ระยะนี้ฮูหยินผู้เฒ่าเจ็บปวดใจมากจริงๆ
นอกจากพี่ชายและหลานชายของนางต้องประสบเคราะห์ร้ายแล้ว เหล่าสตรีที่ไม่อาจทนรับความอัปยศ พอได้ยินว่าต้องถูกขายไปที่กองสังคีต ก็พากันแขวนคอปลิดชีพตัวเอง คนที่อายุยังน้อยถูกเนรเทศไปอยู่ภาคตะวันตกเฉียงเหนือ ยังไม่รู้ว่าจะเหลือชีวิตรอดมาได้สักกี่คน คนในตระกูลต่างพลัดพรากกระจัดกระจายไปคนละทิศคนละทาง ไม่เหลือเค้าของครอบครัวแล้ว ซือจูยังจะร้องโวยวายอยู่ตรงนี้ว่า ข้ายอมตาย เหมือนเด็กไม่รู้ความอีก ความกรุ่นโกรธที่คั่งค้างอยู่ในใจของฮูหยินผู้เฒ่าจึงปะทุออกมาตามเสียงโวยวายดังกล่าว ตวาดเสียงดังอย่างห้ามไม่อยู่ว่า “ได้! เช่นนั้นเจ้าก็ไปตายเสียก็แล้วกัน! อย่างไรแม่เจ้าและพวกพี่ชายพี่สะใภ้ของเจ้าก็ตายกันหมดแล้ว เจ้ายังจะมีชีวิตอยู่ไปเพื่ออันใด ลงไปอยู่เป็นเพื่อนพวกเขายังปรโลกก็ดีเหมือนกัน จะได้ไปบอกพวกเขาด้วยว่าเจ้าตายอย่างไร!”
กล่าวจบ นางนึกถึงหลานชายตัวขาวนวลเนียนและไร้เดียงสาทั้งหลายขึ้นมาก็ก็สะอื้นไห้ออกมาอย่างระงับเอาไว้ไม่อยู่ กล่าวว่า “ผู้อื่นอยากมีชีวิตอยู่ต่อก็ทำไม่ได้ เจ้ากลับดีเหลือเกิน ได้มีชีวิตอยู่ต่อกลับบอกว่าอยากตาย ได้! ข้าจะไม่ห้ามเจ้า เจ้าอยากตายก็ไปตายเสียก็แล้วกัน!”
โหวฮูหยินได้ยินแล้วเหงื่อเย็นไหลไม่หยุด
งานแต่งของซือจูเป็นสมรสพระราชทาน หากนางตายอยู่ในบ้านของพวกเขา จะอธิบายกับฮ่องเต้และฮองเฮาเหนียงเหนียงว่าอย่างไร
ถ้าอยากตาย ก็ต้องรอออกเรือน แต่งเข้าจวนเจิ้นกั๋วกงไปก่อนแล้วค่อยตาย
นางหาได้สาปแช่งให้จวนเจิ้นกั๋วกงแต่งหญิงอัปมงคลเข้าบ้าน แต่เป็นเพราะจวนหย่งเฉิงโหวของพวกเขานั้นดูงดงามเหมือนดอกไม้สด แต่ความจริงแล้วเป็นแค่ท่อนซุงกลวงเปล่าท่อนหนึ่ง ไม่ได้มีความสามารถเท่าจวนเจิ้นกั๋วกงที่แบกรับความเป็นความตายได้
นางรีบประคองฮูหยินผู้เฒ่าเอาไว้ กล่าวว่า “ท่านเลอะเลือนตามไปด้วยอีกคนได้อย่างไร! คุณหนูซืออายุน้อย ยังไม่รู้ความ นางโกรธก็เลยไม่สนใจอะไร ท่านไม่ห้ามปรามนางสักหน่อยไม่พอ ยังมีอารมณ์ตามขึ้นมาอีกคน!”
แล้วก็โน้มน้าวซือจูว่า “สุนัขมีชีวิตยังดีกว่าราชสีห์สิ้นชีพ ผู้ใดบ้างที่ตลอดทั้งชีวิตไม่เจออุปสรรคสักสองสามเรื่อง? หากเรื่องอะไรก็ข่มขู่จะปลิดชีพ อนาคตจะมีชีวิตที่ดีได้อย่างไร เจ้าฟังคำแนะนำของอาสะใภ้สักครั้ง ตระกูลที่เจ้าแต่งด้วยคือจวนเจิ้นกั๋วกง อนาคตยังมีวันดีๆ รออยู่”
ซือจูทนฟังถ้อยคำเช่นนี้ไม่ได้เป็นที่สุด แสยะยิ้มเย็นกล่าวขึ้นว่า “แต่งกับคนโง่อย่างเฉินอิง ข้ายังจะชีวิตดีๆ อะไรได้”
ยังมีพี่สาวโง่เขลาของเขาผู้นั้นอีกคนหนึ่ง
เหตุใดเฉินลั่วถึงไม่กำจัดพวกเขาให้สิ้นซากเสียตั้งแต่ตอนแรก
ซือจูกัดฟันกรอด ทำให้คนที่อยู่ในเหตุการณ์เห็นแล้วตระหนกตกใจ ต่างรู้สึกเหมือนเห็นผีก็ไม่ปาน
โหวฮูหยินกลับกลัวว่าซือจูจะเหมือนสมัยเด็กตอนที่มาเป็นแขกที่จวนหย่งเฉิงโหว ที่พูดอะไรไม่เข้าหูก็ล้มโต๊ะไล่คน จึงรีบส่งสัญญาณให้พานหมัวมัวกับซือหมัวมัวขวางซือจูเอาไว้ หมายจะเกลี้ยกล่อมนางอีกสองสามประโยค แต่ผู้ใดจะรู้ว่าซือจูกลับถลึงตามองฮูหยินผู้เฒ่าอย่างเคียดแค้นครั้งหนึ่ง กล่าวขึ้นว่า “ข้ารู้ ตัวข้าในตอนนี้ไม่ว่าสุนัขหรือคนล้วนรังเกียจข้า ข้าเองก็หาใช่คนไร้ยางอาย ท่านไม่ต้องไล่ข้า ข้าจะไปเอง”
ฮูหยินผู้เฒ่าโกรธจนต้องเอามือทาบหน้าอก
“ตายแล้ว!” โหวฮูหยินร้องขึ้นด้วยความตกใจ คนในห้องบ้างปลอบฮูหยินผู้เฒ่า บ้างฉุดรั้งซือจู วุ่นวายเละเทะกลายเป็นโจ๊กหม้อหนึ่งไปแล้ว
***
หวังซียกองุ่นมาให้เฉินลั่วชิม ยังกล่าวด้วยว่า “ปีนี้จิงเฉิงขาดแคลนน้ำแข็งมิใช่หรือ ตอนนี้พ่อค้าจำนวนมากเริ่มขุดน้ำแข็งกันแล้ว ข้าคิดว่ากิจการค้าน้ำแข็งของปีหน้าคงไม่ดีเท่าหน้าร้อนที่ผ่านมาของปีนี้เป็นแน่ แต่ก็คงไม่แย่เกินไปนัก ตอนที่หลงจู๊ใหญ่มาคุยกับข้า ข้าถือโอกาสแช่แข็งผลไม้หน้าร้อนเอาไว้บางส่วน ดูว่าจะเอาออกมาขายช่วงเทศกาลปีใหม่ได้หรือไม่”
ตระกูลชั้นสูงและคนมั่งคั่งต่างใช้ท่อทำความร้อนกันทั้งสิ้น แต่ท่อความร้อนทำให้คนเป็นร้อนในง่าย เวลานี้ทุกคนจึงอยากกินอะไรเย็นๆ
หวังซีคิดว่าแทนที่จะรอขายน้ำแข็งช่วงหน้าร้อน ไม่สู้ขายผลไม้ช่วงเทศกาลปีใหม่ดีกว่า โดยเฉพาะสินค้าท้องถิ่นของที่นี่อย่างลูกหลีแช่แข็ง นำออกไปขายล่วงหน้าได้
เฉินลั่วไม่ค่อยสันทัดเรื่องทำการค้าเหล่านี้นัก แล้วก็ไม่ค่อยสนใจด้วย ไม่ง่ายเลยกว่าเขาจะสลัดตัวพ้นจากเจิ้นกั๋วกงมาได้ เมื่อได้โอกาสเขาก็กระโดดหนีมาที่เรือนหวังซี
“คงจะขายดีกระมัง” เฉินลั่วโพล่งออกไป “แต่เจ้าในเวลานี้ เพิ่งจะมีน้ำแข็งเอง ทว่าหมดฤดูกาลของผลไม้แล้ว พวกเจ้าเก็บรักษาผลไม้อย่างไร”
หวังซีกล่าวยิ้มๆ อย่างภาคภูมิใจว่า “เจ้าคงไม่รู้กระมัง นี่เป็นวิธีที่ท่านปู่ทวดของข้าคิดขึ้นมา ใช้ดินประสิวทำน้ำแข็ง ถึงแม้ว่าน้ำแข็งที่ได้จากวิธีนี้จะเก็บของได้ไม่ดีนัก ทว่าก็เก็บรักษาของกินที่ค่อนข้างหายากเหล่านั้นได้ องุ่นที่ขายในฤดูหนาว ปกติก็มิใช่ของที่คนทั่วไปซื้อไหวอยู่แล้ว”
กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ของมีจำนวนน้อย ราคาแพง จึงขายให้คนมีเงินเท่านั้น
เฉินลั่วรู้สึกว่าดียิ่ง ไม่ต้องเหนื่อยมากเกินไป กล่าวว่า “เช่นนั้นถึงเวลาเจ้าอย่าลืมให้ข้าด้วยส่วนหนึ่ง ข้าจะเอาไปให้จ่างกงจู่”
หวังซีกลับคิดไปไกลกว่านั้น กล่าวว่า “เจ้าไม่ต้องเอาไปถวายให้วังหลวงบ้างหรือ”
เฉินลั่วคิดครู่หนึ่ง กล่าวว่า “เช่นนั้นเจ้าก็เก็บเอาไว้ให้ข้าเพิ่มอีกสักสองส่วนก็แล้วกัน หากข้าส่งไปถวายเจียงไท่เฟย ของฮองเฮาเหนียงเหนียงก็ไม่อาจขาดได้เหมือนกัน”
หาไม่แล้วมีของเจียงไท่เฟย แต่ไม่มีของฮองเฮาเหนียงเหนียง คงถูกคนประณามแย่แน่
หวังซีกลับจับความแตกต่างเล็กน้อยที่แฝงอยู่ในคำพูดนั้นได้ นางถาม “เจ้ามีเรื่องขอร้องเจียงไท่เฟยหรือ”
เฉินลั่วกล่าวยิ้มๆ ว่า “ขอไปเรียบร้อยแล้ว แต่ไม่อยากให้คนจับตาดู เลยคิดว่าใกล้ปีใหม่แล้วอยากส่งของขวัญที่พิเศษจากปกติไปให้สักหน่อย”
หวังซีอยากถามเหลือเกินว่าเป็นเรื่องอะไร แต่ก็กลัวว่าจะไม่เหมาะสม มุมปากขยับอยู่หลายครั้ง แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ถามอะไรออกไป
เฉินลั่วเห็นแล้ว หัวเราะออกมาอย่างรู้ทัน กล่าวว่า “ข้าขอให้เจียงไท่เฟยช่วยทำให้องค์ชายสี่ไปจากเมืองหลวงเร็วๆ”
หวังซีไม่เข้าใจ
เฉินลั่วยิ้มกล่าว “มารดาขององค์ชายสี่สถานะต่ำต้อย เดิมทีเจียงไท่เฟยเองก็เป็นเพียงนางกำนัล แม้นเจียงไท่เฟยไม่พูด แต่ในบรรดาโอรสของฮ่องเต้เหล่านี้ คนที่นางโปรดที่สุดก็คือองค์ชายสี่ กอปรกับเจียงไท่เฟยผู้นี้ค่อนข้างเชื่อในพระในเจ้า หลายปีมานี้ชีวิตนางไม่ค่อยราบรื่นนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากคราวก่อนที่ได้รับบัญชาจากฮ่องเต้ให้แสดงความอาดูรสงสารองค์ชายใหญ่จนเป็นเหตุให้เกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นมากมาย นางก็กลุ้มใจจนเกือบจะเป็นโรควิตกกังวลอยู่แล้ว ข้าเพียงต้องให้คนไปเล่าสถานการณ์ปัจจุบันขององค์ชายสี่ให้นางฟัง นางย่อมยื่นมือเข้ามาช่วยเป็นแน่…
…นอกจากนี้เมืองศักดินาขององค์ชายสามและองค์ชายห้าล้วนอยู่ห่างไกลและยากจนข้นแค้น เจียงไท่เฟยต้องรู้สึกว่าฮ่องเต้ใจไม้ไส้ระกำ จะต้องช่วยองค์ชายสี่อย่างแน่นอน…
…รอองค์ชายสี่ออกจากจิงเฉิงแล้ว คนจำนวนมากที่ไม่รู้เหตุผลก็คงจะเห็นอะไรกระจ่างขึ้น ถึงเวลานั้นคงเกิดความอลหม่านขึ้นระลอกหนึ่ง ทุกคนคงมีเรื่องให้ต้องยุ่งอีกมาก”
หวังซีกล่าว “ทุกคนต่างพูดกันว่าฮ่องเต้ไม่มีทางปล่อยให้คุณหนูสี่ถานแต่งกับองค์ชายสี่อย่างง่ายดายมิใช่หรือ”
“มนุษย์จะสมปรารถนาไปเสียทุกเรื่องได้ที่ไหนกัน” เฉินลั่วกล่าวด้วยอาการเหยียดหยันเล็กน้อย “งานแต่งขององค์ชายสามและองค์ชายห้าก็เพิ่งจะได้ข้อสรุปแต่พวกเขาก็ต้องออกไปปกครองเมืองศักดินาแล้วมิใช่หรือ ข้าจะหันไปหากฎหมายข้อไหนมาบอกว่าองค์ชายต้องเสกสมรสก่อนแล้วค่อยออกไปปกครองเมืองศักดินา? องค์ชายสี่อยากแต่งกับคุณหนูสี่ถานก่อนแล้วค่อยไป ข้าก็เลยให้เขาเลือกระหว่างตำแหน่งอ๋องศักดินากับพระชายาอ๋อง คอยดูว่าเขาจะจัดการอย่างไร”
เช่นนั้นหากองค์ชายสี่เลือกออกไปปกครองเมืองศักดินา นั่นมิเท่ากับเป็นการทำให้ตระกูลถานหมางใจหรอกหรือ
บางที นี่อาจเป็นสิ่งที่ฮ่องเต้อยากเห็นพอดี ดังนั้นองค์ชายสี่ถึงได้สมปรารถนา?
แต่ถ้าองค์ชายสี่รู้ว่าเฉินลั่วยื่นมือเข้ามายุ่งเรื่องนี้ ต้องหมางใจกับเฉินลั่วเป็นแน่แล้วกระมัง
หวังซีถาม “องค์ชายสี่ทำอะไรให้เจ้าไม่พอใจใช่หรือไม่”
“ไม่ได้ไม่พอใจอะไร” เฉินลั่วกล่าวเรียบๆ “แค่รู้สึกว่าเขาไม่อยู่จิงเฉิงจะดีกว่า”
หวังซีพยักหน้าน้อยๆ
ทว่าตอนที่เฉินลั่วนึกถึงเรื่องที่องค์ชายสี่กับปั๋วหมิงเย่ว์อยู่ด้วยกันและแอบวางแผนการอะไรต่างๆ กับปั๋วหมิงเย่ว์ขึ้นมานั้น เขาก็พลันนึกถึงสิ่งของต่างๆ ที่ปั๋วหมิงเย่ว์อ้างชื่อคุณหนูหกปั๋วส่งมาให้หวังซีขึ้นมาได้ รู้สึกว่าองค์ชายสี่สมควรได้รับความผิดหวังบ้างถึงจะดี
เขากินองุ่นติดๆ กันสองลูกเสร็จแล้ว ถึงได้เช็ดน้ำหวานเหนียวๆ บนมือออก กล่าวว่า “จริงด้วย เจ้าอยากรู้หรือไม่ว่าเพราะเหตุใดซือจูถึงได้คลุ้มคลั่งขึ้นมา”
สำหรับเขาแล้ว การกระทำของซือจูคืออาการคลุ้มคลั่ง
หวังซีส่ายศีรษะก็จริง แต่ความสนใจถูกจุดขึ้นมาแล้ว นัยน์ตาที่มองเฉินลั่วจึงเป็นประกายแวววาว ราวกับเด็กน้อยผู้หนึ่งที่กำลังไล่ถามผู้ใหญ่ด้วยความอยากรู้อยากเห็นว่า ทำไมหรือ ก็ไม่ปาน
เฉินลั่วรู้สึกหวังซีน่ารักมากเป็นพิเศษ นางมองจนเขารู้สึกหัวใจสั่นไหว
เขาเบี่ยงสายตาหลบด้วยความประหม่าเล็กน้อยอย่างห้ามไม่อยู่ เคลื่อนสายตาที่จับจ้องนางไปมองจานกระเบื้องสีสันสดใจตรงหน้าแทน กล่าวเสียงอบอุ่นว่า “เป็นเจิ้นกั๋วกง เขารับปากซือจูว่า หากนางยอมวางกับดักปรักปรำข้า หลังจากเรื่องสำเร็จลงแล้ว จะส่งนางไปอยู่วัดเต๋า ให้นางออกบวชเป็นนักพรตหญิง”
หวังซีตะลึงงัน หลุดเสียงถามออกไปว่า “ซือจูเชื่อเขาด้วยหรือ”
ในสายตาของนาง ซือจูไร้ความสามารถปกป้องตัวเอง ญาติก็ปกป้องนางไม่ได้ นางไม่ต่างจากผักปลาที่แม้แต่ชีวิตตัวเองก็รับประกันอะไรไม่ได้ แล้วไปเชื่อคนที่ไม่ควรค่าให้เชื่อถือแม้แต่นิดเดียวได้อย่างไร
นางไม่เข้าใจ
เฉินลั่วกลับยิ้มน้อยๆ
นี่เป็นจุดที่หวังซีแตกต่างจากคนจำนวนมาก อยู่บ้านเชื่อฟังบิดา ออกเรือนแล้วเชื่อฟังสามี ในสายตาคนส่วนใหญ่แล้ว นี่เป็นกฎของสวรรค์ แต่ตั้งแต่จนจบหวังซีมักจะเชื่อตัวนางเองมากกว่า ยามเกิดเรื่อง นางจะคิดเป็นอันดับแรกว่าควรแก้ไขปัญหาอย่างไร มิใช่ไปหาใครมาแก้ปัญหาให้
ด้วยเหตุนี้นางถึงช่วยชีวิตเขาไว้กระมัง
พอคิดเช่นนี้ เฉินลั่วก็รู้สึกหัวใจคันยุบยิบขึ้นมาเล็กน้อย
ที่ผ่านมาเขาไม่ค่อยสนใจเด็กสาวสักเท่าไร เพราะลึกๆ แล้วเขารู้สึกว่าเด็กสาวเหล่านี้ล้วนอ่อนแอเกินไป คนที่พึ่งพาบิดาไม่ได้ มารดาก็ไม่ค่อยสนิทสนมด้วยอย่างเขา จำเป็นต้องหาคนที่ฉลาดมีไหวพริบสักหน่อย ไม่ใช่เด็กสาวที่พอเขาไม่ระวังตัวก็ถูกผู้อื่นเล่นงานแบบนั้นถึงจะใช้การได้
ไม่ว่าจะมองจากมุมไหนหวังซีก็เหมาะสมไปเสียทุกอย่าง
ถ้าหากความยุ่งเหยิงของฮ่องเต้เป็นเหตุให้เขากับหวังซีมีบุพเพแต่ไร้วาสนา…เฉินลั่วคิดแล้วหน้าดำคร่ำเครียดไปหมด
หวังซีกลับคิดว่าตัวเองถามแทงใจดำเฉินลั่ว นางกล่าวด้วยความประหลาดใจว่า “บางทีเจิ้นกั๋วกงอาจสัญญาอะไรกับนาง? ไม่อย่างนั้นหากเจิ้นกั๋วกงเบือนหน้าหนี นางจะทำอะไรได้? เห็นได้ชัดว่านางไม่ชอบเฉินอิงมากจริงๆ รังเกียจที่จะแต่งกับเขา จึงยอมทำข้อตกลงกับเจิ้นกั๋วกงมากกว่าแต่งเข้าตระกูลเฉิน เฉินอิงรู้เรื่องนี้หรือเปล่า เขาจะรู้สึกว่าถูกหยามเกียรติหรือไม่”
เฉินลั่วยิ้ม
ยามหวังซีเจื้อยแจ้วเช่นนี้ก็น่าสนใจมากเช่นกัน
เขากล่าว “เฉินอิงทราบเรื่องหรือไม่นั้นข้าไม่รู้ แต่เจิ้นกั๋วกงหาใช่คนใจกว้างอะไร ซือจูไม่เพียงปฏิบัติการล้มเหลวเท่านั้น ยังแหวกหญ้าให้งูตื่นอีกด้วย เป็นเหตุให้มารดาของข้าพุ่งเป้าไปที่เขาทุกเรื่อง แม้แต่งานแต่งของบุตรชายคนโตของบ้านรองในวันนั้นก็ไม่เข้าร่วม ในใจเขาต้องสุมไปด้วยเพลิงโทสะเป็นแน่ ไม่รู้ว่าเขาจะบอกให้เฉินอิงรู้อย่างอ้อมๆ หรือไม่”
หวังซีจึงสงสัยขึ้นมา “นางทำอย่างไรถึงเรียกเจ้าไปหาได้ เจ้ามิใช่คนกระตือรือร้นประเภทนั้นนี่นา!”
เฉินลั่วไม่ปิดบังหวังซี กล่าวว่า “เจ้าคงรู้แล้วว่าเฉินเจวี๋ยมีแผนการเน่าเฟะมากมาย ก่อนหน้านี้ยังคิดวางกับดักปรักปรำเจ้ากับข้า นับว่าซือจูช่วยแจ้งข่าวเตือนพวกเราครั้งหนึ่ง นางส่งคนมาบอกข้าว่ามีเรื่องสำคัญมากต้องการพบข้าให้ได้ ข้าคิดว่าบัดนี้นางมีสภาพเป็นเช่นนี้แล้ว อย่างไรก็คงจะหวาดกลัวไม่กล้าสร้างความวุ่นวายอีกแล้วกระมัง แต่ข้าประเมินความบ้าระห่ำของนางต่ำไป ขอเพียงนางทำให้เจ้ากับข้าลำบากได้ นางก็รู้สึกสบายใจแล้ว ส่วนอนาคตจะเป็นอย่างไรนั้น นางไม่สนใจอะไรทั้งสิ้นแล้ว…
…โชคดีที่ข้าระวังตัว นัดเจอนางในสถานที่ที่มีคนผ่านไปผ่านมาอย่างศาลาริมน้ำ สาวใช้ผู้นั้นของเจ้าก็ฉลาดมีไหวพริบดียิ่ง” กล่าวถึงตรงนี้ เขาพลันนึกถึงหงโฉวกับชิงโฉวขึ้นมา กล่าวว่า “เจ้าตกรางวัลให้พวกนางหรือยัง ข้าเองก็มีรางวัลให้พวกนางส่วนหนึ่ง ประเดี๋ยวจะให้เฉินอวี้เอาไปให้ เจ้ามอบให้พวกนางด้วยก็แล้วกัน”
หวังซีรู้สึกหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้เล็กน้อย เฉินลั่วมักจะมีท่าทีอยากขีดเส้นแบ่งความสัมพันธ์กับจ่างกงจู่ให้ชัดเจนอยู่เสมอ แต่สองแม่ลูกคู่นี้ทำอะไรกลับมีความคล้ายคลึงกันเป็นอย่างมาก
หลังจากผ่านพ้นงานแต่งของคุณชายสามฉังแล้ว จ่างกงจู่ให้คนนำเงินรางวัลมามอบให้ชิงโฉว ยังถามชิงโฉวด้วยว่าอยากเข้าวังไปเป็นข้าราชสำนักสตรีฝ่ายในหรือไม่
โชคดีที่ชิงโฉวไม่ได้มีจิตใจทะเยอทะยานขนาดนั้น จึงปฏิเสธจ่างกงจู่ไปอย่างสุภาพ
ไม่อย่างนั้นหลังจากที่นางเสียหวังสี่ไปแล้ว เกรงว่าอาจต้องสูญเสียชิงโฉวกับหงโฉวสองพี่น้องไปด้วย
……………………………………………………………….