บัดนี้นับวันขนมของหวังซีก็ยิ่งมีชื่อเสียงในหมู่ตระกูลชั้นสูงในจิงเฉิงมากขึ้นเรื่อยๆ ฟากนายหญิงเจ็ดจวนชิงผิงโหวถือขนมกลับจวนไปอย่างมีความสุข ด้านฮูหยินผู้เฒ่าที่ได้รับข่าวแล้วกลับโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ตบโต๊ะกล่าวด้วยความโมโหว่า “ตกลงแล้วจวนหลังนี้ใครเป็นผู้อาวุโสกันแน่ มาจวนหย่งเฉิงโหว แต่ไม่มาถามไถ่เรือนหยกวสันต์และไม่ไปเยี่ยมโหวฮูหยิน ได้ขนมแล้วก็ถือกลับบ้านไปเลย เกรงว่าแม้แต่ตระกูลตกต่ำที่ไม่มีกินไม่มีใช้ก็ยังทำเช่นนี้ออกมาไม่ได้!”
คนแวดล้อมนางได้แต่ทำเป็นไม่ได้ยิน
ตอนนี้ตัวหวังซีเองก็นับได้ว่าพอจะมีชื่อเสียงในหมู่คนชั้นสูงของจิงเฉิง นางไม่เพียงสนิทสนมกับสตรีจวนชิงผิงโหวเท่านั้น ยังเป็นสหายสนิทของคุณหนูใหญ่ลู่จวนเจียงชวนป๋ออีกด้วย กับคุณหนูหกของจวนชิ่งอวิ๋นโหว ไม่สิ ตอนนี้ต้องเรียกว่าจวนชิ่งอวิ๋นป๋อก็เป็นสหายกัน ผู้ใดเอ่ยถึงคุณหนูหวังจวนหย่งเฉิงโหวแล้วไม่ชื่นชมบ้าง เมื่อก่อนคนจวนชิงผิงโหวไม่ค่อยสุงสิงอะไรกับจวนหย่งเฉิงโหวนัก บัดนี้พอเห็นสตรีจวนหย่งเฉิงโหวยังพยักหน้าให้ครั้งหนึ่งและพูดคุยด้วยสองประโยค นั่นล้วนเป็นเพราะเห็นแก่หน้าของหวังซีทั้ง
นายหญิงของพวกเขามาเยี่ยมหวังซีโดยไม่สนใจคนจวนหย่งเฉิงโหว ถือเป็นการเสียมารยาทอยู่บ้าง แต่ผู้ใดให้จวนชิงผิงโหวมีอิทธิพลและอำนาจเล่า ผู้อื่นจึงไม่กลัวบาดหมางกับจวนหย่งเฉิงโหว
ฮูหยินผู้เฒ่าเป็นเช่นนี้ ช่างเป็นเรื่องตัวเองทำตัวเองขายหน้าจริงๆ เลอะเลือนเกินไปแล้ว
ทุกคนล้วนไม่กล้าเปล่งเสียง
แล้วก็ไม่อยากเปล่งเสียงด้วย
ยิ่งไม่อยากเอาตัวไปเสี่ยงกับโชคร้าย เนื่องจากหากมิใช่ทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าขุ่นเคืองก็ทำให้หวังซีไม่พอใจ ซึ่งไม่ว่าจะเป็นคนใด พวกนางล้วนไม่อาจขัดใจได้สักคน
นับตั้งแต่ที่ฮูหยินผู้เฒ่าเอ็ดซือจูไปเมื่อคราวก่อนเป็นต้นมา ก็ไม่รู้ว่าฮูหยินผู้เฒ่าเป็นอะไร จู่ๆ ก็รู้สึกว่าซือจูขัดหูขัดตาขึ้นมาราวกับเปลี่ยนเป็นคนละคน นอกจากหยิบยกข้อเสียของซือจูขึ้นมาพูดแล้ว แม้แต่หวังซีก็ติดร่างแหไปด้วย มักจะถูกฮูหยินผู้เฒ่าเอามาต่อว่าสักสองประโยคอยู่เสมอ
มีคนว่างงานเอามาบอกหวังซี
หวังซีไม่พอใจมาก
หวังหมัวมัวกลับหว่านล้อมนางว่า “เกรงว่าคงเป็นเพราะเรื่องของคุณหนูซือ ก็เลยรู้สึกว่าอย่างไรคนนอกก็คือคนนอก ให้ท่านยืมชื่อของจวนหย่งเฉิงโหวไปใช้ข้างนอก นางก็เลยไม่ค่อยพอใจ แต่นี่ก็เป็นเรื่องปกติธรรมดาของมนุษย์ ท่านเพียงต้องจำเอาไว้ว่าศัตรูนั้นผูกง่ายแก้ยากก็พอ ไม่จำเป็นต้องขึ้นตาชั่งไปหาความทุกข์ให้ตัวเอง ขอเพียงฮูหยินผู้เฒ่าไม่พูดอะไรต่อหน้าท่าน ท่านก็ทำเป็นไม่รู้เรื่องเสีย ถึงอย่างไรตอนนี้ก็ยังมีคุณหนูซือรับหน้าอยู่ข้างหน้า!”
หวังซีเองก็เข้าใจหลักการข้อนี้ดี แต่นางยังคงรู้สึกว่าฮูหยินผู้เฒ่าทำเช่นนี้ไม่ค่อยถูกต้องนัก
นางกล่าว “เช่นนั้นหลังจากซือจูแต่งงานแล้วเล่า? จะให้ข้ารองรับอารมณ์ของนางอย่างนั้นหรือ”
นางไม่ได้กินข้าวของจวนหย่งเฉิงโหวแม้แต่เม็ดเดียว และฮูหยินผู้เฒ่าก็ไม่เคยให้น้ำนางดื่มแม้แต่อึกเดียวด้วย เหตุใดเวลาไม่พอใจอะไรถึงต้องเอานางไประบายอารมณ์ด้วย!
หวังหมัวมัวกล่าวยิ้มๆ ว่า “นั่นก็เพราะฮูหยินผู้เฒ่าเองก็ถูกบีบจนไม่มีทางเลือก มีความขมขื่นที่พูดออกมาไม่ได้เหมือนกัน!”
สินเจ้าสาวของซือจูนั้นนอกจากจะจัดเตรียมกันอย่างยุ่งเหยิงแล้ว ก่อนหน้านี้ที่ฮูหยินผู้เฒ่าช่วยเหลือนางไปด้วยเงินก้อนใหญ่ไปนั้น ท่านโหวยังตั้งใจจะทำเป็นลืมตาข้างหนึ่งหลับตาข้างหนึ่งปล่อยผ่านไปเสีย แต่ผู้ใดจะรู้ว่าระยะนี้กองพลส่วนพระองค์ของฮ่องเต้กลับโกลาหลอย่างยิ่งยวด คนมากมายถูกย้ายออกจากจิงเฉิง แล้วก็เติมคนเข้ามาแทนเป็นจำนวนมาก รวมถึงมีตำแหน่งว่างจำนวนไม่น้อย พ่อภรรยาของคุณชายสามฉังหาวิธีอุดหนุนทั้งเงินและสิ่งของเพื่อช่วยหาทางเดินให้เขา และเพื่อให้บุตรสาวได้มีหน้ามีตาแล้ว ถึงกับเร่งช่วยให้คุณชายสามฉังได้ดำรงตำแหน่งหัวหน้ากองธงใหญ่ก่อนที่บุตรสาวจะออกเรือนอีกด้วย
โหวฮูหยินที่อยากหางานให้บุตรชายแท้ๆ ของตัวเองทำมาโดยตลอด หลังจากได้ยินเรื่องของคุณชายสามฉังแล้ว ก็ร้องโวยวายให้หย่งเฉิงโหวช่วยหาตำแหน่งงานให้บุตรชายคนรองกับบุตรชายคนที่สามสักตำแหน่งหนึ่ง ต่อไปเมื่อแยกบ้านแล้วจะได้มีรายได้ ไม่ต้องถึงกับนั่งกินนอนกินจนหมด
เนื่องจากหย่งเฉิงโหวเป็นหนึ่งในผู้บังคับบัญชากองบัญชาการทหารทั้งห้า อย่างไรก็มีหน้ามีตาอยู่หลายส่วน เพียงแต่ว่าเขามีบุตรชายมาก ตัวเองจัดหาได้เพียงหนึ่งถึงสองคนเท่านั้น ส่วนคนอื่นๆ ก็ต้องแลกเปลี่ยนกับผู้อื่น เขาจัดหาให้ผู้อื่น แล้วผู้อื่นก็จัดหาให้เขาเป็นการแลกเปลี่ยนกัน
เดิมทีนี้เป็นเรื่องที่ทุกคนต่างเข้าใจกันดี
แต่เรื่องแลกเปลี่ยนคนในครั้งนี้มีอวี๋จงอี้ เสนาบดีกรมกลาโหมเป็นคนดูแลจัดการด้วยตัวเอง คนของฝ่ายคัดเลือกทหารกรมกลาโหมที่เป็นคนดูแลเรื่องพวกนี้ก่อนหน้านี้ไม่กล้าให้คำตอบ สายสัมพันธ์ของหย่งเฉิงโหวที่เคยมีก็เลยใช้ไม่ค่อยได้แล้ว จำเป็นต้องติดสินบนกันใหม่
และเพราะต้องติดสินบน จึงจำเป็นต้องใช้เงิน
หย่งเฉิงโหวเป็นคนถี่เหนียวผู้หนึ่ง พอเห็นว่าเงินในจวนหายไปกว่าครึ่งในคราวเดียว หัวใจดวงนี้ก็ไม่มีความสุข และเมื่อคิดถึงเงินที่ฮูหยินผู้เฒ่ามอบให้ซือจูเหล่านั้นขึ้นมาอีกครั้ง ในใจก็ยิ่งรู้สึกไม่ดีมากขึ้น
วันนั้นฮูหยินผู้เฒ่าพูดเรื่องออกเรือนของซือจูขึ้นมาอีกครั้งอย่างไม่จบไม่สิ้น ฉับพลันนั้นทำให้หย่งเฉิงโหวฉุนเฉียวขึ้นมา หันไปพ่นคำบ่นใส่ฮูหยินผู้เฒ่าขึ้นมาบ้าง บอกว่าอีกไม่นานเจ้าสี่ก็ต้องคุยเรื่องแต่งงาน เจ้าห้าต้องไหว้อาจารย์ฝากตัวเป็นศิษย์ ทุกอย่างล้วนต้องใช้เงินทั้งสิ้น หากในมือฮูหยินผู้เฒ่ายังมีเงินเหลือ ไม่สู้เอามาให้เขายืมใช้บ้าง เขารับประกันว่าจะคืนให้ในไม่ช้า ยังพูดถึงสินเจ้าสาวของซือจูขึ้นมาอีกด้วย
ความหมายโดยนัยก็คือฮูหยินผู้เฒ่ารับผิดชอบแต่ซือจูที่เป็นคนนอกผู้นี้ทว่าไม่สนใจหลานชายแท้ๆ ของตัวเอง
ฮูหยินผู้เฒ่าตะลึงงัน พูดอะไรไม่ออกไปกว่าครู่ใหญ่
ถึงแม้หย่งเฉิงโหวจะไม่ได้บีบบังคับฮูหยินผู้เฒ่า แต่ก็สะบัดแขนเสื้อเดินจากไป
ฮูหยินผู้เฒ่าจึงรู้ว่า นางทำให้บุตรชายที่เลี้ยงดูนางมาจนแก่เฒ่าไม่พอใจเสียแล้ว
แต่จะให้นางเอาเงินออกมาช่วยเหลือหย่งเฉิงโหวนั้น หนึ่งคือนางไม่ได้มีเงินเหลือมากขนาดนั้นแล้วจริงๆ และสองคือนางก็ไม่อาจทวงของที่ให้ซือจูไปแล้วกลับมาได้
ระยะนี้ฮูหยินผู้เฒ่าจึงเหมือนนั่งอยู่บนเบาะเข็มอย่างที่เขากล่าวกัน มีชีวิตอย่างยากลำบากยิ่ง
หวังซีกลับไม่เห็นใจสงสารแม้แต่ครึ่งเดียว กล่าวว่า “นั่นเป็นสิ่งที่นางเลือกเอง ผู้ใดบีบบังคับให้นางทำกัน! แค่ที่นางเอาข้าไปพูดก็ไม่ถูกต้องแล้ว”
หวังหมัวมัวเองก็ไม่ชอบที่ฮูหยินผู้เฒ่าทำเช่นนั้นเหมือนกัน แต่เนื่องจากฮูหยินผู้เฒ่าเป็นยายของหวังซี จึงไม่อาจปล่อยให้หวังซีกับฮูหยินผู้เฒ่ามีเรื่องพิพาทกันได้ ถึงแม้ปากจะว่ากล่าวหวังซี แต่ข้างในกลับตัดสินใจแน่วแน่ว่า หากฮูหยินผู้เฒ่ายังกล้าเอาหวังซีไปพูดเหลวไหลอีก นางก็จะไม่เกรงใจแล้ว
นางเล่าเรื่องที่ค้นพบในช่วงนี้ให้หวังซีฟัง
แม้นกล่าวว่าหวังซีเข้ามาอยู่ในจวนหย่งเฉิงโหวจะซื้อแหล่งข่าวเอาไว้ไม่น้อย แต่เรื่องอย่างความขัดแย้งระหว่างฮูหยินผู้เฒ่าและหย่งเฉิงโหวนี้กลับไม่มีใครกล้าบอกนาง
นางกระดกลิ้นด้วยความประหลาดใจ กล่าวยิ้มๆ ว่า “ฮูหยินผู้เฒ่าทำเช่นนี้ มิเท่ากับเป็นการย้ายหินมาทับเท้าตัวเองหรอกหรือ!”
“ผู้ใดว่าไม่ใช่เจ้าคะ” หวังหมัวมัวเห็นหวังซีเบิกบานใจ ก็มีความสุขตามขึ้นมาด้วย เสียงพูดฟังดูร่าเริงขึ้นหลายส่วน “เพราะฉะนั้นแล้ว ท่านก็อย่าคิดเล็กคิดน้อยกับฮูหยินผู้เฒ่าไปเลย เพราะนางก็ไม่มีที่ให้ระบายอารมณ์แล้วนั่นเอง!”
หวังซีขาน “อื้มมม” พร้อมกับพยักหน้า จากนั้นก็ไม่ได้เคืองโกรธขนาดนั้นแล้วจริงๆ
ทว่าเมื่อซือจูทราบเรื่องแล้วกลับโกรธจนไม่กินข้าวเที่ยง
เหตุใดหวังซีถึงโชคดีขนาดนี้ ผูกมิตรกับคนจวนชิงผิงโหวได้อย่างไร
ว่ากันตามหลักแล้ว หวังซีเองก็ไม่ใช่คนประเภทที่ชอบเข้าสังคม ปกติตระกูลใดมีงานเลี้ยง นางก็ก้มหน้าก้มตาเดินตามอยู่ด้านหลังของสตรีจวนหย่งเฉิงโหว นางไปผูกมิตรกับสตรีชั้นสูงเหล่านั้นได้อย่างไรและตั้งแต่เมื่อใดกัน?
ซือจูขบคิดนับร้อยครั้งแล้วก็ยังคิดไม่ตก ยังถามตานหมัวมัวอย่างคาใจว่า “นายหญิงเจ็ดจวนชิงผิงโหวไม่ได้ส่งถั่วลันเตาไปให้โหวฮูหยินเลยหรือ”
“ไม่เจ้าค่ะ!” ตานหมัวมัวตอบอย่างระมัดระวัง
ช่วงนี้ซือจูเหมือนคนถูกผีสิงร่างก็ไม่ปาน ยังไม่พูดถึงเรื่องที่นางเข้าไปพัวพันกับเรื่องระหว่างเจิ้นกั๋วกงกับเฉินลั่วอย่างไร้เหตุผล แค่เรื่องที่นางกำลังจะออกเรือนอยู่รอมร่อแล้ว ทว่ากลับไม่สนใจอะไรยืนดูเฉยๆ เหมือนเป็นคนอื่นเรื่องนั้น ตานหมัวมัวก็รู้สึกว่าต่อให้วันข้างหน้าจะมีชีวิตดีๆ รอซือจูอยู่ แต่นางก็ทำให้หายวับไปได้
“นายหญิงเจ็ดบอกว่า นางเพียงมาเยี่ยมคุณหนูหวังสักหน่อยเท่านั้น” ตานหมัวมัวกล่าวอย่างรอบคอบ “อาจเป็นเพราะไม่อยากรบกวนฮูหยินผู้เฒ่ากระมัง!”
“ข้าว่าไม่ใช่กระมัง!” ซือจูแสยะยิ้มเย็น ดวงตากลมโตทั้งคู่จับจ้องตานหมัวมัวไม่วาง กล่าวว่า “เจ้ายังมีเรื่องอะไรปิดบังข้าอยู่ใช่หรือไม่ อย่าให้ข้ารู้ก็แล้วกัน หาไม่เจ้าได้เห็นดีแน่”
ตานหมัวมัวไม่กล้าชี้แนะซือจูแล้ว
เมื่อก่อนนางเป็นคนเฒ่าคนแก่ของจวนตระกูลซือ มีฮูหยินชราและฮูหยินเป็นเจ้านาย ไม่ว่าอย่างไรซือจูก็ต้องไว้หน้านางสักสองสามส่วน บัดนี้ตระกูลซือตกต่ำ หากนางไม่ติดตามซือจู ก็ต้องกลับตระกูลซือ แต่ตระกูลซือนั้นไม่ต้องพูดถึงข้ารับใช้เลย แม้แต่ฮูหยินชรากับฮูหยินเองล้วนต้องตายและถูกขายทั้งสิ้น ไหนเลยจะมีที่ให้นางหยัดยืนได้
นางได้แต่ต้องหาวิธีเกาะซือจูเอาไว้ให้แน่น หวังให้ซือจูแต่งเข้าจวนเจิ้นกั๋วกงโดยเร็ว นางเองก็จะได้นับว่าปลอดภัยไปด้วย ต่อให้อนาคตจะถูกไล่ไปอยู่บ้านสวนของจวนเจิ้นกั๋วกง ก็ดีกว่าอยู่อย่างไม่รู้ชะตากรรมว่าจะถูกขายให้ผู้ใดเช่นนี้
นางอดลังเลครู่หนึ่งไม่ได้
ซือจูเขวี้ยงกระจกถือชิ้นหนึ่งเข้ามา
ตานหมัวมัวทำได้แค่เบี่ยงตัวหลบเท่านั้น กล่าวขึ้นว่า “ข้าไหนเลยจะกล้าปิดบังท่าน! นายหญิงเจ็ดจวนชิงผิงโหวผู้นั้นไปเยี่ยมคุณหนูหวังจริงๆ เจ้าค่ะ”
“เจ้ายังกล้าหลอกข้าอยู่อีก!” ซือจูลุกขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นผลไม้และหมอนอิงอะไรต่างๆ ล้วนถูกจับโยนใส่ตานหมัวมัว
นางไม่กล้าทำถ้วยชาและจานผลไม้แตกเพราะเป็นของของจวนหย่งเฉิงโหว ทุกอย่างถูกจดบัญชีเอาไว้ทั้งหมด หากทำแตกนอกจากต้องชดใช้แล้ว ข่าวยังอาจกระพือออกไปอย่างรวดเร็วจนเป็นที่รู้กันทั้งเมือง ทำให้ชื่อเสียงของนางที่แต่เดิมก็ไม่ค่อยดีอยู่แล้วยิ่งเลวร้ายมากขึ้น
ตานหมัวมัวมองแล้วได้แต่รู้สึกปวดแปลบหัวใจ
สาวใช้เด็กคนสนิทของนางกลับสงสารนาง อดกล่าวเสียงแหลมขึ้นมาไม่ได้ว่า “นั่นเป็นเพราะคุณหนูหวังกำลังจะได้แต่งเข้าจวนเจิ้นกั๋วกงไปเป็นสะใภ้รอง นายหญิงเจ็ดจวนชิงผิงโหวถึงได้มาเยี่ยมนางเป็นพิเศษ”
“เจ้าว่าอะไรนะ!” ซือจูตัวชา ท่าทางที่มองสาวใช้เด็กผู้นั้นคล้ายต้องการเขมือบนางก็ไม่ปาน
สาวใช้เด็กตกใจจนถอยร่นไปหลบอยู่หลังตานหมัวมัว
เวลานี้ซือจูไม่สนว่าผู้อื่นจะรู้หรือไม่รู้แล้ว คว้าถ้วยชาข้างมือขึ้นมาเขวี้ยงใส่ตานหมัวมัว ปากยังก่นด่าด้วยว่า “เจ้ามันคนกินบนเรือนขี้รดบนหลังคา ทั้งที่รู้ว่าข้าไม่อยากแต่งเข้าจวนเจิ้นกั๋วกง ไม่อยากเห็นหวังซี เจ้ากลับไม่พูดอะไรสักคำ สำนึกของเจ้าถูกสุนัขกินไปหมดแล้วใช่หรือไม่ เจ้ามันคนใจดำอำมหิต…”
ตานหมัวมัวขมขื่นแต่พูดอะไรไม่ออกแม้แต่ประโยคเดียว
***
คนที่ถูกผู้อื่นซุบซิบนินทามักจะเป็นคนสุดท้ายที่รู้เรื่องเสมอ
ฟากหวังซีหลังจากส่งนายหญิงเจ็ดจวนชิงผิงโหวกลับไปแล้วยังคงหารือกับหวังหมัวมัวอยู่ตรงนั้น “ฮูหยินผู้เฒ่าไม่พอใจมิใช่หรือ เช่นนั้นข้าก็ไม่ไปร่วมพิธีเติมหีบของซือจูแล้ว แม้แต่เข็มและด้ายข้าก็ไม่อยากมอบให้ซือจูแม้แต่ชิ้นเดียว เป็นเช่นนี้ก็ประจวบเหมาะพอดี ส่วนฮูหยินผู้เฒ่าจะคิดอย่างไรนั้น ก็ต้องดูว่าคนข้างกายนางจะหว่านล้อมนางอย่างไรแล้ว อย่างไรข้าก็ไม่ยอมแสร้งทำว่าทุกอย่างราบรื่นดี”
หวังหมัวมัวไหนเลยจะทำใจยอมให้นางถูกรังแกได้ รีบแย้มยิ้มกล่าวขึ้นว่า “ไม่อยากไปก็ไม่ต้องไปเจ้าค่ะ นี่เข้าฤดูหนาวแล้ว เป็นช่วงเวลากินเนื้อแกะพอดี เนื้อแกะของทางเหนืออร่อยกว่าที่สู่จงของพวกเรา วันนั้นพวกเราออกจากบ้านไปกินหม้อไฟเนื้อแกะที่ร้านขายเนื้อแกะกันดีกว่า…
…ชุดสำหรับบ่าวชายที่ก่อนหน้านี้ท่านเคยให้คนทำเอาไว้ยังใส่ได้อยู่ ข้าจะให้ไป๋กั่วไปหาออกมาให้ท่าน”
หวังซียิ้มร่าขณะพยักหน้า กล่าวว่า “ส่งจดหมายไปให้ใต้เท้าเฉินฉบับหนึ่ง ดูว่าเขาอยากกินหรือไม่ หากเขาอยากกิน พวกเราก็ซื้อกลับมาด้วยเล็กน้อย อีกสักสองสามวันพวกเรามาทำหม้อไฟเนื้อแกะกินกัน”
หวังหมัวมัวขานรับว่าได้ยิ้มๆ
หมุนกายจากไปกลับได้ยินเรื่องของหวังซีกับเฉินลั่ว
นางขมวดคิ้วมุ่นไม่หยุด ตำหนิคนที่มาส่งข่าวว่า “นี่เป็นเรื่องที่ยังไม่มีการแลกเทียบอักษรแปดชะตากันเลย พูดเหลวไหลอะไรกัน”
“ข้าเปล่าพูดเหลวไหลนะเจ้าคะ!” คนที่พูดคือสาวใช้เล็กผู้หนึ่ง นางห่อไหล่ด้วยความหวาดกลัวพลางกล่าว “เป็นข่าวที่ลือออกมาจากสวนหิมะงามทางด้านโน้น บอกว่าเพราะเรื่องนี้ คุณหนูซือก็เลยอาละวาดใหญ่ ใบหน้าของตานหมัวมัวบวมเป็นก้อนเลยเจ้าค่ะ”
………………………………………………….