จ่างกงจู่ยิ้มอย่างคนมีน้ำโหแล้ว เลิกคิ้วเรียวงามขึ้นพลางร้อง “อ้อ” เสียงหนึ่ง กล่าวว่า “ให้ข้าช่วยดูแลคุณหนูหวังให้เจ้า? เหตุใดข้าต้องช่วยดูแลคุณหนูหวังให้เจ้าด้วย ข้าหาได้รับปากว่าจะให้นางเป็นบุตรสะใภ้ของข้า เจ้าอย่าเข้าใจผิดเชียว หากเจ้าจะแต่ง ก็ต้องแต่งกับคนอย่างคุณหนูสี่ถานเช่นนั้นถึงจะถูก”
“น่าเสียดายที่คุณหนูถานสี่หมั้นหมายกับผู้อื่นไปนานแล้ว” เฉินลั่วสวนคำประชดประชันของจ่างกงจู่ไปอย่างไร้ความปรานี “หากท่านถูกใจคุณหนูสี่ถานจริง ข้าก็คงได้แต่งงานไปนานแล้ว”
จ่างกงจู่ยิ้มด่าไปเสียงหนึ่งว่า “เด็กเปรต”
เฉินลั่วยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ กล่าวเสียงจริงจังว่า “ข้าพูดจากใจจริง รัชทายาทเป็นรากฐานของแผ่นดิน เหล่าขุนนางอาวุโสไม่มีทางอนุญาตให้ฮ่องเต้ทำอะไรส่งเดช จวนชิ่งอวิ๋นโหวเองก็ไม่มีทางปล่อยหนิงผินไปเช่นกัน หากหนิงผินฉลาด ก็ควรเกลี้ยกล่อมฮ่องเต้เสียตั้งแต่ตอนนี้”
หากไม่ฉลาด ก็รอถูกจัดการได้เลย!
ส่วนเรื่องหวังซี สิ่งสำคัญคือเขาต้องระวังปั๋วหมิงเย่ว์เอาไว้
“ข้าคิดว่าท่านควรไปเยี่ยมฮูหยินผู้เฒ่าจวนชิ่งอวิ๋นโหวสักหน่อย นางกำลังร้อนใจเรื่องหาภรรยาให้ปั๋วหมิงเย่ว์อยู่มิใช่หรือ บัดนี้ตระกูลปั๋วกำลังตกอยู่ในห้วงฝนฟ้าคะนองคลื่นพายุถาโถมเข้าใส่ ตระกูลภรรยาที่ช่วยเสริมอำนาจบารมีในวันที่รุ่งโรจน์นั้นหาง่าย แต่คนที่เต็มใจส่งถ่านให้ในวันอากาศเหน็บหนาวนั้นหายาก” เฉินลั่วหว่านล้อมจ่างกงจู่ต่อ “ก็ไม่จำเป็นต้องหมั้นหมายในเวลานี้ ไปหยั่งเชิงดูปฏิกิริยาของตระกูลภรรยาในอนาคตดูก่อนก็ได้นี่นา!”
จ่างกงจู่ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี กล่าวว่า “นี่เจ้าคงต้องการให้ข้าไปวางยาฮูหยินผู้เฒ่าจวนชิ่งอวิ๋นโหวกระมัง”
หากนางไปเผยท่าทีว่าโปรดปรานหวังซีเป็นอย่างมากตั้งแต่ตอนนี้ ไม่ว่าจวนชิ่งอวิ๋นโหวจะเป็นอย่างไร ก็ไม่มีทางสนใจหวังซีอีกแล้ว
และนี่ทำให้จ่างกงจู่ตระหนักถึงปัญหาข้อหนึ่งเช่นกัน นางถามเฉินลั่วว่า “คงมิใช่ว่าปั๋วหมิงเย่ว์เองก็ชอบหวังซีด้วยหรอกกระมัง” นางกล่าวอย่างไม่เข้าใจว่า “มิใช่ว่าตอนแรกเคยทาบทามให้เขามาก่อนหรอกหรือ ตอนนั้นเขายังปฏิเสธไปอย่างไม่เกรงใจเลยแม้แต่น้อย เจ้าคงไม่ได้กำลังคิดบัญชีมารดาของเจ้า คิดจะให้ข้าเปิดเผยเรื่องที่พวกเราอาจจะถูกใจคุณหนูหวังออกสู่สาธารณะโดยอาศัยลมปากของชิ่งอวิ๋นโหวฮูหยินผู้เฒ่าหรอกกระมัง ข้าขอบอกเจ้า ต่อให้ปกติจะเห็นชิ่งอวิ๋นโหวฮูหยินผู้เฒ่าชอบพูดชอบคุย ทว่านางกลับไม่ใช่คนชอบนินทาเรื่องคนอื่น เจ้ามองผิดคนแล้ว!”
เฉินลั่วรู้สึกว่าบางครั้งมารดาของเขาก็ฉลาดมาก แต่บางครั้งก็เลอะเลือนมากเช่นกัน
เขามองจ่างกงจู่อย่างลึกล้ำครั้งหนึ่ง กล่าวว่า “เพราะปั๋วหมิงเย่ว์กลืนน้ำลายตัวเอง ทีนี้ท่านเข้าใจหรือยัง” กล่าวอีกว่า “หากเขาไม่ได้กลืนน้ำลายตัวเอง เหตุใดข้าต้องให้ท่านช่วยดูคุณหนูหวังด้วย อีกอย่าง ต่อให้ท่านไม่ยอม ข้าก็มีวิธี เพียงแต่เพราะท่านเป็นมารดาของข้า หากข้าไปเชิญผู้อื่นออกหน้าให้ กลัวว่าท่านจะเสียหน้า”
“นี่เจ้ากำลังข่มขู่ข้า?” จ่างกงจู่เบิกดวงตากว้าง
บุตรชายของนางผู้นี้ไม่ค่อยสนใจอะไรมาตั้งแต่เด็ก เกียรติยศและตำแหน่งที่ผู้อื่นเห็นว่าล้ำค่าเขากลับไม่ให้ความสำคัญ ความรักระหว่างพี่น้องที่ผู้อื่นไม่ชายตาแลเขากลับเห็นว่าสำคัญอย่างยิ่งยวด
แต่บัดนี้ ไม่น่าเชื่อว่าเขารู้จักข่มขู่ตนแล้ว
“หากข้าไม่ออกหน้าให้ เจ้าคิดจะเชิญผู้ใดช่วยออกหน้าให้?” จ่างกงจู่กล่าวด้วยสีหน้าขุ่นเคืองเล็กน้อย
เฉินลั่วเสมือนมองไม่เห็นก็ไม่ปาน กล่าวเสียงเรียบว่า “แน่นอนว่าต้องเชิญเจียงชวนป๋อฮูหยินผู้เฒ่าอยู่แล้ว นางใจดีแล้วก็ชอบช่วยเหลือคนอ่อนแอกว่า ยังเป็นคนมีเหตุผลอีกด้วย มีนางช่วยออกหน้าให้ ย่อมไร้ปัญหา”
นี่มิเท่ากับกำลังบอกว่านางใจร้าย ไม่ชอบช่วยเหลือคนอื่น และยังโต้แย้งอย่างไร้เหตุผลอีกหรอกหรือ
จ่างกงจู่อยากตีบุตรชายเหลือเกิน
เฉินลั่วกลับไม่มีความคิดจะยอมลงให้ ยังคงกล่าวอยู่ตรงนั้นต่อไปว่า “ความจริงแล้วข้าเห็นว่าฮูหยินผู้เฒ่าจวนเซียงหยางโหวก็ไม่เลวเหมือนกัน เป็นคนชอบพูดชอบนินทาผู้หนึ่ง แต่หลายปีมานี้บ้านพวกเขาไม่ค่อยก้าวหน้านัก ไม่เป็นที่เคารพนับถือเท่าเจียงชวนป๋อฮูหยินผู้เฒ่า แต่ให้นางเป็นคนนำความไปส่งต่อให้จวนหย่งเฉิงโหวก็ไม่เลวเหมือนกัน หย่งเฉิงโหวกำลังเป็นทุกข์เรื่องของซือจูอยู่มิใช่หรือ หากมีเรื่องเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างข้ากับคุณหนูหวังเรื่องนี้แล้ว อย่างน้อยหย่งเฉิงโหวก็คงหลับสนิทได้สักครั้งหนึ่ง ข้าคิดว่าพวกเขาน่าจะตกลง…
…แล้วก็เรื่องตระกูลจิน หลายวันก่อนข้าเจอใต้เท้าจินโดยบังเอิญ ใกล้จะถึงวันคล้ายวันเกิดของนายหญิงผู้เฒ่าของพวกเขาแล้ว แต่เนื่องจากในจิงเฉิงมีเรื่องมากมาย ก็เลยจะไม่จัดใหญ่โต จึงเชิญญาติมากินดื่มด้วยกันสักมื้อหนึ่งเท่านั้น ระยะนี้พระพลานามัยของฮองเฮาเหนียงเหนียงก็ไม่สู้ดี ข้าคิดว่าท่านคงไม่สะดวกไปเป็นแน่ เช่นนั้นให้ข้าเป็นตัวแทนท่านไปร่วมอวยพรสักครั้ง ท่านคิดว่าเป็นอย่างไรขอรับ”
จ่างกงจู่กัดฟันกรอดด้วยความโมโห
สมัยเด็กเฉินลั่วเป็นเด็กเชื่อฟังดีมาก นางพาเขาไปที่ใดเขาก็ดีใจ ภายหลังไม่รู้ว่าไปฟังใครพูดอะไรมา ไม่ยอมไปบ้านตระกูลจินอีก มีช่วงหนึ่งเห็นจินซงชิงแล้วยังขัดหูขัดตาอีกด้วย
เขาค่อยๆ เริ่มมาคุยกับจินซงชิงตั้งแต่เมื่อไรนะ
ดูเหมือนจะมีครั้งหนึ่งที่นางไม่สบาย ตัวร้อนติดกันหลายวันไข้ก็ไม่ลด ท่านหมอต่างลอบส่งสัญญาณให้เจิ้นกั๋วกงเตรียมการเรื่องภายหลังแล้ว จินซงชิงมาเยี่ยมไข้ ว่ากันว่าพอได้ยินข่าวดวงตาก็รื้นชื้นแล้ว
เฉินลั่วก็เลยไม่ชังน้ำหน้าจินซงชิงมากขนาดนั้นอีก
นางถอนหายใจยาวออกมาครั้งหนึ่งอย่างช่วยไม่ได้ รู้สึกว่าอารมณ์ก่อนหน้านี้เหล่านั้นล้วนดูไร้เหตุผลเล็กน้อย
“ข้ารู้แล้ว!” นางกล่าวด้วยอารมณ์ที่สงบลง “จะช่วยดูคุณหนูหวังให้เจ้าเอง แล้วก็ไม่ต้องให้เจ้าไปอวยพรฮูหยินผู้เฒ่าที่ตระกูลจินแทนด้วย”
เฉินลั่วยิ้มพลางหันไปคำนับจ่างกงจู่ครั้งหนึ่ง กล่าวเสียงหนึ่งว่า “ขอบคุณมากขอรับ” ทว่ายังกล่าวอีกว่า “เรื่องไปตระกูลจินยังคงให้ข้าไปสักครั้งหนึ่งเถิด! ท่านดูแลครอบครัวพวกเขามานานหลายปีขนาดนี้ ขาดครั้งสองครั้งจะเป็นไรไป เพียงแต่ว่าเวลาเจอจินซงชิงบางครั้งข้ารู้สึกอึดอัดเล็กน้อยก็เท่านั้น”
มุมปากของจ่างกงจู่อ้าหุบกว่าครู่หนึ่งถึงกล่าวออกมาว่า “เจ้าไม่จำเป็นต้องรู้สึกอึดอัด ข้าไม่ได้ทำผิดต่อผู้ใด”
นี่นับเป็นครั้งแรกที่พวกเขาสองแม่ลูกคุยเรื่องนี้กัน
เฉินลั่วมองจ่างกงจู่อย่างประหลาดใจ
สายตาของจ่างกงจู่กลับมองตรงมาที่เขา เน้นย้ำอีกประโยคว่า “ข้าไม่ได้ทำผิดต่อผู้ใด”
เฉินลั่วพยักหน้า คิดอยู่ในใจว่า หรือจะตัดขาดกับจินซงชิงแล้ว?
ก็อาจเป็นไปได้
หลายปีขนาดนี้แล้วก็ไม่อาจอยู่ด้วยกันจริงๆ ได้
ตัดขาดแล้วก็ดีเหมือนกัน
อย่างน้อยตระกูลจินก็จะได้สงบสุข
***
วันรุ่งขึ้น จ่างกงจู่เดินทางไปจวนชิ่งอวิ๋นโหว
คนจวนชิ่งอวิ๋นโหวตกใจกันเป็นอย่างมาก
จ่างกงจู่ออกไปข้างนอกมีพิธีรีตองยุ่งยากซับซ้อน แต่นางเป็นคนไม่ชอบความวุ่นวาย ด้วยเหตุนี้จึงไม่ค่อยไปเยือนบ้านขุนนางเท่าไรนัก
จวนชิ่งอวิ๋นโหวเปิดประตูกลางต้อนรับจ่างกงจู่
จ่างกงจู่คุยกับฮูหยินผู้เฒ่าจวนชิ่งอวิ๋นโหวไม่กี่ประโยคก็เข้าวังไป
ชิ่งอวิ๋นโหวรีบไปที่เรือนฮูหยินผู้เฒ่า สอบถามว่าเกิดอะไรขึ้น
ฮูหยินผู้เฒ่าส่ายศีรษะด้วยรอยยิ้มขื่น กล่าวว่า “จ่างกงจู่ถูกใจคุณหนูต่างสกุลของจวนหย่งเฉิงโหว อยากให้นางมาเป็นบุตรสะใภ้ ครั้งนี้มาเพื่อบอกกล่าวพวกเราเอาไว้ ถือเป็นการแจ้งให้ทราบสักครั้งหนึ่ง”
กล่าวจบ นางกล่าวขึ้นอย่างไม่เข้าใจว่า “ข้าจำได้ว่าคราวก่อนตอนที่ข้าคิดจะทาบทามให้เจ้าเจ็ดนั้น เจ้าเจ็ดไม่ยอม นั่นก็ถือว่าจบสิ้นกันไปแล้วมิใช่หรือ เหตุใดจ่างกงจู่ยังมาบอกเรื่องนี้กับพวกเราอีก? คงมิใช่ว่าเจ้าเจ็ดไปทำเรื่องอะไรให้ผู้อื่นเข้าใจผิดอีกกระมัง”
ไม่ใช่อย่างแน่นอน
ผู้อื่นอาจไม่รู้ แต่ชิ่งอวิ๋นโหวรู้ดี ช่วงนี้ความสนใจทั้งหมดของปั๋วหมิงเย่ว์อยู่ที่เรื่องตรวจสอบหนิงผิน ขอเพียงหาหลักฐานออกมาพิสูจน์ได้ว่าหนิงผินใช้เงินแผ่นดินช่วยเหลือญาติของตัวเอง หรือมีเหตุต้องสงสัยว่ามีการซื้อขายตำแหน่งขุนนางได้ หนิงผินก็หนีการฟ้องร้องไปไม่พ้นแล้ว ต่อให้ฮ่องเต้ปกป้องนาง แต่ชื่อเสียงนางเสียหายแล้ว ก็อย่าหวังจะได้ครอบครองตราหงส์
ขอเพียงนางขาดคุณสมบัติเข้าสู่ตำหนักคุนหนิง องค์ชายเจ็ดก็อย่าหวังจะได้เป็นรัชทายาท
ชิ่งอวิ๋นโหวกล่าวยิ้มๆ ว่า “โดยมากน่าจะมาหาท่านเพื่อพูดคุยมากกว่า”
ฮูหยินผู้เฒ่าวางใจลงมาได้ ยิ้มกล่าวว่า “โชคดีที่ก่อนหน้านี้ไม่ได้จับคู่ผิดฝาผิดตัว เจ้าเจ็ดบอกว่าคุณหนูหวังจวนหย่งเฉิงโหววิ่งตามเฉินลั่วต้อยๆ มิใช่หรือ ดูทีแล้วคุณหนูหวังผู้นั้นจะได้สมดังปรารถนาแล้ว เจ้าอย่าว่าไปเชียว คุณหนูหวังผู้นี้เป็นคนมีความสามารถผู้หนึ่งจริงๆ”
กล่าวจบนางก็ขบคิดครู่หนึ่ง กล่าวว่า “อีกสองวันดอกไม้จากเฟิงไถก็จะมาส่งแล้วมิใช่หรือ พวกเราไม่ได้จัดงานเลี้ยงมานานแล้ว มิสู้ถือโอกาสสร้างความครึกครื้นสักหน่อย เชิญคุณหนูหวังผู้นั้นมาด้วย ให้ข้าได้ดูชัดๆ สักหน่อยว่าเป็นเด็กสาวเช่นไร ถึงทำให้จ่างกงจู่ออกหน้าให้นางได้”
เมื่อก่อนฮูหยินผู้เฒ่าก็เคยเจอหวังซีแล้วครั้งหนึ่ง ตอนนั้นเพียงรู้สึกว่าเด็กสาวผู้นี้หน้าตางดงามจนทำให้คนหยุดหายใจได้ ดูจากท่าทางก็เป็นคนอบอุ่นอ่อนโยนและมีความเป็นธรรมชาติผู้หนึ่ง ทำให้รู้สึกดีเท่านั้น บัดนี้ดูแล้ว ยังเป็นคนฉลาดและวางแผนเป็นผู้หนึ่งอีกด้วย
นางไม่ได้พบเห็นเด็กสาวเช่นนี้มานานหลายปีแล้ว จึงอดสงสัยใคร่รู้เล็กน้อยไม่ได้
ชิ่งอวิ๋นโหวไม่สนใจเรื่องเรือนหลังพวกนี้มาแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้ว ขานรับคำยิ้มๆ และอยู่คุยกับฮูหยินผู้เฒ่าอีกครู่หนึ่งแล้วถึงได้กล่าวขอตัวลา
ตกเย็น จวนชิ่งอวิ๋นโหวต่างรู้วัตถุประสงค์การมาเยือนของจ่างกงจู่แล้วอย่างถ้วนทั่ว
คุณหนูหกปั๋วพลันหน้าซีดเผือด บีบหวีหยกในมือแน่นไม่รู้จะกล่าวอะไรดี
ส่วนปั๋วหมิงเย่ว์ทอดตัวนั่งอยู่บนเก้าอี้อย่างอ่อนแรง ดวงตาว่างเปล่า หัวใจแห้งเหี่ยวเหมือนขาดน้ำ
ตอนอยู่ที่สวนป่าเขาก็รู้สึกแล้วว่าท่าทีของเฉินลั่วที่มีต่อหวังซีดูไม่สามัญ แต่เขาก็ไม่ได้คิดอะไรมาก ตอนที่ท่านย่าของเขาถูกใจหวังซี เขาถึงได้ปฏิเสธไปตามสัญชาตญาณ
เห็นได้ชัดว่าสัญชาตญาณของเขายังไม่ผิดพลาด
เขาเพียงแต่รู้สึกไม่ค่อยยินยอมเท่านั้น
เฉินลั่วเอาอะไรไปสู่ขอหวังซี? จวนเจิ้นกั๋วกงของพวกเขายังยุ่งเหยิงเละเทะอยู่เลย!
แต่จะให้เขาแย่งชิงอะไรเทือกนั้น เขาก็ทำไม่ได้
สถานการณ์ของจวนชิ่งอวิ๋นโหวในเวลานี้ย่ำแย่กว่าจวนเจิ้นกั๋วกงเสียอีก
หรือจะตรงกับประโยคที่ว่า ‘เจอกันช้าไป’ ประโยคนั้นแล้วจริงๆ
ปั๋วหมิงเย่ว์ดึงทึ้งผม ครึ่งค่อนคืนแล้วก็ยังนอนไม่หลับ
***
จ่างกงจู่ไม่มีความคิดจะปิดบังผู้อื่นมาตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว และตอนนี้ก็เป็นเวลาที่จวนชิ่งอวิ๋นโหวกำลังลำบากที่สุด จึงไม่อยากบาดหมางกับผู้ใด ด้วยเหตุนี้เหตุผลที่นางไปเยือนจวนชิ่งอวิ๋นโหวจึงแพร่กระจายไปในหมู่ตระกูลชั้นสูงอย่างรวดเร็ว
ด้วยเหตุนี้นายหญิงเจ็ดจวนชิงผิงโหวยังอ้างเรื่องนำถั่วลันเตาที่ได้มาใหม่มาส่งให้เพื่อมาพบหวังซีครั้งหนึ่งเป็นการเฉพาะอีกด้วย
หวังซีได้รับถั่วลันเตามาก็ดีใจมาก กล่าวว่า “ข้าสอบถามมากระจ่างแล้ว โจ๊กแปดขุมทรัพย์ของจิงเฉิงนั้นไม่จำเป็นต้องใช้ถั่วแปดชนิด แต่ยิ่งมีถั่วมากก็ยิ่งดี คราวนี้ข้าตั้งใจจะต้มถั่วเพิ่มอีกสักสองสามชนิด ถึงเวลาจะขอให้พวกท่านช่วยชิมเจ้าค่ะ”
“ได้เลย ได้เลย!” นายหญิงเจ็ดตอบด้วยอาการใจลอย ดวงตาคล้ายแปะอยู่บนร่างของนางก็ไม่ปาน มองสำรวจจากศีรษะจนถึงเท้า แล้วก็จากเท้าขึ้นมาจนถึงศีรษะอีกครั้ง ท่าทางเหมือนดูเท่าไรก็ไม่พอ
หวังซีหวาดระแวง นึกถึงเรื่องทาบทามที่คุณหนูรองอู๋เคยคุยกับนางตอนก่อนออกเรือนขึ้นมา รีบกล่าวขึ้นว่า “ท่านเป็นอะไรเจ้าคะ ข้าสวมใส่อะไรผิดแผกไปหรือเปล่า” ยังกลัวนายหญิงเจ็ดเอ่ยในสิ่งที่นางตอบไม่ได้ จึงยิ้มตาหยีกล่าวต่อว่า “พี่สะใภ้ใหญ่ข้าบอกว่าชีวิตนี้นางยังไม่เคยมาจิงเฉิงเลยสักครั้ง ครั้งนี้ตั้งใจมารับข้ากลับสู่จง ไม่รอให้ผ่านพ้นปีใหม่ก็ออกเดินทางแล้ว รอนางมาถึงจิงเฉิง ข้าจะเชิญท่านดื่มสุรา! สู่จงของพวกข้าก็มีสุราดีเช่นกันเจ้าค่ะ”
อาจเพราะเป็นตระกูลเก่าแก่ของขุนนางฝ่ายทหาร คนจวนชิงผิงโหวจึงล้วนแล้วแต่เชี่ยวชาญเรื่องดื่มสุรา แม้แต่สะใภ้ที่แต่งเข้าไป ก็มีความสามารถในการดื่มเป็นอย่างมาก
นายหญิงเจ็ดก็เป็นเช่นนั้น
นอกจากนี้นางบอกแล้วว่าพี่สะใภ้ใหญ่ของนางกำลังจะเดินทางมาจิงเฉิง หากนายหญิงเจ็ดอยากเป็นแม่สื่อให้นาง รอคุยกับพี่สะใภ้ใหญ่ของนางย่อมดีกว่า นายหญิงเจ็ดน่าจะรอจนถึงเวลานั้นก่อน
หวังซีรู้สึกผ่อนคลายลงเล็กน้อย
ถึงตอนนั้นตระกูลหวังจะได้รับงานส่งเสบียงให้จวนชิงผิงโหวหรือไม่ก็น่าจะได้ข้อสรุปแล้ว ตอนนางพาพี่สะใภ้ใหญ่ของนางไปเยี่ยมนายหญิงเจ็ด ไม่ว่าอย่างไรนายหญิงเจ็ดก็ต้องเจอพวกนางและปฏิบัติกับพวกนางอย่างกระตือรือร้นขึ้นบ้าง
“ดีๆ!” นายหญิงเจ็ดตอบ ทว่ายังคงทิ้งสายตาไว้บนร่างของหวังซีดังเดิม
หวังซีถูจมูก ได้แต่ปล่อยให้นางดูต่อไป กระทั่งถึงเวลาที่นายหญิงเจ็ดกล่าวอำลา ยังมอบขนมให้นายหญิงเจ็ดเอากลับไปด้วยหลายกล่อง
…………………………………………………………..