บทที่ 183 ความดีของบิดามารดาผู้ให้กำเนิด

“สามี หากเรายืนยันที่จะให้เอ้อร์เป่าอยู่กับเรา จะไม่เป็นการเห็นแก่ตัวเกินไปหรือ?” ถังหลี่ถาม

“เราต้องเคารพการตัดสินใจของเขา” เว่ยฉิงลูบหัวนางเบา ๆ

ถังหลี่พยักหน้า

ใช่ พวกเขาควรเคารพการตัดสินใจของเอ้อร์เป่า เพื่อให้เขามีความสุข

เช้าวันต่อมาฟางเจี๋ยและนางถังมาหาพวกเขาพร้อมกับนำอาหารและของเล่นมากมายมาให้เด็ก ๆ ทั้งสองคนรุมล้อมเอ้อร์เป่าและพูดคุยกับเขาด้วยใบหน้ายินดี เด็กชายตอบเขาบ้างเป็นครั้งคราวทั้งคู่ดูมีความสุขมาก

เว่ยฉิงสังเกตว่าถังหลี่อารมณ์ไม่ดี

“ฮูหยิน เจ้าไม่ได้เจอฮูหยินมู่มานานแล้วใช่หรือไม่ ข้าคิดว่านางคิดถึงเจ้านะ” เว่ยฉิงพูด

ถังหลี่รู้ว่าสามีของนางอยากให้นางออกไปเดินเล่นเพื่อสงบสติอารมณ์

“ซานเป่า ไปหาแม่ทูนหัวของเจ้ากันดีหรือไม่?” ถังหลี่ถามซานเป่า

ซานเป่าไม่อยากไป นางต้องการปกป้องไม่ให้พี่ชายถูกพาตัวไป แต่ภายใต้สายตาคาดคั้นของมารดาเด็กหญิงได้แต่พยักหน้ารับ

หญิงสาวพาซานเป่ามาที่จวนสกุลมู่ ฮูหยินมู่พอเห็นสองแม่ลูกนางก็มีความสุขมาก นางอุ้มซานเป่าขึ้นมากอดรัดอย่างแนบแน่นทันที

“เอ้อร์เป่าอยู่ไหนหรือ?” ฮูหยินมู่ถาม

ทันทีที่พูดถึงเอ้อร์เป่าสีหน้าของถังหลี่ก็ไม่ค่อยดีนัก แม้แต่เจ้าเกี๊ยวน้อยในอ้อมกอดของนางก็มีทีท่าเปลี่ยนไป

“เกิดอะไรขึ้นกับเอ้อร์เป่าหรือ?” ฮูหยินมู่ถามอย่างรวดเร็ว

ถังหลี่เล่าเรื่องของเอ้อร์เป่าให้นางฟัง เมื่อนางได้ฟังก็รู้สึกประหลาดใจมาก

“แล้วเอ้อร์เป่าอยากกลับไปกับพวกเขาหรือไม่?”

“ความคิดของเขา คือไม่อยากกลับไป”

แต่อย่างไรก็ตามเลือดย่อมข้นกว่าน้ำ เอ้อร์เป่าอาจจะเปลี่ยนใจขึ้นมาก็เป็นได้

ฮูหยินมู่เงียบไปพักหนึ่ง

“เสี่ยวถัง เจ้าต้องเคารพการตัดสินใจของเอ้อร์เป่าในครั้งนี้ เจ้าไม่สามารถบังคับเขาได้”

ถังหลี่พยักหน้าอย่างเข้าใจ

แต่หัวใจมีเลือดเนื้อจะบังคับควบคุมได้อย่างไรกัน?

“พี่หลัน ข้าอยากตรวจสอบพ่อแม่ผู้ให้กำเนิดของเอ้อร์เป่า พวกเขาอ้างว่าตนเองมาจากเมืองฉินโจว เขามีนามว่าฟางเจี๋ย ภรรยาคือนางถัง” ถังหลี่กล่าว

สำหรับเมืองฉินโจว ถ้าเป็นไป๋มู่หยางพี่ชายของนางอาจจะคุ้นเคยมากกว่า แต่อย่างไรก็ตามเนื่องจากตอนนี้พี่ชายของถังหลี่ไม่อยู่นางจึงสอบถามนางมู่เกี่ยวกับเรื่องนี้แทน นางอยู่ในแวดวงการค้า ครอบครัวของฮูหยินมู่เองก็อยู่ที่เหอตง ซึ่งใกล้กับเมืองฉินโจว หากต้องการข้อมูล ฮูหยินมู่น่าจะสืบเสาะหามาได้

ไม่ว่าเอ้อร์เป่าจะอยู่ที่ไหน ถังหลี่ไม่ต้องการให้ลูกชายของนางต้องทนทุกข์หรือถูกทำร้าย

“ฟางเจี๋ยหรือ? เหมือนข้าจะจำชื่อนี้ได้ เขาทำกิจการค้าข้าวและธัญพืชขนาดค่อนข้างใหญ่ในเมืองฉินโจว แต่ข้าไม่เคยติดต่อค้าขายกับพวกเขาโดยตรง เลยไม่รู้จักนิสัยพวกเขานัก ข้าจะถามพี่ชายของข้าให้” ฮูหยินมู่กล่าว

“ขอบคุณนะพี่หลัน”

“ไม่ต้องห่วง ปล่อยเป็นหน้าที่ของข้า ข้าจะตรวจครอบสกุลฟางให้เจ้าได้แน่นอน”

เมื่อเดินออกจากจวนสกุลมู่ จู่ ๆ ซานเป่าก็บอกว่านางอยากซื้อของบางอย่าง ถังหลี่จึงพาเด็กหญิงไปที่ตลาด ซานเป่าหยิบเชือกสีแดงหนึ่งมัดจากแผงลอยถังหลี่ต้องการจะจ่ายเงิน หากเด็กตัวน้อยกลับหยิบเหรียญทองแดงออกมาจากกระเป๋าของนางยื่นให้พ่อค้า หลังจากซื้อของเสร็จแล้วสองแม่ลูกก็เดินกลับบ้านไปด้วยกัน

“ซานเป่าเจ้าซื้อเชือกแดงไปทำอะไรหรือ?” ถังหลี่ถาม

“ท่านแม่ เรื่องนี้เป็นความลับ” เด็กตัวน้อยพูดอย่างมีเลศนัย

เนื่องจากเด็กหญิงบอกว่ามันเป็นความลับถังหลี่จึงไม่เอ่ยถามนางต่อ ถึงแม้นางจะเป็นเด็กตัวเล็ก ๆ แต่ก็จะมีความลับของตัวเองได้เช่นกัน เมื่อทั้งสองมาถึงที่บ้านก็ไม่เห็นเอ้อร์เป่า มีแต่เพียงเว่ยฉิงและสองสามีภรรยาเท่านั้น

“ฮูหยินเว่ย พวกข้าต้องการคุยกับท่านเรื่องเหยียนเอ๋อร์” ฟางเจี๋ยกล่าว

“เจ้าอยากไปเล่นกับเอ้อร์เป่าหรือไม่?” ถังหลี่ลูบหัวซานเป่า

เด็กหญิงวิ่งไปที่ห้องของพี่ชายด้วยขาสั้น ๆ

ตอนนี้จึงเหลือเพียงถังหลี่ เว่ยฉิง และสองสามีภรรยาสกุลฟางเท่านั้น

“เว่ยฉิง ฮูหยินเว่ย ขอบคุณท่านมากที่พวกท่านเลี้ยงดูเด็กคนนี้อย่างดี สกุลฟางจะตอบแทนน้ำใจของพวกท่านอย่างแน่นอน” ฟางเจี๋ยกล่าวขอบคุณ

เห็นได้ว่านี่คือคำกล่าวขอบคุณ แต่ถังหลี่กลับฟังแล้วไม่รู้สึกสบายใจ เพราะความหมายคือการพรากเอ้อร์เป่าออกไปจากอกของนาง ตอนนี้พวกเขายังเป็นครอบครัวเดียวกัน ถังหลี่และเว่ยฉิงเลี้ยงดูเอ้อร์เป่ามานาน รักเขาเหมือนลูกในไส้ ไม่ได้หวังสิ่งตอบแทน อย่างไรก็ตามฟางเจี๋ยไม่ได้หมายความเช่นนั้น เพียงแต่ถังหลี่อ่อนไหวมากเกินไป

“อ่า…เอ้อร์เป่าเป็นลูกชายข้า ข้าสมควรเลี้ยงดูเขาเป็นอย่างดี พวกท่านไม่จำเป็นต้องขอบคุณ” เว่ยฉิงเองก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน

“ไม่ได้ ข้าต้องขอบคุณ ดังนั้นข้าจึงเตรียมของขวัญเล็ก ๆ น้อย ๆ หวังว่าพวกท่านจะชอบ” ฟางเจี๋ยพูดก่อนจะยื่นกล่องให้แก่เว่ยฉิง

กล่องรูปสี่เหลี่ยมนั้นมีขนาดประมาณฝ่ามือของเว่ยฉิง แต่ชายหนุ่มไม่ยอมรับ

“ข้าไม่ต้องการของตอบแทน” เว่ยฉิงพูด

“ฮูหยินเว่ย ท่านอยากเปิดดูก่อนหรือไม่?” ฟางเจี๋ยถาม

ในนั้นบรรจุเงินไว้หนึ่งพันตำลึง มากพอจะซื้อบ้านแบบนี้ได้สี่หรือห้าหลัง เขาไม่เชื่อว่าสามีภรรยาคู่นี้จะไม่อยากได้

วันนี้ฟางเจี๋ยและนางถังเกลี้ยกล่อมเอ้อร์เป่าเป็นเวลานาน แต่เด็กชายดื้อรั้น เขาขังตัวเองอยู่ในห้อง ไม่ว่าทั้งสองจะพูดอย่างไรเด็กชายก็ไม่เปิดประตู พวกเขาเป็นพ่อแม่แท้ ๆ ของเหยียนเอ๋อร์ แต่เด็กคนนี้ไม่เชื่อฟังพวกเขาเลย ฟางเจี๋ยจำได้ว่าตอนยังเล็กเหยียนเอ๋อร์เป็นเด็กดีมาก ความดื้อรั้นแบบนี้คงได้มาจากสามีภรรยาคู่นี้นั่นเอง

แต่ฟางเจี๋ยเองก็รู้สึกผิดเช่นกัน เขาไม่อาจตำหนิเด็กชายได้ โชคดีที่เขายังอายุน้อย เมื่อพากลับไปก็สามารถสั่งสอนใหม่ได้ นิสัยที่ดื้อรั้นของเขาจะหายไป ในเมื่อไม่สามารถเกลี้ยกล่อมเด็กชายได้ ดังนั้นฟางเจี๋ยจึงคิดว่าควรมาพูดคุยกับสามีภรรยาที่ดูแลเหยียนเอ๋อร์ และตกลงกับเขาแทนจะดีกว่า

หากตกลงกันได้ก็จะสามารถพาเด็กชายกลับไปก่อน จากนั้นจึงค่อย ๆ เกลี้ยกล่อมเขา

ถังหลี่หยิบกล่องสี่เหลี่ยมตรงหน้าขึ้นมา มันมีขนาดใหญ่เกือบเท่ามือเว่ยฉิงและเมื่อเปิดออกก็พบกับเงินหนึ่งพันตำลึง หญิงสาวขมวดคิ้วทันที

“นายท่านฟาง นี่หมายความว่าอย่างไรหรือ? ค่าเลี้ยงดูเอ้อร์เป่าหรือ? พวกข้าเลี้ยงเขามาสามปีแล้ว มันไม่ได้ต้องใช้เงินมากมายขนาดนี้”

“มันไม่ใช่แค่ค่าเลี้ยงดูเขา แต่ยังรวมถึงความห่วงใยและความรักที่พวกท่านทั้งสองมีต่อเหยียนเอ๋อร์ด้วย” ฟางเจี๋ยพูดอย่างรวดเร็วและใจดี

“ความรักของข้าและสามีที่มีต่อเอ้อร์เป่ามันประเมินค่าไม่ได้” ถังหลี่กล่าว

“ฮูหยินคิดว่ามันน้อยไปหรือ? พวกเรารีบเดินทางมาที่นี่ หลังจากที่พาเหยียนเอ๋อร์กลับไปแล้ว ข้าจะหาของขวัญที่พวกท่านถูกใจมาให้อย่างแน่นอน” ฟางเจี๋ยรีบพูดอย่างร้อนรน

“นายท่านฟาง พวกเราไม่ต้องการสิ่งใดตอบแทนสำหรับความเมตตาที่พวกเรามีต่อเอ้อร์เป่า หากท่านต้องการพาเอ้อร์เป่ากลับไป ตราบใดที่เขาเต็มใจที่จะกลับพวกเราก็ไม่มีปัญหาอะไร” ถังหลี่กล่าว

“ฮูหยินเว่ย พวกเราเป็นพ่อแม่โดยกำเนิดของเหยียนเอ๋อร์ แต่ท่านเลี้ยงดูเหยียนเอ๋อร์มานาน เขาเชื่อฟังท่าน ข้าหวังว่าท่านจะช่วยพูดเกลี้ยกล่อมเขา” ฟางเจี๋ยกล่าว

ตอนนี้ถังหลี่เห็นได้ชัดแจ้งแล้วว่า ฟางเจี๋ยไม่ได้คำนึงถึงความรู้สึกของพวกเขาจริง ๆ ดังนั้นถึงหลี่จึงไม่สามารถช่วยเขาได้อีกต่อไป

“นายท่านฟาง พวกเราเลี้ยงดูเอ้อร์เป่ามานาน มีความรักให้เขาอย่างมากมาย เรารู้ว่าพวกท่านคือพ่อแม่ที่แท้จริงของเขา การสูญเสียลูกไปนั้นเป็นเรื่องที่ทำใจได้ยาก แต่พวกท่านก็ต้องเข้าใจว่า หากพาเขากลับไปก็เหมือนกับฉีกทึ้งหัวใจเขาอย่างไร้ปรานีเช่นกัน”

ฟางเจี๋ยถูกปฏิเสธ สีหน้าของเขาดูไม่ค่อยดีนัก

“ขออภัยด้วย พวกข้าคิดไม่รอบคอบเอง”

พวกเขาจากไป

“ท่านพี่ พวกเขาหมายความว่าเงินหนึ่งพันตำลึงไม่พอหรือ? นั่นคือเหตุผลที่เขาไม่อยากแยกกับเหยียนเอ๋อร์ใช่หรือไม่? พวกสิงโตกระหายเนื้อ เราไม่สามารถทำตามใจพวกเขาได้” นางถังพูดอย่างไม่พอใจ

ฟางเจี๋ยไม่พูดอะไร

“หากเราพาเหยียนเอ๋อร์กลับไป พวกเขาจะไม่มาข่มขู่เอาเงินกับเรายามที่พวกเขาลำบากหรอกหรือ? ลูกพี่ลูกน้องข้าก็โดนเช่นนี้กับครอบครัวเดิมของภรรยาที่มาขอเงินตลอดทุกเทศกาล”

“ไว้คิดที่หลัง หลังจากที่เหยียนเอ๋อร์ตกลงกลับไปกับพวกเราแล้ว” ฟางเจี๋ยกล่าวสรุป

“เขาเป็นแค่เด็กย่อมฟังผู้ใหญ่ ถ้าจะให้เขากลับก็แค่พาเขากลับไปเท่านั้น”

“ไม่ เหยียนเอ๋อร์ทุกข์ทรมานมานาน มันขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเขา”

“แต่เหยียนเอ๋อร์ไม่สนใจพวกเรา!” นางถังพูดด้วยดวงตาแดงก่ำ

“ตอนเด็กเขาเชื่อฟังมากกว่านี้ เหตุใดตอนนี้ถึงกลายเป็นเช่นนี้ไปได้”

ฟางเจี๋ยรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย เขาไม่มีอารมณ์จะปลอบโยนนาง

“อย่าร้องไห้ พวกเราพลัดพรากจากเหยียนเอ๋อร์มาหลายปีแล้ว เราจำต้องอดทนให้เวลากับเขามากขึ้นเพื่อที่เขาจะได้รู้ว่าเราเป็นบิดามารดาที่แท้จริงของเขา