แต่การได้รับรางวัลจากเฉินลั่ว ก็ถือเป็นการยอมรับฝีมือประเภทหนึ่ง ชิงโฉวคงดีใจมาก
หวังซีตอบรับแทนชิงโฉว “เช่นนั้นเจ้าก็ให้เฉินอวี้ส่งมาก็แล้วกัน รวมกับของข้าด้วย ก็เท่ากับได้รับรางวัลสองก้อน”
ถือเป็นการกระตุ้นและให้กำลังใจคนอื่นๆ ในเรือนของนางไปด้วย
เฉินลั่วพยักหน้า หมายจะคุยเรื่องอื่นๆ ของซือจูกับนางอย่างละเอียด แต่ไป๋กั่วเข้ามารายงานเสียก่อนว่า “คุณหนูหกจวนชิ่งอวิ๋นโหวให้คนส่งของมาให้ ท่านต้องการดูสักหน่อยหรือไม่เจ้าคะ”
หวังซีแปลกใจ กล่าวว่า “นี่มิใช่ปีใหม่มิใช่เทศกาลอะไร เหตุใดนางถึงคิดส่งของมาให้ข้า? ของอะไรหรือ เอามาให้ข้าดูหน่อย”
ไป๋กั่วยื่นใบรายการของให้หวังซีไปด้วย พลางกล่าวยิ้มๆ ไปด้วยว่า “เป็นไม้ดอกไม้ประดับ บอกว่าใกล้ปีใหม่แล้ว มอบให้ท่านเป็นของขวัญตามธรรมเนียมเจ้าค่ะ”
ปีนี้คงต้องฉลองปีใหม่ที่จิงเฉิง หวังซีไปสืบเรื่องธรรมเนียมปฏิบัติช่วงปีใหม่ของจิงเฉิงมากระจ่างแล้ว นอกจากต้องกราบไหว้เทพเจ้า ติดกลอนคู่ และปัดฝุ่นทำความสะอาดบ้านในวันที่ยี่สิบสามเดือนสิบสองซึ่งเป็นวันปีใหม่เล็กแล้ว ในวันมหาปีใหม่อย่างวันที่หนึ่งยังต้องไปจุดธูปไหว้พระที่วัดต้าเจวี๋ย ขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้ช่วยปกปักรักษาคนในครอบครัวให้อยู่เย็นเป็นสุขสุขภาพแข็งแรงไปตลอดทั้งปี นางได้ทำการหารือเรื่องต่างๆ เกี่ยวกับการเฉลิมฉลองปีใหม่กับหวังหมัวมัวเป็นที่เรียบร้อยแล้ว นอกเหนือไปจากธรรมเนียมปฏิบัติของจิงเฉิงแล้ว พวกนางยังจะเฉลิมฉลองปีใหม่ตามธรรมเนียมปฏิบัติของสู่จงด้วย สั่งไม้ดอกไม้ประดับจากเฟิงไถมาตกแต่งห้องหับและลานบ้าน
คิดไม่ถึงว่าคุณหนูหกปั๋วจะส่งไม้ดอกไม้ประดับมาให้นาง
เพราะรู้ว่านางจำเป็นต้องใช้ของพวกนี้หรือเพราะคุณหนูหกปั๋วเองก็ชอบด้วย?
ความคิดนี้วาบผ่านเข้ามาในหัวของหวังซีแล้วก็ถูกนางโยนทิ้งไป นางกวาดตาอ่านใบรายการครั้งหนึ่ง พบว่าในบรรดาไม้ดอกไม้ประดับที่คุณหนูหกปั๋วส่งมาให้นางนั้นมีหลายอย่างเป็นของหายากและราคาแพง นางจึงสั่งการไป๋กั่วว่า “เจ้านำไม้ดอกไม้ประดับที่พวกเราสั่งจองเอาไว้กับของที่คุณหนูหกปั๋วส่งมาให้ไปจัดระเบียบสักรอบหนึ่ง ดูว่าส่วนไหนที่พวกเราจะเก็บไว้ใช้เอง ส่วนไหนซ้ำหรือมีมากเกินไปก็แยกรายการออกมาอีกใบหนึ่ง ถึงเวลาจะได้มอบให้ผู้อื่นได้สะดวก”
ไม้ดอกไม้ประดับเป็นของที่คนเกือบทุกคนต่างชื่นชอบ มอบเป็นของขวัญให้ผู้อื่นจึงไม่มีทางเกิดข้อผิดพลาด
นางถึงกับอยากส่งกล้วยไม้สวยๆ ไปให้จ่างกงจู่สักสองกระถาง เนื่องจากชิงโฉวเป็นคนข้างกายนาง ชิงโฉวได้รับรางวัลจากจ่างกงจู่ นางในฐานะเจ้านายก็ควรส่งของขวัญไปตอบแทนสักชิ้นถึงจะถูก
ไป๋กั่วขานรับ “เจ้าค่ะ” ยิ้มๆ แล้วถอยออกไปคัดแยกไม้ดอกไม้ประดับ
เฉินลั่วแสร้งถามอย่างเป็นปกติว่า “คุณหนูหกปั๋วส่งของมาให้เจ้าบ่อยหรือ ส่งของอะไรมาให้บ้าง แล้วเจ้าตั้งใจจะส่งอะไรกลับไปเป็นของขวัญตอบแทน ต้องการให้ข้าช่วยเหลือหรือไม่”
หวังซีเองก็รู้สึกว่าคุณหนูหกปั๋วประหลาดคนอยู่บ้าง เนื่องจากเฉินลั่วพูดขึ้นมา และเฉินลั่วก็เป็นคนที่นางค่อนข้างไว้ใจ นางจึงไม่ปิดบัง กล่าวแกมบ่นว่า “ไม่รู้ว่านางคิดอย่างไร ปกติพวกข้าก็ใช่ว่าจะเข้ากันได้ดีสักเท่าไรนัก แต่นางก็ชอบส่งของมาให้ข้า วันนี้เป็นของสิ่งนี้ พรุ่งนี้เป็นของสิ่งนั้น ไม่จำกัดแค่ของกินของเล่น เหมือนกับว่าขอเพียงนางรู้สึกว่าน่าสนใจ ก็ส่งมาให้ข้าแล้ว ทำเอายามข้าเจอนางรู้สึกกระอักกระอ่วนเล็กน้อย มีอะไรก็จำต้องยอมลงให้นางสักหน่อย”
เฉินลั่วฟังแล้วเส้นเลือดตรงขมับเต้นตุบๆ ไม่หยุด แต่น้ำเสียงยังคงอบอุ่นมากดังเดิม กล่าวยิ้มๆ ว่า “เช่นนั้นต่อไปเจ้าไม่ต้องรับเอาไว้ก็ได้แล้ว”
หวังซีกล่าวอย่างทุกข์ใจว่า “ข้าเองก็คิดเช่นนั้น บางครั้งตอนส่งของขวัญไปตอบแทนข้าถึงกับส่งของมีค่ามากกว่าหนึ่งถึงสองเท่า แต่คุณหนูหกปั๋วก็เหมือนจับตาดูข้าเอาไว้แล้ว ไม่ว่าข้าจะพูดหรือทำอย่างไร นางก็ไม่ขุ่นเคือง ครั้งถัดไปยังคงส่งของมาให้ข้าอีก กระนั้นก็ตามบางครั้งไปเจอกันที่งานเลี้ยง นางกลับปฏิบัติต่อข้าด้วยท่าทีเย็นชา…
…หากมิใช่เพราะข้าตรึกตรองอย่างละเอียดครั้งแล้วครั้งเล่า รู้สึกว่าตระกูลหวังไม่ได้มีอะไรเย้ายวนใจจนทำให้นางต้องวางแผนหาผลประโยชน์แล้วล่ะก็ ข้าคงระแวงว่านางกำลังเหวี่ยงเบ็ดยาวเพื่อตกปลาใหญ่อยู่ไปแล้ว”
ก็เพราะต้องการตกปลาอย่างเจ้าตัวนี้อย่างไร!
เฉินลัวคิดอยู่ในใจ รู้สึกดีใจอีกครั้งที่ปั๋วที่เจ็ดเป็นคนหน้าไม่ค่อยหนานัก
“เช่นนั้นก็อย่าคิดมากเลย” เขาโน้มน้าวหวังซี “ไม่ว่านางจะมีแผนการอะไร เมื่อเรือแล่นถึงสะพานหัวเรือย่อมตั้งตรง ช้าเร็วนางก็ต้องเผยสิ่งที่ต้องการออกมา เจ้ารอดูไปก่อนแล้วค่อยว่ากันอีกทีดีกว่า”
หวังซีเองก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน
แต่เมื่อถึงเวลาที่เรื่องวุ่นวายของราชวงศ์จบลง ปั๋วหมิงเย่ว์จะต้องมาเก็บแหที่หว่านไว้เป็นแน่
หากพูดเรื่องทาบทามงานแต่งระหว่างเขากับหวังซีตอนนั้น จะช้าเกินไปหรือเปล่านะ?
เฉินลั่วลูบคางเบาๆ ทว่าในใจกลับร้อนรนเหมือนไฟปะทุขึ้นมา
ดีที่ตระกูลปั๋วกำลังประสบเคราะห์ร้าย ปั๋วหมิงเย่ว์ไม่มีทางยอมให้หวังซีติดร่างแหไปด้วยอย่างแน่นอน แต่ถ้าตระกูลปั๋วผ่านพ้นเคราะห์ร้ายครั้งนี้ไปได้เล่า
เฉินลั่วกลับถึงศาลากวางร้องแล้วยังคงคิดเรื่องนี้อยู่
ใช่ว่าเขาไม่กลัวเรื่องทำให้หวังซีต้องติดร่างแหไปด้วย!
เฉินลั่วกำลังใจลอย กระทั่งจ่างกงจู่เข้ามาแล้วก็ยังไม่รู้ตัว
จ่างกงจู่มุ่นหัวคิ้วตบไล่เขาเบาๆ กล่าวขึ้นว่า “คิดอะไรอยู่ ถึงขั้นคิดจนใจลอยขนาดนี้”
เฉินลั่วตกใจสะดุ้งตัวโหยง กระโดดลุกขึ้นมายืน เกือบชนจ่างกงจู่ไปแล้ว
“เป็นอะไร” จ่างกงจู่ถามด้วยความประหลาดใจ “นี่เจ้ากำลังคิดแผนการอะไรอีกแล้ว” นางฉวยโอกาสแถลงวัตถุประสงค์การมาเยือนของตัวเอง “เหตุใดข้าถึงได้ยินว่าช่วงนี้เจ้าดึงกองพลทองคำทั้งสี่มาอยู่ในมือได้แล้ว หากไม่มีป้ายสั่งการของเจ้า แม้แต่ป้ายพยัคฆ์ของกรมกลาโหมและกองบัญชาการทหารทั้งห้าก็ใช้ไม่ได้ เป็นเรื่องจริงหรือไม่”
เฉินลั่วไม่ได้ตอบจ่างกงจู่ทันที แต่เชิญจ่างกงจู่นั่งลงก่อน ยังสั่งให้เฉินอวี้ไปต้มชาโบตั๋นขาวที่ตนค่อนข้างชื่นชอบมากาหนึ่งวางไว้ข้างมือจ่างกงจู่ เสร็จแล้วกล่าวขึ้นว่า “ท่านลองชิมดู รสชาติไม่เลวเลยทีเดียว”
ครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วก็ไปหยิบขนมที่หวังซีส่งมาให้อย่างละนิดอย่างละหน่อยออกมาเป็นของว่างกินคู่กับชา
จ่างกงจู่เห็นเขาวุ่นไปทั่วก็ถอนหายใจเบาๆ ครั้งหนึ่ง ชี้เก้าอี้มีเท้าแขนข้างกายตนพลางกล่าวว่า “เจ้าเองก็ไม่ต้องทำตัวยุ่งแล้ว นั่งลงมาคุยกันเถอะ!”
เฉินลั่วหัวเราะ นั่งลงข้างกายจ่างกงจู่
จ่างกงจู่จิบชาไปหลายคำ เห็นว่าขนมเหล่านั้นบ้างทำเป็นรูปดอกเบญจมาศ เหลืองอร่ามทำให้คนเห็นแล้วอบอุ่นหัวใจ บ้างทำเป็นรูปดอกบัว สีขาวโพลนเห็นแล้วทำให้คนรู้สึกขาวสะอาด บ้างก็ทำเป็นรูปซานจา สีแดงสดเห็นแล้วทำให้คนรู้สึกเบิกบานใจ อดไม่ได้หยิบส้อมบนจานกระเบื้องเคลือบหลากสีขึ้นมาจิ้มขนมรูปซานจาชิ้นหนึ่ง กล่าวว่า “นี่ทำมาจากอะไร” แล้วกัดชิมคำหนึ่ง
คิดไม่ถึงว่าจะมีรสหวาน ไม่ใช่รสชาติของซานจาแต่เป็นรสผิงกั่ว นางไม่รอเฉินลั่วตอบก็กล่าวยิ้มๆ ขึ้นก่อนว่า “ใครเป็นคนทำขนมนี้ ช่างน่าสนใจยิ่ง รสชาติก็ดี”
แล้วก็เพ่งมองอีกครั้งหนึ่ง ไม่น่าเชื่อว่าเมื่อกัดออกมาแล้วจะเห็นว่าทำเหมือนผลซานจาไม่มีผิดเพี้ยน มีเม็ดอยู่ข้างในด้วย
นางอดไม่ได้กัดไปอีกคำหนึ่ง
เม็ดด้านในนั่นทำจากเมล็ดแตงโต
“นี่ช่างฉลาดและมีฝีมือดียิ่ง!” จ่างกงจู่ชม หยิบดอกเบญจมาศและดอกบัวที่กลมมนเหมือนขนมแป้งข้าวเหนียวลูกกลมและแบนราบเหมือนขนมแป้งย่างขึ้นมาชิมจนครบไปหนึ่งรอบ
มุมปากของเฉินลั่วยกขึ้นน้อยๆ กล่าวว่า “เรือนครัวของคุณหนูหวังทำออกมาขอรับ ตอนนี้ถึงช่วงเวลาก่อนปีใหม่แล้ว ทุกบ้านต่างอยากได้ขนมที่แปลกใหม่สำหรับเฉลิมฉลองปีใหม่ แม่ครัวของนางถูกยืมตัวไปหลายวัน บัดนี้แทบจัดการไม่ทันแล้ว คุณหนูใหญ่จวนเจียงชวนป๋อยังให้นางเปิดร้านสักร้านหนึ่ง แต่นางไม่ชอบเปิดร้านเพราะเหนื่อยเกินไป จึงตั้งใจจะพาอาจารย์ที่หอสายลมวสันต์มาสอนเพื่อช่วยทำขนมให้สักสองสามวัน แก้ปัญหาเฉพาะหน้าไปก่อน หาไม่อาหารการกินของนางก็จะกลายเป็นปัญหาไปด้วย”
จ่างกงจู่เปล่งเสียง “อ้อ” ครั้งหนึ่ง
นางชอบอันที่เป็นลูกกลมมนเหมือนขนมแป้งข้าวเหนียวลูกกลมอันนั้นที่สุด ห่อเอาไว้หลายชั้น แต่ละชั้นมีสีขาว สีม่วง สีเหลือง สีแดงและสีเขียว ที่ชอบที่สุดคือไส้น้ำตาลข้างใน ไส้น้ำตาลผสมก้อนน้ำตาลกรุบกรอบเอาไว้ เหมือนเคี่ยวจนไหม้นิดๆ นอกจากไม่หวานจนเลี่ยนแล้ว ยังอร่อยมากอีกด้วย
“เจ้าช่างรู้เรื่องที่บ้านของคุณหนูหวังดีนัก!” จ่างกงจู่กล่าวแล้วก็กินขนมไปอีกชิ้นหนึ่ง
เฉินลั่วตัวเกร็งเล็กน้อย ครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วกล่าวออกมาตามตรงว่า “คุณหนูหวังเป็นสตรีที่ไม่ด้อยไปกว่าบุรุษ ข้าได้รับประโยชน์จากนางมากมาย เห็นนางเป็นสหายสนิท ฉะนั้นจะดูแลนางมากหน่อยก็เป็นเรื่องสมควร”
“อย่างนั้นหรือ” จ่างกงจู่กล่าว สีหน้าราบเรียบ “ข้าคิดว่าวันนั้นเจ้าซ่อนตัวอยู่ที่สวนร่มหลิวเสียอีก”
ครั้งนี้เฉินลั่วตรงไปตรงมาอย่างยิ่ง กล่าวว่า “ตอนนั้นข้าซ่อนตัวอยู่ที่สวนร่มหลิวจริงๆ”
เข้าประเด็นอย่างตรงไปตรงมาเช่นนี้ ต้องการทำอะไรกันแน่?
จ่างกงจู่เบิกดวงตาโต
เฉินลั่วมองจ่างกงจู่ กล่าวว่า “ข้าตั้งใจจะสู่ขอคุณหนูหวังมาเป็นภรรยา รอพี่ชายใหญ่ของนางมาถึงจิงเฉิงแล้ว ท่านแม่มอบหมายคนไปทาบทามให้ข้าด้วยนะขอรับ!”
จ่างกงจู่มองท่าทางไม่สนใจอะไรของเขาแล้ว ในใจคุกรุ่น กล่าวว่า “เจ้าคิดว่าข้าจะรับปากด้วยความยินดี?”
เฉินลั่วกล่าวอย่างไม่ใส่ใจว่า “ยินดีหรือไม่ยินดีไม่สำคัญ ที่สำคัญคือการรับปาก” จากนั้นเขาเปลี่ยนคำพูดใหม่ กล่าวว่า “ความจริงแล้วรับปากหรือไม่รับปากก็ไม่สำคัญขนาดนั้นเช่นกัน นอกเสียจากว่าท่านจะหาคู่หมายมาให้ข้าสักคนเสียตั้งแต่ตอนนี้ หาไม่แล้วเมื่อรอถึงฤดูใบไม้ผลิปีหน้า เรื่องวุ่นวายของฮ่องเต้ก็คงจะได้ข้อสรุปแล้ว ข้าไปขอสมรสพระราชทานก็เป็นอันใช้ได้”
จ่างกงจู่หายใจติดขัด กล่าวว่า “แค่เจ้าพูดว่ามีข้อสรุปก็จะมีข้อสรุปจริงๆ? เจ้าคิดว่าพระราชวังเป็นสวนผักหลังบ้านของเจ้าที่เจ้าอยากทำอะไรก็ได้อย่างนั้นหรือ”
เฉินลั่วไม่ยี่หระ กล่าวว่า “ท่านมาหาข้าเพราะเรื่องที่ข้ายึดอำนาจกองพลทองคำมามิใช่หรือ ข้าวางแผนเอาไว้เรียบร้อยแล้ว อย่างไรช่วงปีใหม่ก็ต้องจัดการเรื่องรัชทายาทให้แล้วเสร็จ หากฮ่องเต้ยังไม่แต่งตั้ง เช่นนั้นข้าจะช่วยเขาแต่งตั้งเอง”
จ่างกงจู่ยิ้มมีน้ำโห กล่าวว่า “เจ้าคิดว่าเหล่าขุนนางอาวุโสและเสนาบดีทั้งหลายเป็นแค่ของตกแต่งหรืออย่างไร”
เฉินลั่วไม่กล่าวคำใด
จ่างกงจู่พลันเข้าใจเรื่องราวขึ้นมา
เฉินลั่วจะต้องทำข้อตกลงกับคนเหล่านั้นแล้วเป็นแน่ พวกเขาจะใช้ช่วงปีใหม่บีบบังคับให้ฮ่องเต้แต่งตั้งรัชทายาทมาสักคนหนึ่ง
นี่ นี่คือการบีบให้สละราชบัลลังก์!
หากจัดการไม่ดี อาจถูกบั่นศีรษะได้!
จ่างกงจู่พลันรู้สึกน้ำลายแห้งผาก พูดจายังพูดไม่ค่อยรู้เรื่องแล้ว “เจ้า เจ้าอย่าเข้าไปยุ่งเชียว ไม่มีเจ้าก็ยังมีผู้อื่น เหตุใดเจ้าต้องเข้าไปเสี่ยงด้วย นั่งเก็บเกี่ยวผลอย่างมีความสุขอยู่เฉยๆ ไม่ได้หรือ”
“มิใช่เพราะข้าอยากได้สมรสพระราชทานหรอกหรือ” เฉินลั่วราวกับไม่ใส่ใจ แต่ความจริงลอบถอนใจอยู่ในใจ
มารดาของเขาเป็นพวกไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา
ฮ่องเต้ทำกับเขาขนาดนี้แล้ว มารดาของเขากลับคิดว่าเขายังรอดพ้นจากหายนะนี้ได้อยู่อีก
เขายอมยืนตายอย่างสง่ามากกว่ามีชีวิตอย่างหยิบหย่ง
“ท่านอย่าสนใจเรื่องนี้เลย” เฉินลั่วกล่าว “นี่หาใช่เรื่องของข้าเพียงคนเดียว ท่านแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องดีกว่า หากบุตรชายไร้อำนาจแล้ว ไม่รู้ว่าจะอ้างชื่อท่านร้องขอชีวิตรอดได้หรือไม่”
ถึงเวลาเขาจะรวบตัวหวังซีไปซีเป่ย ไปอวิ๋นกุ้ยและไปหลิวหลีด้วย
เพียงแต่ไม่รู้ว่าหวังซีจะร่ำไห้ด้วยรังเกียจที่ซีเป่ย อวิ๋นกุ้ยและหลิวหลีไม่มีของอร่อยกินหรือไม่
นึกถึงภาพเหตุการณ์นั้นแล้ว เฉินลั่วแย้มรอยยิ้มจางๆ ออกมา
แต่ก็เพราะเป็นความสุขที่แย้มออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจ ทำให้ดวงตาทั้งคู่ของเขาสุกใสแวววาว ประหนึ่งดวงดาราที่สว่างไสวที่สุดบนท้องนภา พร่างพราวจนล่อลวงผู้คน
จ่างกงจู่ตะลึงงัน
เฉินลั่วกล่าวขึ้นว่า “นี่ท่านได้ข่าวมาจากที่ใดหรือ ข่าวไวยิ่งนัก”
ไม่แน่ว่าอาจเป็นใครสักคนในพวกเขา
แต่คนผู้นี้เป็นใครกันนะ?
ไม่ใช่จินซงชิงอย่างแน่นอน
จินซงชิงไม่อยู่ในแวดวงพวกเขา
ในแวดวงของพวกเขาล้วนเป็นคนที่มีอำนาจควบคุมทหารหนึ่งหมื่นนายทั้งสิ้น
ปกติไม่เคยได้ยินมาก่อนว่ามารดาของเขามีสัมพันธ์ฉันมิตรกับใครในจำนวนนี้
เห็นได้ชัดว่าบางครั้งบางเรื่องไม่อาจมองแค่เปลือกนอกได้
เฉินลั่วตรึกตรอง รู้สึกว่าตัวเองยังประมาทเกินไป บางเรื่องไม่ควรบุ่มบ่ามขนาดนั้น แต่เขาก็ไม่เสียใจ เมื่อประจันหน้าบนทางคับแคบคนกล้าเท่านั้นมีชัย เขาไม่มีทางปล่อยโอกาสครั้งนี้ไปอย่างแน่นอน
“ท่านแม่ไม่ต้องเป็นห่วงข้า” เฉินลั่วกล่าว “นี่หาใช่บทสรุปสุดท้าย รายละเอียดเป็นอย่างไรนั้น ยังต้องหารือกันอีกหลายครั้ง ท่านแม่ช่วยดูแลคุณหนูหวังให้ข้าอย่างเดียวก็พอ”
………………………………………………………….