เฉียวโยวโยวตกใจจนสั่นไปทั้งตัว เธอมองฟู่สีเกอและพูดอะไรไม่ออก
เธอตกใจเล็กน้อยเพราะคำพูดของเขา ทำให้เธอรู้สึกหวั่นใจเล็กน้อย
เดิมทีเธอคิดว่าเขาเป็นผู้ชายที่วัน ๆจิตหมกมุ่นแต่กามราคะ ก่อนหน้านี้เคยมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกันแล้วหนึ่งครั้ง ดังนั้นเขาคงเห็นเธอเป็นแค่ของเล่น
แต่เธอกลับคาดไม่ถึงว่า ที่เขาดีกับเธอมาสนใจเธอเป็นเพราะเรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนั้น!
เมื่อย้อนความทรงจำดังกล่าวกลับไปดู เหมือนมันจะเป็นเช่นนั้นจริง ๆ
หลังจากมีความสัมพันธ์กันในครั้งแรก เธอบอกเขาว่าไม่ต้องรับผิดชอบ และเขาก็ตกลงแล้ว หลังจากนั้นเขาก็ไม่เคยปรากฏตัวต่อหน้าเธออีกเลย
แต่หลังจากที่เธอช่วยชีวิตหลานเสี่ยวถาง และเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาล เขาก็ริเริ่มเข้าใกล้เธอ เพียงแต่ดูเหมือนเขาจะไม่ค่อยชัดเจนกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในตอนนั้นสักเท่าไหร่ และเมื่อเขารู้ว่าการที่เธอได้รับบาดเจ็บและเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลนั้นเป็นเพราะช่วยชีวิตหลานเสี่ยวถาง เขาจึงเริ่มสนใจเธออย่างจริงจังงั้นเหรอ
ถ้าเช่นนั้น……
หัวใจของเฉียวโยวโยวค่อนข้างสับสน ไม่ต้องพูดถึงความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับฟู้เจียนปอที่มีความสัมพันธ์มาเป็นเวลาหลายปี แค่วิเคราะห์เฉพาะสถานการณ์ปัจจุบันแล้ว ความแตกต่างระหว่างฟู่สีเกอและครอบครัวของเธอนั้นมันแตกต่างกันมากเกินไป ไม่ว่าเขาจะจริงใจกับเธอหรือไม่ แต่ก็ต้องเผชิญกับความกดดันมากมาย
เธอเป็นเพียงหญิงสาวธรรมดาๆคนหนึ่งเท่านั้น และเหมือนเทียบกับลูกมหาเศรษฐีแล้วมันเหมือนอยู่กันคนละโลก
เธอยังรู้ดีว่า แม้ว่าทั้งสองคนจะรักกันขึ้นมาจริง ๆ แต่ก็ไม่สามารถเอาชนะความเป็นจริงที่โหดร้ายและความแตกต่างทางฐานะระหว่างกันและกันได้
ดังนั้น……
เธอกำลังจะพูดกับฟู่สีเกอ แต่ฟู่สีเกอกลับชิงพูดก่อนว่า: “ไปนอนเถอะ เมื่อคืนคุณแทบจะไม่ได้นอนเลย คุณก็เหนื่อยมากแล้ว”
เฉียวโยวโยวอยากจะถามเขาว่าจะกลับห้องได้อย่างไร แต่ฟู่สีเกอกลับเอนตัวลงและอุ้มเธอขึ้นเดินตรงไปที่เตียงแล้ววางเธอลง
เขาวางเธอลง และเอนตัวนอนลงข้างเธออีกครั้ง
เมื่อเห็นเธอกำลังจะลุกขึ้น ฟู่สีเกอก็เหยียดแขนออกเพื่อโอบเฉียวโยวโยวไว้ในอ้อมแขนของเขาและกล่าวว่า: “ไม่ต้องกังวล ถ้าคุณไม่เต็มใจจริง ๆ ผมจะไม่บังคับคุณหรอก”
แม้ว่าปกติแล้วเขาจะดูผอมมาก แต่แขนของเขากลับกว้างมาก เขาเป็นคนประเภทที่ดูผอมเมื่อสวมเสื้อผ้า แต่เวลาถอดเสื้อผ้าออกแล้วกลับหุ่นดีราวกับนักกีฬาแบบนั้น
เฉียวโยวโยวถูกฟู่สีเกอโอบอยู่ในอ้อมแขนของเขา และหัวใจของเธอก็ตื่นตระหนกโดยไม่รู้ตัว แม้แต่ลมหายใจของเธอก็สับสนวุ่นวายไปหมด
เขาก้มศีรษะลงและมองเธอ: “โยวโยว ผมจะให้เวลาคุณ ให้คุณคิดให้รอบคอบ เลิกกับเขาแล้วมาเป็นแฟนของผม”
เธอมองไปที่คิ้วของฟู่สีเกอที่อยู่ห่างเธอไม่ถึงคืบ และรู้สึกว่าหัวใจของเธอเต้นเร็วถี่ขึ้นเรื่อย ๆ แม้แต่เรี่ยวแรงที่จะตอบเขายังไม่มีเลย
ในขณะที่ฟู่สีเกอพูดอยู่นั้น เขาก็พูดอย่างจริงจังขึ้นอีกครั้งว่า: “ตราบใดที่คุณยังไม่แต่งงาน คำพูดของผมก็ยังมีประโยชน์อยู่ แต่ถ้าคุณแต่งงานกับเขา เรื่องระหว่างเราก็เป็นอันจบลงไปโดยปริยาย”
เมื่อได้ยินสิ่งที่เขาพูดคำพูดที่เด็ดขาดเช่นนั้น หัวใจของเฉียวโยวโยวก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกทรมาน
เธอหัวเราะเยาะตัวเองโดยไม่รู้ตัว เรื่องระหว่างเธอและเขานั้นมันเป็นเพราะความผิดพลาด ทำไมเมื่อเวลาเขาพูดว่ามัน ‘จบแล้ว’เธอถึงรู้สึกกลัวอย่างบอกไม่ถูก?
ไม่ เธอไม่มีเขาอยู่ข้างกายก็นานแล้ว เธอก็น่าจะคุ้นชินกับความรู้สึกตรงที่ไม่มีเขาอยู่เคียงข้าง และแทบจะไม่เคยนึกถึงเขาเลย ปฏิกิริยาของเธอเมื่อกี้นี้เป็นเพราะปฏิกิริยาทางสัญชาตญาณที่เธอรู้สึกเหมือนต้องสูญเสียเพื่อนคนหนึ่งไปก็เท่านั้นเอง?
กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือการกระทำบางอย่างของเขาในเมื่อคืนนี้เป็นการตอบสนองจินตนาการที่โรแมนติกของเด็กสาวทั่วไปที่ใฝ่ฝันมานานก็เท่านั้น ซึ่งมันทำให้รู้สึกลังเลใจเล็กน้อย
นี่มันไม่ใช่ความรู้สึกที่หวั่นไหวหรือชอบเลยสักนิด! เธอบอกกับตัวเอง
“คุณรู้ไหม?เจ้าโยวเด็กโง่” ฟู่สีเกอถาม
เธอพยักหน้าและระงับความตื่นตระหนก: “อืม ฉันรู้”
“เพราะว่าผมจะไม่เป็นมือที่สามที่จะทำลายความสัมพันธ์ระหว่างสามีและภรรยาของคนอื่น และผมก็ทนไม่ได้ที่จะให้ผู้หญิงของตัวเองนั้นไปนอนบนเตียงเดียวกันกับผู้ชายคนอื่นทุกวัน” ฟู่สีเกอกล่าวว่า “ดังนั้น เจ้าโยวเด็กโง่ ถ้าคุณแต่งงานกับเขาจริง ๆ เมื่อผมพบคุณอีกครั้ง ผมจะปฏิบัติต่อคุณเหมือนคนแปลกหน้าคนหนึ่ง”
เธอไม่พูดไม่จา เพราะจู่ ๆ เธอก็รู้สึกเจ็บแปลบในใจ
ฟู่สีเกอกอดเฉียวโยวโยวอีกครั้ง จากนั้นก็ขดริมฝีปากและพูดว่า: “จู่ ๆ ผมก็พบว่าชื่อ เจ้าโยวเด็กโง่ ชื่อนี้ค่อนข้างดีไม่น้อย ต่อไปนี้ผมจะเรียกคุณแบบนี้ดีไหม หื้อ?”
เธอดิ้นรนเล็กน้อย แสดงความไม่พอใจอย่างมากกับชื่อนี้
เขาบีบตูดของเธอทีหนึ่ง: “เจ้าโยวเด็กโง่ ถ้ายังขยับอีกครั้ง ระวังผมจะทนต่อไปไม่ไหวนะ”
ตามที่คาดไว้ไม่มีผิดเฉียวโยวโยวไม่กล้าขยับเขยื้อนเลยแม้แต่น้อย
ฟู่สีเกอยิ้มด้วยความพึงพอใจ แต่เขารู้สึกว่าเขายังไม่พอใจกับความปรารถนา เขาสูดหายใจเข้าลึก ๆ และระงับไฟราคะและสวาทตัณหาของเขา: “นอนพักซะเถอะ รอตอนเช้าผมจะหาวิธีออกไปเอง จะไม่ทำให้คุณลำบากใจอย่างแน่นอน”
เฉียวโยวโยวเดิมทีคิดว่าตัวเองคงนอนไม่หลับ แต่เธอไม่รู้ว่ากลิ่นบนร่างกายของฟู่สีเกอทำให้ประสาทของเธอรู้สึกผ่อนคลายหรือเป็นเพราะอะไรกัน แล้วเธอก็ผล็อยหลับไปในอ้อมแขนของเขาอีกครั้ง
เนื่องจากเมื่อคืนนอนน้อยเกินไป ทั้งคู่จึงนอนหลับยาวจนฟ้าสว่างและแสงแดดจ้า
เฉียวโยวโยวลืมตาของเธอก่อน เธอเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยและเห็นฟู่สีเกอยังคงหลับตาของเขาราวกับว่ากำลังหลับสนิทอย่างฝันหวาน
มันก็จริงสินะ เมื่อคืนเธอนอนทับบนตัวเขาอยู่หลายชั่วโมง แต่เขากลับยืนแบบนั้นอยู่หลายชั่วโมง เขาก็คงเหนื่อยมากเช่นกัน?
เฉียวโยวโยวแอบเงยหน้าขึ้นมองฟู่สีเกอ
เขาหลับตาแน่นให้ความรู้สึกว่ามีหน้าตาอันหล่อเหลา หุ่นนายแบบ แต่บางทีก็ทำให้รู้สึกดูเป็นคนที่เจ้าเล่ห์ เพทุบายไม่จริงจังรักสนุกไปวัน ๆซะมากกว่า หรืออาจเป็นบุคลิกของเขา หรือบางทีอาจเป็นเพราะต่างหูเพชรที่ใส่อยู่บนหูนั้นหรือเปล่านะ
ทุกส่วนบนใบหน้าของเขามีความสวยงามและดูหล่อเหลามันผสมผสานกันอย่างลงตัว คิ้วของเขาดูสะอาดเป็นระเบียบ เพราะดวงตาของเขาปิดสนิท ขนตาของเขาเมื่อส่องกระทบท่ามกลางแสงแดดนั้น ทำให้ใบหน้าของเขาดูมีมิติมากขึ้น
ริมฝีปากบางมาก และมุมริมฝีปากยกขึ้นเล็กน้อย ซึ่งมักจะทำให้ผู้คนที่เห็นแล้วอดยิ้มตามไม่ได้
สรุปก็คือ มันเย้ายวนใจอย่างมาก เฉียวโยวโยวปฏิเสธข้อนี้ไม่ได้ว่าสำหรับเธอแล้วเขาเป็นผู้ชายที่ตอบสนองสุนทรียศาสตร์ทั้งหมดสำหรับเธอจริง ๆ
เธอเงยหน้าขึ้นมองเขา มองจนทำให้เธอเมื่อยคอเล็กน้อย ดังนั้นเธอจึงขยับศีรษะเล็กน้อย
เขารู้สึกถึงการเคลื่อนไหว และค่อย ๆลืมตาขึ้น
“เช้าแล้ว เจ้าโยวเด็กโง่ ” ในขณะที่ฟู่สีเกอพูดอยู่นั้น เขาเอนตัวลงและจูบบนหน้าผากทุยของเฉียวโยวโยว
จู่ ๆเธอก็รู้สึกราวกับว่าพวกเขานั้นกำลังมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกันอยู่ยังไงยังงั้นแหละ ความคิดนี้ทำให้เฉียวโยวโยวตกใจ เธอรีบดึงสติของตัวเองกลับมา และพูดอย่างสงบกับเขาว่า: “อรุณสวัสดิ์ เสื่อฤดูร้อน ”
เขาลืมตาและดวงเบิกกว้างทันทีเพราะคำพูดของเธอ: “เสื่อฤดูร้อน?” เขาถาม น้ำเสียงของเขาไม่พอใจเล็กน้อย
“สือจิ่นก็เรียกแบบนี้ด้วยไม่ใช่เหรอ?” เฉียวโยวโยวกล่าวว่า: “ก็แค่เพิ่มคำว่าหล่อเข้าไปอีกตัวอักษรหนึ่งก็จบละ”
“เสื่อหล่อฤดูร้อน เจ้าโยวเด็กโง่ อืม มันก็เข้ากันดีเนอะ” ฟู่สีเกอยกริมฝีปากขึ้น: “งั้นก็เรียกแบบนี้แล้วกันเนอะ!”
ดูเหมือนโดนเขาฉวยโอกาสแกล้งอีกแล้ว ……
เฉียวโยวโยวเม้มริมฝีปาก: “ฉันจะลุกจากที่นอนแล้ว คุณก็คิดหาทางออกด้วยตัวเองแล้วกันนะ”
“อืม” ฟู่สีเกอกระชับแขนของเขา: “ให้ผมขอกอดอีกสักพักนะ”
เขาบังคับให้เธอนอนเป็นเพื่อนกับเขาอยู่บนเตียงสักพัก ก่อนจะปล่อยตัวเฉียวโยวโยวออก: “คุณออกไปก่อนเถอะ ทิ้งผมไว้คนเดียวแบบนี้แหละ”
เฉียวโยวโยวสวมรองเท้าและกำลังจะจากไป ทันใดนั้น เมื่อนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ เธอจึงหันไปหาฟู่สีเกอด้วยความตื่นตระหนกอย่างประหม่าเล็กน้อยแล้วพูดว่า: “ถ้าคุณจะปืนข้ามกำแพง คุณต้องระมัดระวังให้มากนะ ระวังอย่าให้ล้มล่ะ!”
ดวงตาของเขาเป็นประกาย และท่าทางที่โค้งของมุมปากก็ชัดเจนมากขึ้น ฟู่สีเกอเอนตัวเข้าไปหาและจูบริมฝีปากของเฉียวโยวโยว: “โอเค ผมจะไม่ปล่อยให้คุณเป็นหญิงม่ายหรอกนะ”
หูของเธอเปลี่ยนเป็นสีแดงทันที หญิงม่ายอะไรกัน? เธอกับเขาไม่ใช่ความสัมพันธ์แบบนั้นกันซะหน่อย!
ทันทีที่เฉียวโยวโยวเดินออกไป เธอเห็นฟู้เจียนปอพิงผนังรออยู่ที่ทางเดิน เธออดไม่ได้ที่จะตื่นตระหนกและร่างกายของเธอก็รู้สึกชาไปทั้งตัว
“โยวโยว คุณตื่นแล้วเหรอ?” ฟู้เจียนปอเห็นเฉียวโยวโยวและเดินตรงเข้าไปหาเธอ
เฉียวโยวโยวไม่แน่ใจว่าตัวเองนั้นได้ล็อคประตูแล้วหรือยัง และยิ่งกังวลมากขึ้นไปอีกกลัวว่าฟู้เจียนปอจะผลักประตูเข้าไปในห้องและพบกับฟู่สีเกอ
ร่างกายของเธอแข็งทื่อทั้งตัว และมุมริมฝีปากของเธอดึงรอยยิ้มที่ผิดธรรมชาติออกมา: “เจียนปอทำไมคุณถึงมาอยู่ที่นี่ละคะ พวกเขาอยู่ที่ไหนกัน?”
ฟู้เจียนปอกล่าวว่า :“พวกเขาตื่นกันหมดแล้ว เหลือแต่คุณและฟู่สีเกอที่ยังไม่ตื่น โยวโยว ผมคิดว่าเมื่อคืนนี้เสี่ยวถางนอนกับคุณเสียอีก!”
“ในตอนแรกก็ใช่ แต่หลังจากเสี่ยวถางตื่นขึ้นมาเข้าห้องน้ำกลางดึก ก็ถูกพี่สือแย่งตัวกลับไปแล้ว ดังนั้นก็เหลือเพียงแค่ฉันคนเดียวค่ะ”ในขณะที่เฉียวโยวโยวพูดอยู่นั้น เธอรู้สึกว่าหัวใจของเธอเริ่มกระวนกระวายขึ้นอีกครั้ง
เธอเป็นแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ความสัมพันธ์แบบรักสามเศร้าแบบนี้ นี่เธอกลับยังเรียนรู้ที่จะโกหกอย่างต่อเนื่องแบบนี้อีก?
“อืม” ฟู้เจียนปอพยักหน้า: “พวกเขาทั้งหมดอยู่ข้างล่างแล้ว ถ้างั้นเราลงไปกันเถอะ!”
เฉียวโยวโยวถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก และจู่ ๆ ฟู้เจียนปอก็หยุดเดินและพูดว่า: “ใช่สิ ประตูของคุณมีปัญหาไม่ใช่เหรอ ผมไปดูให้คุณก่อนดีไหม นี่เป็นครั้งแรกที่มาพักบ้านของเสี่ยวถาง ก็ทำประตูบ้านคนอื่นพังแล้วแบบนี้ไม่ได้นะ?”
เฉียวโยวโยวตกใจมากเธอรีบส่ายหัวอย่างรวดเร็ว: “ไม่เป็นไรค่ะ แค่แตะโดนประตูหน่อยเดียวเอง ก็ประตูมันสวยดี”
ในขณะนี้ ฟู้เจียนปอวางมือบนลูกบิดประตูแล้ว เขากำลังจะหมุนลูกบิดประตูแต่เฉียวโยวโยวก็รั้งเขาไว้: “ฉันตื่นสายมากพออยู่แล้ว อย่าเสียเวลาอีกเลยนะคะ เกรงว่าเจ้าของบ้านจะรอแขกอย่างพวกเรานะคะ ”
ฟู้เจียนปอคิดอยู่ครู่หนึ่งและพยักหน้า: “เอาล่ะ คุณพูดก็ถูก ไปกันเถอะ”
ในที่สุดหัวใจที่ตื่นตระหนกอย่างสุดขีดของเฉียวโยวโยวก็โล่งอกทันที
ทั้งสองลงไปข้างล่างด้วยกัน หลานเสี่ยวถางมองไปที่เฉียวโยวโยว ยิ้มพร้อมพูดว่า: “โยวโยวเมื่อคืนเธอดื่มมากเกินไปใช่ไหม?ลุกไม่ไหวแล้วละสิ ใช่ไหม!”
เฉียวโยวโยวยิ้ม: “ใช่จ๊ะ ดูเหมือนว่าฉันจะคออ่อนมากเลยล่ะ!”
“โยวโยว รีบมาทานอาหารเช้ากันเถอะ ฉันเป็นคนทำเอง ทานรองท้องไปก่อนนะ เดี๋ยวมื้อเที่ยงเราค่อยจัดมื้อหนักกัน ” ในขณะที่หลานเสี่ยวถางพูดอยู่นั้น ก็ดึงเก้าอี้ออกมาให้เฉียวโยวโยว
ในขณะนี้สือมูเฉินเดินเข้ามา และหลานเสี่ยวถางเห็นว่ารอยยิ้มของเขาเหมือนมีอะไรแอบแฝง เธอจึงอดไม่ได้ที่จะถามว่า: “มูเฉิน มีเรื่องอะไรหรือเปล่าคะ ทำไมดูคุณมีความสุขจัง?”
สือมูเฉินกล่าวว่า: “เสี่ยวถาง คุณแม่ของผมเพิ่งโทรมาเมื่อกี้นี้ว่า และท่านบอกว่าวันนี้ท่านได้นัดกับเพื่อน ๆไปเที่ยวห้างสรรพสินค้ากัน และท่านเห็นสร้อยข้อมืออันหนึ่ง และถามผมเกี่ยวกับขนาดข้อมือของคุณด้วยล่ะ?”
หลานเสี่ยวถางรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมา วันนั้นโจวเหวินซิ่วแสดงออกมาด้วยความเป็นมิตรอย่างมาก แต่ไม่คาดคิดเลยว่าท่านจะมีความคิดที่จะซื้อของขวัญให้เธอแบบนี้?
เธอบอกขนาดข้อมือของเธอให้กับสือมูเฉิน เมื่อเห็นเขามีสีหน้าท่าทางที่ดีใจและมีความสุขขณะโทรศัพท์กลับไปหาท่าน และเธอก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกมีความสุขตาม
หากเธอสามารถมีความสัมพันธ์ที่ดีกับโจวเหวินซิ่วได้จริง ๆ ถ้าเช่นนั้นก็อาจกล่าวได้ว่าการแต่งงานของเธอนั้นสมบูรณ์แบบที่สุดแล้ว
ในขณะนี้ โทรศัพท์มือถือของหลานเสี่ยวถางก็ดังขึ้น เมื่อเห็นว่าเป็นหมายเลขโทรศัพท์ของคนส่งพัสดุด่วนปรากฏอยู่ เธอจึงกดสายรับและพูดว่า :”สวัสดีค่ะ”
ชายที่อยู่ปลายสายพูดขึ้นว่า: “ขอโทษนะครับ ใช่คุณหลานเสี่ยวถางหรือเปล่าครับ ?ผมเป็นพนักงานส่งพัสดุด่วนนะครับ ตอนนี้ผมอยู่หน้าประตูคฤหาสน์แล้วนะครับ คุณสามารถลงมารับพัสดุด่วนหน่อยได้ไหมครับ!”
หลานเสี่ยวถางสับสนเล็กน้อย: “พัสดุด่วนของฉัน?ตอนนี้คุณอยู่ในคฤหาสน์หนิงเจียงเหรอคะ”
“ใช่ครับ ผมอยู่ที่หน้าประตู” ขณะที่พนักงานส่งพัสดุพูดจบ กริ่งประตูก็ดังขึ้นในคฤหาสน์
หลานเสี่ยวถางรู้สึกประหลาดใจอย่างมาก เมื่อเธอเห็นสือมูเฉินยังคงคุยโทรศัพท์อยู่ เธอรีบพูดกับฟู้เจียนปอว่า “:เจียนปอ คุณไปดูที่ประตูเป็นเพื่อนฉันหน่อยค่ะ กลัวว่าจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น ”
ทั้งสองลงไปพร้อมกัน และพนักงานส่งของพัสดุด่วนก็ขอให้หลานเสี่ยวถางเซ็นชื่อรับพัสดุจากนั้นก็จากไป
ฟู้เจียนปอก้มลงเตรียมจะหยิบกล่องขึ้นมา
อย่างไรก็ตาม เมื่อเขายกมันขึ้นมาเขารู้สึกว่ามันค่อนข้างหนักมาก เขาตะลึงไปครู่หนึ่งและพูดอย่างสับสนว่า :”ในกล่องนี้บรรจุเหล็กหรือเปล่าเนี่ย?!”
หลานเสี่ยวถางเหลือบมองไปยังที่อยู่บนกล่อง ผู้ส่งด้านบนนั้นว่างเปล่า เธออดไม่ได้ที่จะกังวลเล็กน้อย: “เราควรจะเปิดมันอย่างระมัดระวัง ฉันกลัวว่ามันจะเป็นการเล่นอะไรแผลง ๆ?”
“โอเค” ฟู้เจียนปอเอากุญแจไขเพื่อเปิดกล่อง และเห็นว่ากล่องนั้นมีตู้เซฟที่ต้องใส่รหัสผ่านอยู่ตู้หนึ่ง
ในเวลานี้ โทรศัพท์มือถือของหลานเสี่ยวถางสั่นขึ้น เธอหยิบขึ้นมาและเห็นว่าเป็นตัวเลขหกหลักปรากฏอยู่บนหน้าจอ
เธอกดรหัสบนตู้เซฟใบนั้นตามตัวเลขบนหน้าจอโทรศัพท์ และได้ยินเพียงเสียงบี๊บเล็กน้อย ตู้เซฟนั้นก็ถูกเปิดออก
ฟู้เจียนปอเดินเข้าไปและเปิดมันอย่างระมัดระวัง
ในเวลานี้แสงแดดก็แรงจ้ามาก เมื่อแสงนั้นส่องมายันสิ่งของในกล่องนั้นทำให้หลานเสี่ยวถางตกใจมากเพราะมันเต็มไปด้วยเครื่องประดับทองคำบรรจุอยู่เต็มตู้เซฟ!