ตอนที่ 18 แผนกักตัว
หลังจากที่การพูดคุยในกิลด์จบลง
ส่วนใหญ่ก็ถือว่าเป็นไปตามที่ผมคาดเอาไว้
ไม่แปลกใจเลยที่การฟ้องครั้งนี้ของผมมันจะไม่สำเร็จ ยังไงผมก็คิดไว้แล้วว่ามันไม่มีทางจะผ่านไปได้หรอก
ถ้าพวกเขายอมรับข้อกล่าวหาทั้งหมดตั้งแต่แรกสิถึงจะทำให้ผมตกใจมากกว่า
อย่างไรก็ตามในทางกลับกัน เห็นได้ชัดว่ามีส่วนหนึ่งของแผนนี้ที่ผมผิดหวังกับผลลัพธ์ที่ได้
ถึงทุกอย่างมันจะเป็นไปตามที่ผมคิด แต่ลึกๆ แล้วผมก็ยังมีความหวังว่าพวกนั้นจะยอมรับความผิดกับสิ่งที่เขาทำลงไปกันนะ
อันที่จริงผมมีบางสิ่งที่อยากจะบอกกับราสด้วย แต่สุดท้ายผมก็ไม่ได้พูดออกไป
นั่นคือ “ขอบคุณ” ขอบคุณมากจริงๆ ที่ชวนผมเข้าปาร์ตี้เมื่อห้าปีก่อน
ถึงตอนแยกจากจะน่าขมขื่นไปบ้าง แต่ตอนนั้นมันก็สนุกจริงๆ
เพื่อนเลเวลเดียวกัน ที่บางครั้งก็สำเร็จบางครั้งก็ล้มเหลว ออกไปผจญภัยด้วยกันความรู้สึกที้ถูกเติมเต็มซึ่งหาไม่ได้จากบนเกาะ
ราสคือคนมอบช่วงเวลาเหล่านั้นให้กับผม
ดังนั้น หากราสยอมรับความผิดของพวกเขา ผมก็กะจะยอมยกโทษให้กับมิโรสลาฟที่ก่อเรื่องในครั้งนี้ แต่แค่ครั้งนี้ครั้งเดียวนะ
….แต่มันก็ไม่ได้เป็นเช่นนั้น
สุดท้ายแล้วมันก็บานปลายออกมา คนที่ผมรู้สึกขอบคุณก็คือราสเมื่อห้าปีที่แล้ว และผมก็ยืนยันได้แล้วว่าเขาไม่ใช่คนเดิมอีกต่อไป ส่วนมิโรสลาฟไม่จำเป็นต้องพูดถึงด้วยซ้ำ
กิลด์ก็เหมือนกัน พวกเขาแสดงความเป็นศัตรูกับผมออกมาอย่างชัดเจน เห็นได้ชัดว่าพวกเขาเข้าข้างเธอ และพยายามฝังกลบความผิดของเธอเอาไว้
ยิ่งไปกว่านั้น ผมก็ไม่สามารถทิ้งความเป็นไปได้ของ “มาตรการที่เหมาะสม” ที่พวกเขาจะใช้กับผม ซึ่งมันอาจจะเป็นภัยต่อผมจริงก็ได้
พูดตามตรงว่าผมค่อนข้างจะเกลียดพวกเขาตอนที่ไล่ผมออกมาจากกิลด์ แต่ความเกลียดชังที่มีต่อพวกเขาในวันนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องนั้นเลย
กิลด์นักผจญภัยแห่งอิชกะยกเลิกการฟ้องของผมเพื่อปกปิดเรื่องคนของพวกเขาเอง นั่นก็เป็นเหตุผลที่มากเกินพอสำหรับผมที่จะแก้แค้นพวกเขาแล้ว
ผมเผลอเม้มปากออกมาเมื่อคิดถึงเรื่องนั้น
เอาละทีนี้ก็เป็นคำถาม ผมควรจะทำยังไงกับเรื่องนี้ดี
ถึงผมจะสามารถฆ่าพวกมันด้วยอาภรณ์วิญญาณที่ผมได้รับมาได้…แต่สุดท้ายมันก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร
สุดท้ายผมก็จะไม่ต่างอะไรกับอาชญากรธรรมดาคนหนึ่ง แถมยังมีค่าหัวติดตัวอีกด้วย
การจะทำแบบนั้นตั้งแต่แรกคงไม่ได้ผลลัพธ์ที่ดีนัก
ตอนนี้ผมก็เชี่ยวชาญการใช้อาภรณ์วิญญาณขึ้นมาบ้างแล้ว เลเวลผมก็อัพขึ้นมาเยอะเลย นั่นแปลว่าผมแข็งแกร่งขึ้นยิ่งกว่าเดิม แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าผมจะแกร่งที่สุดในโลกเสียหน่อย
ยกตัวอย่างง่ายๆ เลยก็กิลด์มาสเตอร์เอลการ์ด ควิส ถ้าผมต้องสู้กับเขาจริงๆ ผมในตอนนี้คงไม่มีทางเอาชนะได้แน่
ถึงจะมีอาภรณ์วิญญาณเข้าช่วยแล้ว ผมเลยสามารถฆ่าศัตรูที่เลเวลสูงกว่าได้ในระดับหนึ่ง แต่ใครมันจะไปบ้าเลือกสู้กับคนที่มีเลเวลมากกว่าตัวเองถึง 30 เลเวลโดยไม่คิดหน้าคิดหลัง
ไม่ใช่แค่เอลการ์ดคนเดียว แม้แต่ราสและคนอื่นๆ ก็ถือเป็นคู่ต่อสู้ที่ตึงมือผมเหมือนกัน
ในขณะที่ผมเอาแต่รวบรวมสมุนไพรมาหลายปี พวกเขาก็ต่างก้าวหน้าในการทำภารกิจต่างๆ ไปมากแล้ว ประสบการณ์ที่มียิ่งไม่ต้องพูดถึง
ผมก็ไม่รู้หรอกนะว่าตอนนี้พวกเขาจะเลเวลเท่าไหร่กันแล้วเพราะมันไม่ถูกเปิดเผยเหมือนกับเอลการ์ด…แต่ด้วยความที่ราสก็เป็นถึงนักผจญภัยระดับ 6 เลเวลของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่า 10 ผมเดาว่าเขาน่าจะเลเวลอยู่ที่ 15 ไม่ก็มากกว่านั้น
อิเรียกับมิโรสลาฟก็น่าจะแถวๆ นั้นเหมือนกัน ส่วนลูนามาเรียน่าจะสูงกว่าพวกเธอนิดหน่อย เอาเป็นว่าตอนนี้เลเวลผมยังเทียบพวกเขาไม่ติดหรอก ดังนั้นผมคงรับมือกับพวกเขาไม่ได้ง่ายๆ แน่
ถึงจะพูดแบบนั้นผมก็ไม่คิดหรอกนะ ว่าถ้าได้สู้จริงๆ แล้วจะแพ้พวกเขาน่ะ นอกจากเอลการ์ดแล้ว ราสกับคนอื่นๆ ผมน่าจะใช้อาภรณ์วิญญาณในการช่วยสู้ไหว จากที่ผมสังเกตพวกเขาในวันนี้
แต่นั่นต้องเป็นในกรณีที่สู้กันแบบตัวต่อตัวเท่านั้น หากผมถูกพวกเขาทั้งปาร์ตี้รุมโจมตีพร้อมกัน คงจบไม่ค่อยสวยแน่
「ก็แปลว่าเราต้องกำจัดพวกมันไปทีละตัวสิน้อ」
หากลอบสังหาร…ผมก็คงจะโดนติดค่าหัว แถมผมก็ไม่คิดว่ากิลด์มาสเตอร์จะยอมปล่อยผมไปง่ายๆ ด้วย ในเมืองนี้คงจะมีหูตาอยู่เยอะเลยทีเดียว
แต่ถึงผมจะทำได้สำเร็จจริง ผมก็คงกลายเป็นผู้ต้องสงสัยไปโดยอัตโนมัติแน่หากเกิดอะไรขึ้นกับคนของปาร์ตี้ดาบฮายาบูสะตอนนี้
อันที่จริงพอมาคิดอีกที มันน่าจะดีกว่าถ้าผมแกล้งตายไปตอนเหตุการณ์ที่เจอราชาแมลงวันเลย
เพราะคงจะไม่มีใครสงสัยคนที่ตายไปแล้วด้วยไม่ว่าผมจะไปฆ่าใครก็ตาม
แต่ถ้าเลือกทางนั้นจริง ฉันจะไม่ได้รับข้อมูลและสิ่งที่ผมต้องการได้ยินจากการประชุมครั้งก่อน นั่นคือสิ่งที่ฉันกังวล
พอพิจารณาเงื่อนไขพวกนี้ทั้งหมดแล้ว
「งั้นก็มาใช้สถานที่แห่งนั้นกันดีกว่า」
รังของราชาแมลงวันตั้งอยู่ในส่วนลึกของป่าทีทิส ผมจะใช้ประโยชน์จากที่นั่น
ผมจะพามิโรสลาฟไปที่นั่น
กิลด์ที่ยังไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับพื้นที่ส่วนนั้น ถึงพวกเขาจะส่งทีมค้นหาออกมา ผมก็ไม่คิดหรอกว่าพวกเขาจะตามมาเจอได้
เป็นสถานที่ที่เหมาะสำหรับการคุมขัง
อันที่จริงก่อนที่ผมจะได้เข้ามาคุยกับพวกดาบฮายาบูสะ พนักงานกิลด์บางคนก็รู้เรื่องที่ผมถูกราชาแมลงวันจับตัวไปแล้ว
พวกเขาก็เข้ามาถามผมเหมือนกันว่า มีอะไรบ้างในรังนั้น หนีออกมาได้ยังไง รังอยู่ที่ไหนต่างๆ นานา
แต่ผมก็ตอบพวกเขาไปแบบคลุมเครือเช่น ไม่รู้ จำไม่ค่อยได้
เพราะผมอยากจะใช้ประโยชน์จากมันให้เต็มที่
ตอนนี้ผมคงเป็นคนเดียวในโลกที่รู้ตำแหน่งรังของราชาแมลงวัน ไม่สิมีผู้หญิงจากเผ่าคิจินอีกคนนี่นา
「ในเมื่อตัดสินใจได้แล้ว ต่อไปคือการเตรียมตัว อาหาร น้ำ และเสื้อผ้า…จริงสิ เราน่าจะต้องหาเสื้อผ้าที่ทนความหนาวได้ด้วยสินะ? 」
มันใช้เวลาประมาณสี่วันในการไปที่รังของมันจากเมืองนี้ และนั่นคือในกรณีที่ผมใช้พลังคิแล้วด้วย นั่นจึงทำให้ต้องมีการเตรียมตัวกันสักหน่อย
หื้มมม ผมกอดอกในขณะที่กำลังคิด
ยังไงพวกดาบฮายาบูสะแล้วก็กิลด์คงจะตื่นตัวอย่างมากในช่วงหนึ่งเดือนหลังจากนี้ ดังนั้นเพื่อให้พวกเขาลดการระวังตัวลงน่าจะต้องลงมือหลังจากนั้นแทน
เพราะมนุษย์ไม่สามารถอยู่ในภาวะตึงเครียดและระแวดระวังได้นานกว่าหนึ่งเดือนหรอก อัตราความสำเร็จของแผนการจะสูงขึ้นเช่นกันหากผมเลือกโจมตีในช่วงเวลาที่พวกเขาเหนื่อยล้าจากการตื่นตัวอย่างต่อเนื่องมาพักใหญ่
เพื่อที่จะให้ทุกอย่างเป็นไปตามที่วางแผนไว้ ผมก็จำเป็นต้องสร้างสถานที่ภายในถ้ำให้คนสามารถอาศัยอยู่ได้ด้วย
ด้วยเหตุนี้ผมถึงจำเป็นต้องซื้อเสบียงและของใช้ในปริมาณที่พอเหมาะ แต่ถ้าผมจะซื้อในเมืองนี้ เดี๋ยวพวกกิลด์ก็จะรู้ตัวเอา
ผมก็ไม่คิดหรอกว่าแค่ออกมาซื้อของพวกเขาจะคิดว่าผมมีแผนสูงอะไร แต่ผมก็ไม่มีเหตุจำเป็นต้องให้ข้อมูลพวกเขาแม้แต่น้อย
เราออกจากเมืองเลยดีไหมนะ?
ผมสามารถซื้อเสบียงจากเมืองและหมู่บ้านแถวๆ ป่าทีทิสได้ ก่อนจะนำมันไปตุนไว้ภายในถ้ำก่อน ยังไงเงินผมก็ยังเหลืออยู่ด้วย…
「…อ่ะ เดี๋ยว?!!」
ผมเอามือวางไว้บนหัวของตัวเองอย่างไม่ตั้งใจ ราวกับนึกอะไรขึ้นมาได้
ฉิบหายละ ผมเอาเหรียญทองทั้งหมดทิ้งไว้ที่กิลด์นี่นา!
ผมจะกลับไปเอาตอนนี้ดีไหมนะ แต่ผมจะกลับไปได้ยังไงกันในเมื่อผมประกาศตัวเป็นศัตรูกับทางกิลด์ไปแล้วด้วยสิ
เฮ้อ ผมถอนหายใจ
ช่วยไม่ได้สินะ ถึงตอนนี้ผมจะยังพอมีเหรียญเงินเหลือบ้างก็เถอะ จริงสิยังมีพวกอุปกรณ์บางชิ้นที่สามารถแลกเป็นเงินได้เหลือที่รังนี่นา
ถึงจะเสียเวลาในการเตรียมการไปอีกสักหน่อย แต่ก็ไม่ได้จะมีการจำกัดเวลาอะไรเอาไว้สักหน่อย ถึงจะใช้เวลาสักครึ่งปีหรือมากกว่านั้นถ้ามันจำเป็นก็ไม่มีปัญหา..ถึงผมจะไม่คิดว่าต้องนานขนาดนั้นก็เถอะ
พอคิดได้แบบนั้น ผมก็ยืนขึ้นแล้วเริ่มเดินไปตามถนนของอิชกะ
และในตอนนั้นเอง
「 …..คุณโซระ…คะ」
ผมได้ยินเสียงเรียกชื่อผมมาจากด้านหลัง
เมื่อผมหันไปก็ต้องขมวดคิ้ว เพราะคนที่เรียกผมนั้นคือเอลฟ์ที่มีชื่อว่าลูนามาเรีย ใบหน้าของเธอซีดลงกว่าทุกทีราวกับจะล้มลงไปตอนไหนก็ได้
——
Note 1 : เกือบเข้มละอีกนิดนึง
Note 2 : ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ช่วยหารค่าไฟ สามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913 หรือ QR Code