แล้ว

หลังจากหลายคนนั่งลง หยวนปิงซินก็เอ่ยพูดเรื่องครอบครัวอยู่ไม่กี่ประโยค นอกจากนี้ก็ยังเล่าให้ฟังเกี่ยวกับเรื่องที่เพิ่งทำไปด้วย “ตอนนี้ฉันพยายามนัดดูตัวให้เจียงเฉิง แต่ผลลัพธ์ไม่ค่อยน่าพอใจสักเท่าไหร่” หลังจากเอ่ยจบก็อดหันมองฉินมู่หลานแล้วพูดขึ้นอย่างเสียไมได้ “มู่หลาน ถ้าเธอรู้จักผู้หญิงดี ๆ สักคนก็อย่าลืมแนะนำฉันบ้างนะ เจียงเฉิงของพวกเราก็ค่อนข้างดี”

ฉินมู่หลานได้ยินสิ่งนี้ก็ยกยิ้มแล้วพยักหน้า ก่อนจะพูดขึ้น “พี่สะใภ้ไม่ต้องห่วงนะคะ ถ้าเจอหญิงสาวที่เหมาะสมกับเขา ฉันจะรีบแนะนำให้คุณทันทีเลยค่ะ”

“จ้ะ เอาเป็นว่าตกลงตามนั้น”

หลังจากเอ่ยพูดสองคำ หยวนปิงซินก็นำของขวัญที่จะมอบให้เด็กทั้งสองวางบนโต๊ะ หลังจากนั้นก็เตรียมตัวกลับ

เพียงแต่เมื่อยืนขึ้นและกำลังจะหันหลัง ก็ได้เห็นซูหว่านอี๋ “คุณ…คุณใช่…”

เมื่อมองดูซูหว่านอี๋ หยวนปิงซินก็ได้แต่รู้สึกคุ้นหน้าคุ้นตา แต่ยังนึกชื่อไม่ออก

ฉินมู่หลานเห็นหยวนปิงซินกำลังมองแม่ตัวเอง ก็รีบหันมองด้วยความอยากรู้อยากเห็น แล้วเอ่ยถาม “พี่สะใภ้ รู้จักแม่ของฉันด้วยเหรอคะ?”

“นี่แม่เธอเหรอ?”

สีหน้าของหยวนปิงซินเต็มไปด้วยความแปลกใจ จากนั้นก็มีความคิดหนึ่งแวบขึ้นมา แล้วพูดขึ้นว่า “ฉันคิดออกแล้ว คุณคือน้องสาวตระกูลซูใช่ไหม พระเจ้า ไม่คิดเลยว่าจะได้เจอคุณอีก”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ ซูหว่านอี๋ก็เงยหน้าขึ้น สีหน้าเต็มไปด้วยความซับซ้อน หล่อนอุตส่าห์ก้มหน้าก้มตาแล้ว แต่ยังมีคนจำได้อีก “ไม่เจอกันนานเลยนะคะ”

“ไอ้หยา…ใช่เธอจริงเหรอเนี่ย ฉันจำได้ว่าเธอชื่อซูหว่านอี๋ใช่ไหม”

หยวนปิงซินได้แต่รู้สึกเหลือเชื่อ ไม่คิดว่าจะได้เจอคนตระกูลซูอีกครั้ง

ซูหว่านอี๋ยกยิ้มแล้วพยักหน้า “ใช่ ฉันซูหว่านอี๋ค่ะ”

“ไอ้หยา…ฉันจำได้ว่าเธอชื่อนี้”

พูดจบ หยวนปิงซินก็ยกยิ้มด้วยความเขินอาย แล้วเอ่ย “ขอโทษด้วยนะคะ พอดีคนส่วนใหญ่จำได้แต่ชื่อของพี่สาวคุณ แต่โชคดีที่พวกคุณสองพี่น้องชื่อคล้ายกัน ฉันจึงจำชื่อคุณได้ด้วย” หลังจากพูดจบ หยวนปิงซินก็เอ่ยถามอีกครั้ง “จริงสิ ซูหว่านอวี๋พี่สาวของคุณล่ะคะ หล่อนอยู่ที่ไหนเหรอ หลังจากพวกคุณสองพี่น้องออกจากเมืองหลวงก็อยู่ด้วยกันใช่ไหมคะ?”

เมื่อได้ยืนแบบนี้ สีหน้าของซูหว่านอี๋ก็มืดมนลงทันที

“พี่สาวของฉันเสียแล้วค่ะ”

หยวนปิงซินได้ยินแบบนี้ ใบหน้าก็เต็มไปด้วยความไม่อยากเชื่อ ก่อนจะรีบกล่าวขอโทษอีกครั้ง “ขอโทษค่ะ ฉันไม่ทราบเรื่อง ต้องขอโทษด้วยจริง ๆ นะคะ คงไปจุดอดีตแสนเศร้าของคุณขึ้นมา”

ซูหว่านอี๋ส่ายหัว แล้วพูดขึ้น “ไม่เป็นไรค่ะ พี่สาวของฉันเสียไปได้ยี่สิบกว่าปีแล้ว ฉันก็ไม่คิดว่าจะมีใครจำหล่อนได้หรอกค่ะ” ขณะเอ่ย แววตาของซูหว่านอี๋ก็เต็มไปด้วยความเศร้าโศกคะนึงหา

ฉินมู่หลานกับเซี่ยเจ๋อหลี่ที่อยู่ข้าง ๆ รู้สึกแปลกใจ

เธอไม่เคยทราบมาก่อนเลยว่าแม่มีพี่สาวด้วย เพราะแม่ไม่เคยเล่าเรื่องพวกนี้เลย แล้วก็ไม่เคยพูดถึงเรื่องของตัวหล่อนเอง ตั้งแต่เธอจำความได้ แม่ก็อยู่คนเดียวมาโดยตลอด ไม่มีครอบครัว ญาติมิตรหรือเพื่อนฝูง จนกระทั่งวันนี้ถึงได้ทราบว่าแม่มีพี่สาวแท้ ๆ หนึ่งคน

และเมื่อหยวนปิงซินได้ยินแบบนี้ สีหน้าก็เต็มไปด้วยความเสียใจ

“แน่นอนฉันจำได้อยู่แล้ว ตอนนั้นพี่สาวของคุณรุ่งโรจน์มาก ทั้งสวยทั้งเก่งขนาดนั้น แต่ก็น่าเสียดาย…ที่ความสวยนำพาความโชคร้าย จึงได้จากไปตั้งแต่อายุยังน้อย”

“ใช่แล้วค่ะ พี่น่าสงสารมากเลย”

เมื่อเห็นสีหน้าของซูหว่านอี๋ไม่ค่อยดีนัก หยวนปิงซินจึงไม่เอ่ยอะไรอีก แล้วรีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนา ก่อนจะเอ่ยถาม “จริงสิ มู่หลานเป็นลูกสาวคุณ ช่างน่าเหลือเชื่อจริง ๆ เลย”

ซูหว่านอี๋ยกยิ้ม แล้วเอ่ย “พอดีเห็นว่ามู่หลานใกล้จะคลอดแล้ว ฉันก็คิดว่าจะมาช่วยดูแลสักพัก ไม่คิดเลยว่าจะได้เจอคุณ”

“ใช่แล้ว ไม่คิดไม่ฝันเลย ไม่แปลกใจเลยที่มู่หลานสวยขนาดนี้ ได้คุณมานี่เอง” แต่หลังจากพูดจบ หยวนปิงซินก็อดหันมองฉินมู่หลานอีกครั้งเสียไม่ได้ ก่อนจะพูดขึ้น “ที่จริงแล้ว พอมองดี ๆ มู่หลานก็ดูเหมือนพี่สาวคุณอยู่บ้างเหมือนกันนะ ได้รับเชื้อหน้าตาดีมาจากพวกคุณสองพี่น้องเลยนะคะ”

แต่เมื่อคิดได้ว่าซูหว่านอวี๋ไม่อยู่แล้ว หยวนปิงซินก็รู้สึกไม่ค่อยดีนัก

…………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

ทางด้านตระกูลซูก็น่าจะมีเรื่องมีราวไม่น้อยเลยนะเนี่ย คุณแม่ใจเด็ดมากที่แยกตระกูลออกมาอยู่เอง

ไหหม่า(海馬)