บทที่ 29 ใช้ชีวิตไม่เป็น

นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา

นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา บทที่29 ใช้ชีวิตไม่เป็น
พ่อค้าจางลุกขึ้นมานั่งบนพื้น ไอคอกแคะหลายทีถึงจะหาย

ตอนนี้ท้องกับแผ่นหลังของเขาเจ็บมากจริงๆ คนผู้นี้กล้าเตะเขางั้นเหรอ! เขาจะก่อกวนจนไม่ให้เขาได้ขายของในตำบลอีกเลย!

พอคิดได้แบบนี้ เขาก็ลุกขึ้นแล้วเดินกลับไปที่แผงขายของของตัวเอง

โจวกุ้ยหลานขายเนื้อหมดแล้ว มีแค่อวัยวะภายในและกระดูกหมูป่าที่ไม่มีคนซื้อ มองดูเวลาแล้ว นางก็ไม่อยากรออีก จึงเตรียมเก็บแผงกลับบ้าน

ของพวกนี้ค่อยเอากลับไปกินเองที่บ้านก็ได้

ต่อมา ก็ถึงเวลาซื้อของของโจวกุ้ยหลานแล้ว

ไปซื้อจอบกับเสียมมาก่อน ค่อยซื้อเสาไหล่ จากนั้นก็ซื้อถ้วยตะเกียบเพิ่ม

ถึงแม้ที่บ้านจะมีแบบที่ทำจากไม้ แต่นางก็ชินกับการใช้แบบเซรามิกไปแล้ว

ต่อมาก็เป็นข้าวสาร ซื้อมาอีกห้าสิบชั่ง แป้งอีกยี่สิบชั่ง เพิ่มน้ำตาลอีกสองชั่ง และช่างลูกอมหนึ่งชั่ง เห็นมีขายพริกป่น นางก็ตื่นเต้นอย่างมาก รีบเข้าไปซื้อมาอีกหนึ่งชั่ง นางก็ถึงยอมกลับบ้านกับสวีฉางหลินอย่างพึงพอใจ

ส่วนของพวกนี้ ก็ต้องให้สวีฉางหลินแบกไว้ในตะกร้าอยู่แล้ว

พอซื้อของไปแบบนี้ ก็ใช้จ่ายไปเกือบหนึ่งตำลึงแล้ว วันนี้เงินที่ขายเนื้อหมูได้ ใช้ไปแล้วเกินครึ่ง เหลือเงินอยู่แค่ครึ่งตำลึง

“เห้อ เงินหมดง่ายจริงๆ!” โจวกุ้ยหลานมองดูของในตะกร้าที่สวีฉางหลินแบกอยู่ มองดูกระเป๋าที่แบนเรียบอีกครั้ง อดไม่ได้ถอนหายใจออกมายาวๆ

สวีฉางหลินเงียบ

เงินไม่พอใช้จริงด้วย……

แต่ตอนนี้ที่บ้านก็มีกินมีใช้ เขารู้สึกว่าภรรยาตัวเองใช้เงินซื้อของในสิ่งที่จำเป็นจริงๆ

ต่อไปเขาแค่กินอิ่มก็พอแล้ว ตั้งแต่ที่แต่งงานกับภรรยาคนนี้ เขาก็ถึงรู้ว่า ที่แท้ชีวิตก็ใช้แบบนี้นี่เอง

ต่อไป เขาต้องล่าสัตว์ให้ได้เยอะกว่าเดิม

เห็นว่าใกล้จะเกินเวลากินข้าวกลางวันแล้ว โจวกุ้ยหลานก็จ่ายเงินซื้อซาลาเปาอีกสิบห้าลูก

ให้สวีฉางหลินห้าลูก ตัวเองสามลูก ที่เหลือใส่ไว้ในตะกร้า เอากลับบ้านไปด้วย

ตอนกลับบ้าน ภายใต้ความยึดมั่นของโจวกุ้ยหลาน ทั้งสองก็จ่ายเงินหกเหวินเพื่อนั่งรถเกวียนกลับบ้าน

มาถึงหมู่บ้านต้าสือ ทั้งสองก็ไปที่บ้านแม่พวกเขา

พอเข้าบ้านไป ก็เจอกับโจวต้าไห่พอดี

ปฏิกิริยาแรกของโจวต้าไห่คือ ตบไหล่ของสวีฉางหลินเบาๆ: “น้องเขยเก่งจริงๆ ต่อไปถ้าจะล่าสัตว์พาข้าไปด้วยนะ”

หลายครั้งที่โจวกุ้ยหลานมา พี่ใหญ่ก็ไปทำงานที่ไร่นาตลอด นานๆทีจะได้เจอกัน สุดท้ายพี่ใหญ่กลับคุยกับสวีฉางหลินก่อน นี่คงจะเป็นความสัมพันธ์ระหว่างผู้ชาย

โจวกุ้ยหลานทักทายโจวต้าไห่ จากนั้นก็เดินเข้าไปในห้องของโจวเหล่าไท่ไท่

พอเข้าไปในห้อง ก็เห็นโจวเหล่าไท่ไท่กำลังเย็บเสื้อ เจ้าก้อนน้อยก็เอียงหัวแล้วนั่งรอข้างๆเงียบๆ

หลังจากที่เห็นโจวกุ้ยหลานมา เขาก็รีบกระโดดลงจากเตียงแล้วเข้าไปกอดขาของโจวกุ้ยหลาน

โจวเหล่าไท่ไท่ไม่พอใจ: “ดูเจ้าเหมือนจะอยากฟ้องว่าข้ารังแกเจ้าเลยนะ?”

“ท่านแม่ เขายังเล็กน่า” โจวกุ้ยหลานว่าแล้วก็อุ้มเจ้าก้อนน้อยขึ้นไปนั่งบนเตียงเตา ยื่นมือไปจับเสื้อตัวนั้นดู

“ตอนเด็กก็รู้ตอนโตเป็นคนแบบไหน ต่อไปจะกลายเป็นเด็กไร้หัวใจ เจ้าก็ตามใจต่อไปแล้วกัน เดี๋ยวต่อไปเจ้าจะได้เสียใจทีหลัง!” ว่าแล้ว ก็ตบมือของโจวกุ้ยหลาน

ไม่ให้ดูก็ไม่ได้

โจวกุ้ยหลานนั่งข้างเจ้าก้อนน้อย มองดูท่าทีหวาดกลัวของเจ้าก้อนน้อย อดไม่ได้จุ๊บเขาทีหนึ่ง

โจวเหล่าไท่ไท่เห็นแล้วก็โมโห: “เจ้ามีลูกไม่ได้หรือยังไง? อยากได้ก็รีบท้องเองสิ!”

โจวกุ้ยหลานลูบหลังปลอบใจเจ้าก้อนน้อย ให้เขาหายกลัว แล้วถึงพูดว่า: “ท่านแม่ นี่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ แม่จะรีบไปทำไม? ยังไงตอนนี้ก็เป็นลูกชายของข้านะ”

สำหรับโจวเหล่าไท่ไท่แล้ว โจวกุ้ยหลานรู้ว่านางพูดแบบนี้ก็เพื่อตัวเองทั้งนั้น แต่โจวเหล่าไท่ไท่จะดุด่าเจ้าก้อนน้อยแบบนี้ไม่ได้ เพราะยังไงต่อไปนางอาจจะต้องฝากให้แม่ดูแลเจ้าก้อนน้อยบ่อยๆ ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป เดี๋ยวเจ้าก้อนน้อยจะเป็นปมในใจเอาได้

โจวเหล่าไท่ไท่ก็เอาเข็มด้ายในมือโยนลงตะกร้า ตบโต๊ะเสียงดัง ‘ปัง’ พูดด้วยสีหน้าโมโหว่า: “ทำไม เจ้าหัดเถียงข้าตั้งแต่เมื่อไหร่กัน? นี่แต่งงานออกไปก็ไม่ฟังคำแม่แล้วหรือไง?”

เมื่อก่อนไม่พูดยังไม่รู้สึก แต่พอพูดออกมา นางก็นึกย้อนกลับไปถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ ยิ่งคิดก็ยิ่งแปลกใจ นางจ้องมองโจวกุ้ยหลานตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างละเอียด

ตายแล้ว!

โจวกุ้ยหลานหวั่นใจ โจวเหล่าไท่ไท่เป็นคนที่จัดการได้ยากซะด้วย นางลืมไปได้ยังไงกันนะ……

นึกถึงตรงนี้ นางก็รีบปัดมือแล้วพูดว่า: “ท่านแม่ ข้าจะกล้าไม่ฟังแม่ได้ยังไง? ข้าแต่งงานแล้วนี่ จะมีนิสัยเหมือนตอนอยู่ในบ้านก็คงไม่ได้ อีกอย่างข้าก็เพิ่งรอดพ้นจากความตายมา นิสัยก็จะไม่เปลี่ยนเลยได้ยังไง?”

คำพูดนี้ทำให้โจวเหล่าไท่ไท่นึกถึงเรื่องที่ก่อนหน้านี้ลูกสาวตัวเองเอาหัวชนกำแพง ในใจก็รู้สึกเจ็บปวดมาก ก็ไม่มีคิดเรื่องอื่นอีก

“เจ้ามันอ่อนแอ แม่เลี้ยงเจ้ามาไม่ง่ายเลยนะ รู้ไหม? ทำไมเจ้าถึงดื้อรั้นขนาดนี้ ยังเอาหัวชนกำแพงอีก ดื้อจริงๆเลยนะ!”

ตอนนี้โจวกุ้ยหลานไม่กล้าพูดอะไรเยอะ ปล่อยให้โจวเหล่าไท่ไท่ด่านางไป

โจวเหล่าไท่ไท่ด่าคนแต่มือก็เย็บเสื้อผ้าต่อไม่หยุด โจวกุ้ยหลานเล่นนิ้วมือตัวเองอยู่ข้างๆ

สักพัก โจวเหล่าไท่ไท่ก็เย็บผ้าเสร็จแล้วก็โยนเสื้อไปให้โจวกุ้ยหลาน “ทำเสร็จแล้ว เอาไปลองเอง!”

พูดจบ นางก็ลงจากเตียงเตา เดินออกไปด้านนอก เหลือไว้เพียงโจวกุ้ยหลาน

โจวกุ้ยหลานหยิบเสื้อมาให้เจ้าก้อนน้อยลองดู ใหญ่นิดหน่อย แต่แม่น่าจะเพื่อขนาดไว้ให้เจ้าก้อนน้อยใส่ปีหน้า ตั้งใจทำใหญ่นิดหน่อย นางเห็นแล้วก็รู้สึกดีใจมาก

เจ้าก้อนน้อยใส่เสื้อใหม่แล้วก็ดีใจจนแก้มแดงระเรื่อ แต่ก็ไม่กล้าหัวเราะเสียงดัง จึงต้องก้มหน้าแอบฉีกยิ้มกว้าง

โจวกุ้ยหลานจับมือเขาเดินออกจากห้อง เห็นสวีฉางหลินเอาของในตะกร้าแบ่งให้โจวเหล่าไท่ไท่

โจวเหล่าไท่ไท่ขมวดคิ้วเป็นปม: “พวกเจ้าจะซื้อมาทำไมกัน? เงินที่หามาได้วันนี้ใช้หมดแล้วเหรอ?”

ได้ยินแบบนี้……

โจวกุ้ยหลานก็ไม่กล้าตอบ

สวีฉางหลินก็ไม่ตอบเหมือนกัน

“ใช้ชีวิตไม่เป็นเลย!” โจวเหล่าไท่ไท่สรุป

โจวต้าไห่ที่อยู่ข้างๆก็หัวเราะสะใจ: “น้องเขยเก่งจริงๆ ล่าสัตว์เก่งขนาดนี้ สายตาแม่เฉียบแหลมจริงๆ”

สำหรับลูกชายคนเดียวคนนี้ โจวเหล่าไท่ไท่ดูใส่ใจมาก ลูกชายพูดแบบนี้ นางก็ไม่พูดอะไรเยอะ จึงรับของเอาไปไว้ในครัว

ลูกสาวตัวเองก็กตัญญูมาก ตั้งแต่แต่งงานออกไปจนถึงตอนนี้ นางก็ขนของมาที่บ้านตลอดไม่ขาดสาย

กลับเข้าห้อง นางก็เอาตะกร้าหยิบกระดูกใส่แล้วเดินออกไป

โจวกุ้ยหลานเห็นแล้วก็ถามว่า: “แม่จะทำอะไรเหรอ?”

โจวเหล่าไท่ไท่ไม่ได้ด่านางอีก: “ส่งไปให้ลุงใหญ่กับอาสะใภ้สามของเจ้า”

ว่าแล้วก็เดินออกไปทันที

โจวกุ้ยหลานเงียบ โจวเหล่าไท่ไท่เก่งและแกร่ง แต่ก็อยู่เป็นเหมือนกัน เมื่อก่อนมีของดีอะไรก็จะส่งให้บ้านอื่นตลอด

เพราะเมื่อก่อนนางอยู่เป็น ไม่งั้นหลายปีก่อนมีภาวะแห้งแล้ง บ้านลุงใหญ่คงไม่ช่วยพวกเขาหรอก เพราะตอนนั้นทุกบ้านก็ไม่มีเสบียงเหลือเลย ในหมู่บ้านก็มีคนที่อดตายกัน