บทที่ 212 ชมหรือด่า

พลิกชะตาหมอยา

“นี่คือคุณหนูรองของจวนเฉิงเซี่ยงผู้นั้นหรือ ? หญิงผู้โง่เขลาที่ไร้ความสามารถและอ่อนแอ ? ข้าว่านางดูไม่เหมือนพวกขี้ขลาดเลยสักนิด กล้าเผชิญหน้ากับพ่อบังเกิดเกล้าของตนเอง ซ้ำยังกล้าท้าทายองค์รัชทายาทอีกด้วย”

“คนที่แต่งเข้าจวนอ๋องเจ็ดก็คือคุณหนูรองหนานกงเยว่ลั่ว ผู้ที่ยนอยู่ตรงหน้าผู้นี้”

“เมื่อก่อนได้ยินมาว่านางหลงรักองค์รัชทายาทจนหัวปักหัวปำ เมื่อรู้ว่าตนเองไม่อาจแต่งงานกับองค์รัชทายาทได้ ก็รู้สึกจะเป็นจะตายมิใช่หรือ ? แล้วทำไมตอนนี้ถึงไร้ความเคารพต่อองค์รัชทายาทเช่นนี้ หรือเป็นเพราะความรักก่อให้เกิดความแค้น ?”

“ข้าได้ยินมาว่า เมื่อก่อนพระชายาอ๋องเจ็ดไม่พึงพอใจในตัวอ๋องเจ็ดที่มีร่างกายพิการ จึงเป็นกำแพงหนีอย่างโจ๋งครึ่มจนเกือบถูกอ๋องเจ็ดจับหักขา แต่เจ้าดูสิ สองคนนี้กล้าจูงมือกลางวันแสก ๆ เช่นนี้ นี่จะเรียกว่าความสัมพันธ์ไม่แน่นแฟ้นได้อย่างไร ?”

คนเหล่านี้พูดจากันเสียงเบา แต่ก็ยังไม่อาจพ้นหูของจ้านเป่ยเซียวได้ ทันทีที่เขากวาดสายตามา ก็รู้สึกเย็นวาบที่ลำคอ จากนั้นเสียงก็เงียบลงทันที และไม่กล้าพูดอะไรต่ออีก

หลังจากเฟิ่งชิงหัวพูดจบ จ้านถิงเฟิงและเฉิงเซี่ยงก็ไม่พูดอะไรต่ออีก เฟิ่งชิงหัวจึงจูงมือของจ้านเป่ยเซียว แล้วเดินออกไปจากกรมคลังทันที

ตลอดทางที่เดินมา จ้านเป่ยเซียวไม่หันมองใครสักคน ทำเพียงเดินตามที่เฟิ่งชิงหัวจูงไป สายตาคอยจับจ้องอยู่ที่มือของทั้งสองที่กุมกันอยู่ มุมปากโค้งเล็กน้อย แสดงให้เห็นว่าเขากำลังอารมณ์ดี

อารมณ์ดี ?

เข้าไปในกรมคลังอย่างไร้เหตุผล อ๋องเจ็ดที่รอดพ้นจากการถูกกล่าวโทษอย่างหวุดหวิด ไม่เพียงไม่รู้สึกโมโหจนคิดอยากสังหารคนเท่านั้น แต่กลับปรากฏรอยยิ้มขึ้นบนใบหน้าอีกด้วย

นี่มันท่าทีประหลาดอะไรกัน ?

จ้านเป่ยเซียว บุคคลผู้ซึ่งทั่วทั้งเทียนหลิงไม่กล้าเอ่ยถึง

สิบห้าปีก้าวเข้าสู่สนามรบ ใช้วิธีการสังหารที่เด็ดขาดทำให้เหล่าแม่ทัพยอมจำนน ทำให้ประเทศอื่นรู้สึกหวาดกลัว ขยายอาณาเขตของเทียนหลิงให้กว้างใหญ่ขึ้นภายในระยะเวลาห้าปี

หากมิใช่เพราะเขาได้รับบาดเจ็บสาหัสอย่างกะทันหัน จนต้องถอนตัวออกจากสนามรบ เกรงว่าตอนนี้เทียนหลิงคงกลายเป็นประเทศที่แข็งแกร่งที่สุด ไม่เพียงแต่ประเทศอื่นจะเกรงกลัวเท่านั้น แม้กระทั่งขุนนางในสราชสำนัก ก็ไม่มีใครที่จะไม่รู้สึกเกรงกลัวเขา

พวกเขาเคยเห็นเทพสังหารผู้นี้ยิ้มตั้งแต่เมื่อไรกัน ซ้ำยังปล่อยให้ผู้หญิงคนหนึ่งจูงเขาไปแต่โดยดีโดยไม่ได้ขัดขืนใด ๆ สิ่งนี่ทำให้รู้สึกยากจะเข้าใจได้

“ท่านพี่เจ็ด ท่านพี่สะใภ้เจ็ด รอข้าด้วย !” จ้านชิงอิงนึกขึ้นได้ จึงรีบตามทั้งสองคนไป

เมื่อทุกคนตั้งสติกลับมาได้ จ้านถิงเฟิงก็หันมองเฉิงเซี่ยง : “ไหนบอกว่ามั่นใจอย่างยิ่งมิใช่หรือ ?”

หนานกจี๋กัดฟัน : “หม่อมฉันกล้ารับประกันว่า คนเมื่อคืนนี้คือหนานกงเยว่ลั่วแน่นอน !”

“ลูกสาวแท้ ๆ ลอบสังหารท่าน ? พูดออกไปใครจะเชื่อ ? ไม่สู้ท่านพูดออกไปว่าจ้านเป่ยเซียวลอบสังหารท่านยังจะดูน่าเชื่อถือเสียกว่า”

“พระองค์ก็ไม่ทรงเชื่อหม่อมฉันหรือ ?” หนานกงจี๋กัดฟัน

“มิใช่ว่าข้าไม่เชื่อท่าน แต่คำพูดของท่านเอง ท่านเชื่อหรือไม่เล่า ? หากภายหน้าเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นอีก ไม่ต้องเรียกข้าแล้วนะ จะต้องไม่ต้องอับอายขายหน้าไปพร้อมกับท่าน !” จ้านถิงเฟิงพูดพลาง ก็เดินจากไปด้วยความโมโห

ด้านนอกประตูใหญ่กรมคลัง เฟิ่งชิงหัวจูงจ้านเป่ยเซียวขึ้นรถม้าไป

ขณะที่กำลังจะออกเดินทาง ด้านนอกก็มีเสียงของจ้านชิงอิงดังขึ้น : “ท่านพี่เข็ด ท่านพี่สะใภ้เจ็ด รอข้าด้วยสิ”

ขณะที่จ้างชิงอิงกำลังจะตามขึ้นรถม้าไปด้วย ก็ถูกหลิวหยิ่งขวางเอาไว้ : “ท่านอ๋องสิบสอง ที่เป็นรถม้าประจำพระองค์ของท่านอ๋องเจ็ดพ่ะย่ะค่ะ”

จ้านชิงอิงชี้ไปที่รถม้าแล้วพูดว่า : “แต่นางเองก็ขึ้นไปแล้วมิใช่หรือ ?”

“นางที่พระองค์พูดถึงคือ ?”

“ท่านพี่สะใภ้เจ็ดอย่างไรเล่า” จ้านชิงอิงพูดด้วยท่าทางมีเหตุมีผล

หลิวหยิ่งพูดด้วยความเคารพ : “ท่านพูดเองว่า นั่นคือพี่สะใภ้เจ็ดของท่าน จึงย่อมต้องขึ้นไปได้แน่นอน”

“ข้าเป็นพี่น้องกับพี่เจ็ด ไม่ควรสนิทสนมยิ่งกว่านางหรอกหรือ ?” จ้านชิงอิงไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ และเดินตรงเข้าไปตะโกนใส่รถม้า : “ท่านพี่เจ็ด ข้าเอง น้องสิบสิงอย่างไรเล่าท่านรีบดูข้าเร็วเข้า”

ม่านของรถม้าถูกเปิดออก เฟิ่งชิงหัวชะโงกหน้าออกมาครึ่งหนึ่ง และเอ่ยถามคนในรถม้าที่ปกปิดใบหน้าอยู่ครึ่งหนึ่ง : “น้องสิบสองของท่านเรียกท่านอยู่”

“ไม่สนิท” ชายหนุ่มตอบอย่างไม่แยแส

จ้านชิงอิงได้ยินดังนั้น ก็รู้สึกเหมือนหัวใจแตกดัง “เพล้ง”

ในขณะที่เขากำลังยืนใจลอยอยู่นั้น ล้อรถก็เคลื่อนตัวออกไป และทอดทิ้งเด็กหนุ่มที่ถูกทำร้ายจิตใจเอาไว้ที่เดิม

เฟิ่งชิงหัวหันหน้ามองจ้านเป่ยเซียว : “ข้าคิดว่า พวกท่านสนิทสนมกันเสียอีก”

จ้านเป่ยเซียวเหลือบมองนาง แล้วพูดเบา ๆ ว่า : “ไม่เหมือนกัน”

“ไม่เหมือนกันตรงไหน ?”

“ข้าไม่มีทางคิดจะมีอะไรกับเขา”

เฟิ่งชิงหัวลูบหน้า รู้สึกว่าตนเองนั้นถามคำถามที่โง่เขลา

นางรู้สึกเหมือนว่าอีกฝ่ายกำลังขับรถ อีกทั้งยังขึ้นทางด่วนอย่างไม่ทันตั้งตัว

เมื่อครู่เฟิ่งชิงหัวยังไม่ทันได้คิดโดยละเอียด เมื่อมีเวลาว่างมานั่งทบทวนดู ตั้งแต่เรื่องที่จ้านเป่ยเซียวไปเข้าเฝ้าโดยไร้เหตุผล ไปจนถึงเรื่องที่ผ้าแพรสีขาวถูกค้นพบ รวมไปถึงเรื่องที่กรมคลัง ดูเหมือนเป็นการกระทำโดยเจตนาทั้งสิ้น

เมื่อนึกถึงเรื่องแหวกหญ้าให้งูตื่นที่เขาเคยพูดถึงก่อนหน้านี้ หรือว่าจะเป็นเรื่องนี้กันแน่ ?

เฟิ่งชิงหัวหันมองเขา : “วันนี้ท่านจงใจให้หนานกงจี๋ค้นพบหรือ ?”

“นับว่าไม่ได้โง่เขลามากนัก”

“ท่านบอกว่าจะไม่สนใจมิใช่หรือ ?” เฟิ่งชิงหัวรู้สึกสงสัย นางกำลังคิดว่าควรทำเช่นไรดี แต่กลับคิดไม่ถึงว่าจ้านเป่ยเซียวจะจัดการเรียบร้อยแล้ว ก็ดี นางยอมรับว่าความฉลาดของเขาสูงกว่านางเล็กน้อย แต่ที่สำคัญก็คือคนเจ้าแผนการจิตใจล้วนสกปรก หญิงสาวผู้บริสุทธิ์ไร้เดียงสาอย่างนาง ย่อมไม่ใช่คู่ต่อสู้อย่างแน่นอน

จ้านเป่ยเซียวหันมองนางด้วยสายตาเย็นชา : “หากไม่สนใจ ตอนนี้เจ้าจะนั่งพูดอยู่กับข้าหรือ ?”

เฟิ่งชิงหัวพูดไม่ออก : “แต่ท่านก็ไม่จำเป็นต้องพาตนเองไปเสี่ยงอันตรายนี่ วิธีการย่อมมีมากกว่าอุปสรรคเสมอ”

“นี่เจ้ากำลังตำหนิข้าหรือ ?” จ้านเป่ยเซียวหรี่ตาลง สีหน้าดุดัน ท่าทางเช่นนั้นดูเหมือนว่า หากเฟิ่งชิงหัวกล้าพยักหน้าตอบรับ ก็พร้อมที่จะเด็ดหัวนางทิ้งทันที

แน่นอนว่าเฟิ่งชิงหัวไม่กล้า นางชูนิ้วโป้งขึ้นมาแล้วพูดว่า : “ท่านอ๋องช่างฉลาดหลักแหลม ทั้งมีไหวพริบและกล้าหาญ เจ้าเล่ห์แสนกลจริง ๆ”

จ้านเป่ยเซียวทำสีหน้าเย็นชา : “นี่เจ้ากำลังชมข้าหรือด่าข้ากันแน่”

เฟิ่งชิงหัว : “พลั้งปากไปหน่อย”

จ้านเป่ยเซียวเงยหน้าแล้วเขกหัวนาง ลงมืออย่างไร้ความปรานี เฟิ่งชิงหัวถูกเขาเคาะศีรษะจนวิงเวียน

“จ้านเป่ยเซียว ! ข้าขอสู้ตายกับท่าน !” เฟิ่งชิงหัวระเบิดอารมณ์ออกมา และกำลังจะลงมือโจมตีแก้แค้นจ้านเป่ยเซียว ทว่า ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับรถม้าด้านหน้า ตัวรถแกว่งไปมา ทำให้เฟิ่งชิงหัวที่กำลังออกแรงอย่างสุดกำลัง โผเข้าไปในอ้อมแขนของจ้านเป่ยเซียวทันที หน้าผากกระทบเข้ากับหน้ากากของชายหนุ่มอย่างแรง

กลิ่มหอมอ่อน ๆ ของดอกบ๊วยและกล้วยไม้บนตัวของจ้านเป่ยเซียว ผสมผสานกับกลิ่นหอมอ่อน ๆ ของสมุนไพรบนตัวของเฟิ่งชิงหัว ช่างเป็นกลิ่นที่น่าเย้ายวนเสียจริง ๆ

“นี่เจ้ากำลัง แก้แค้นด้วยความดีอย่างนั้นหรือ ?” เหนือศีรษะ น้ำเสียงของจ้านเป่ยเซียวแฝงไปด้วยความขบขัน ขณะที่พูดน้ำเสียงอู้อี้ หน้าอกขยับขึ้นเล็กน้อย

“เอวข้า” เฟิ่งชิงหัวล้มลงอย่างแรง จึงไม่ได้สนใจฟังสิ่งที่จ้านเป่ยเซียวพูด นางใช้แขนค้ำเพื่อลุกขึ้น แต่ดูเหมือนว่ามือจะกดทับอะไรบางอย่างอยู่ และได้ยินเสียงร้อง “ซี้ด” ดังออกมาเบา ๆ จากในลำคอของชายหนุ่ม เสียงนั้นดูเหมือนจะดังก้องอยู่ในหูของนาง ถึงขั้นที่นางสามารถรับรู้ได้ถึงลมหายใจของเขาที่เร็วขึ้นอย่างกะทันหัน

เฟิ่งชิงหัวรีบถอยหนีทันที จากนั้นจึงลูบหูและถูกแขน โดยไม่กล้าหันไปมองท่าทางของจ้านเป่ยเซียวในตอนนี้ และฉวยโอกาสเปิดม่านหน้าต่างและตะโกนเสียงดัง เพื่อกลบเกลื่อนความรู้สึกสับสนของตนเอง

“หลิวหยิ่ง ทักษะการขับรถม้าของเจ้าไม่ได้เรื่องเลยจริง ๆ เจ้ารู้ไหมว่าเจ้าเกือบทำให้ข้าต้องหกล้มจนเสียโฉมแล้ว ?” เฟิ่งชิงหัวตำหนิเสียงดัง

ทันทีที่พูดจบ ก็เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในตอนนี้

ด้านหน้าของพวกเขา มีรถม้าคันหนึ่งมาจอดขวางทางรถม้าของพวกเขาเอาไว้อยู่

“ทูลพระชายา จู่ ๆ รถม้าคันนี้ก็ขับออกมา จนหม่อมฉันเกือบจะชนเข้า” หลิวหยิ่งอธิบายเบา ๆ

“หืม ? รถม้าของใครถึงได้ใจกล้าเช่นนี้ หรือไม่รู้ว่านี่คือรถม้าของจวนอ๋องเจ็ด ?”

หลิวหยิ่งหนมองผ้าม่าน แล้วพูดเบา ๆ ว่า : “ทูลพระชายา เป็นของราชเลขาเจียงพ่ะย่ะค่ะ”