“ราชเลขาเจียงคนไหน ?” เฟิ่งชิงหัวถามกลับ
หลิวหยิ่งแสดงท่าทียากจะอธิบายได้ แล้วหันมองพระชายาที่มี “ความจำ” แย่ของตน
“เป็นรถม้าของคุณหนูเจียง คนที่ก่อนหน้านี้ เคยถูกท่านทำร้ายจนได้รับบาดเจ็บ และในภายหลังเคยถูกท่านทำให้ต้องอับอายขายหน้าที่วัดหานซานอย่างไรเล่า”
“รักฝังใจของนายท่านของพวกเจ้า ? รักแท้เล็กๆ?”
ขณะนั้นหลิวหยิ่งไม่รู้ว่าควรที่จะยอมรับหรือไม่ เพราะเขารับรู้ได้ถึงสายตาอันเย็นยะเยือก ที่กำลังจับจ้องเขามาจากทางด้านหลังอยู่
ตอนนี้เอง เฟิ่งชิงหัวหันหน้ากลับไปมองจ้านเป่ยเซียวที่นั่งอยู่ในรถม้าแล้วพูดว่า : “ท่านอ๋อง คุณหนูเจียงคงมาด้วยความเป็นห่วงท่านสินะ ? คงได้ยินว่าท่านเข้าไปในกรมคลัง ดังนั้นจึงเดินทางมาปลอบใจ ? ดูเหมือนว่ายังคงมีเยื่อใยให้กับท่านอยู่สินะ ?”
รถม้าที่จอดอยู่ตรงข้าม เจียงหยูหวันได้ลงมาจากรถม้าเรียบร้อยแล้ว จากนั้นก็มีน้ำเสียงที่ดูเป็นกังวลดังตามขึ้นมา : “ท่านอ๋อง ท่านไม่เป็นไรใช่ไหม ?”
เฟิ่งชิงหัวพูดขึ้นเบา ๆ : “คุณหนูเจียงช่างมีความรักที่เผื่อแผ่ไปทั่วจริง ๆ หากมิใช่เพราะรู้มาว่านางเคยมีไมตรีต่อองค์รัชทายาท ข้าคงต้องรู้สึกซาบซึ้งไปกับนางอย่างแน่นอน”
“ให้นางกลับไปซะ” จ้านเป่ยเซียวพูดขึ้นด้วยความรำคาญ
หลิวหยิ่งแสดงสีหน้าลำบากใจ ทำได้เพียงพูดกับคุณหนูเจียงที่อยู่ด้านนอกรถม้าว่า : “คุณหนูเจียง ตอนนี้ท่านอ๋องไม่ต้องการรับแขก พวกเราต้องรีบเดินทางกลับจวน รถกวนท่านช่วยขยับรถม้าให้ด้วย”
ใครจะไปคาดคิดว่า เจียงหยูหวันกลับตะโกนใส่รถม้าอย่างแน่วแน่ : “ท่านพี่เป่ยเซียว ข้ามีเรื่องจะคุยกับท่าน”
หลังจากเจียงหยูหวันได้ยินว่าขาทั้งสองข้างของจ้านเป่ยเซียวฟื้นฟูกลับมาเป็นปกติ ก็รีบเดินทางมาทันที นางได้ยินเรื่องที่ไทเฮาจะทรงคัดเลือกพระชายาให้กับจ้านเป่ยเซียวแล้ว และนางเองก็เป็นหนึ่งในตัวเลือก ที่เดินทางมาครั้งนี้ ก็มาเพื่อตรวจสอบความจริง
หากขาทั้งสองข้างของจ้านเป่ยเซียวหายเป็นปกติ นางก็อาจลองพิจารณาดู อย่างไรเสีย ครั้งนี้ที่ไทเฮาทรงคัดเลือกให้จ้านเป่ยเซียวคือผิงชี(ภรรยาลำดับรองต่อๆไปจากภรรยาหลวง) หากนางแต่งเข้าไป ก็มีฐานะที่ไม่ด้อยไปกว่าหนานกงเยว่ลั่ว
ส่วนหนานกงเยว่ลั่ว ตอนนี้ไม่มีเฉิงเซี่ยงคอยหนุนหลังอีกแล้ว ก็เป็นเพียงแค่ลูกสาวในนามของเฉิงเซี่ยงเท่านั้น
เฉิงเซี่ยงพุ่งเป้าไปที่องค์รัชทายาท จึงไม่มีทางช่วยเหลือจวนอ๋องเจ็ดเป็นแน่ แต่นางไม่เหมือนกัน เบื้องหลังของนางมีจวนราชเลขาคอยสนับสนุนอยู่ หากจ้านเป่ยเซียวฉลาดพอ ย่อมต้องรู้ว่าควรเข้ากับฝ่ายใด
เฟิ่งชิงหัวกระซิบเบา ๆ ข้างหูจ้านเป่ยเซียว : “ท่านพี่เป่ยเซียว ข้ามีเรื่องจะคุยกับท่าน”
เฟิ่งชิงหัวเลียนแบบน้ำเสียงของเจียงหยูหวัน ทั้งออดอ้อนและนุ่มนวล ทำให้ลมหายใจของจ้านเป่ยเซียวที่ยังไม่ทันจะสงบลง แปรปรวนขึ้นมาอย่างกะทันหัน
“เจ้ารนหาที่เองนะ” ขณะที่พูด จ้านเป่ยเซียวก็ยื่นมือออกไปดึงเฟิ่งชิงหัวมานั่งลงบนตักของตนเอง แล้วก้มหน้าลงจูบ
ปลาที่มีชีวิตชีวาแหวกว่ายอยู่ในน้ำ และเกิดเสียงดังของน้ำขึ้นเป็นระยะ ๆ
สมองของเฟิ่งชิงหัวรู้สึกว่างเปล่าไปทันที
ด้านนอกรถม้า เจียงหยูหวันเฝ้ารอจนร้อนใจ จึงเดินเข้าไปเปิดผ้าม่านในทันที
เดิมทีนางคิดว่าภายในรถม้ามีจ้านเป่ยเซียวอยู่เพียงคนเดียว แต่นางกลับคิดไม่ถึงว่า ตอนนี้ด้านในจะมีฉากอันเร่าร้อนเช่นนี้ปรากฏอยู่
เสียงฟ้าผ่าเปรี้ยงดังขึ้น ทำให้เจียงหยูหวันรู้สึกสะเทือนใจอย่างยิ่ง
หญิงสาวกำลังนั่งอยู่บนตักของชายหนุ่ม เมื่อได้ยินเสียงความเคลื่อนไหว จ้ายเป่ยเซียวก็ยิ่งกอดนางแน่นขึ้น จากนั้นจึงหันหน้าไปอย่างไม่แยแส แววตาเย็นตาคู่นั้นแทรกซึมไปด้วยความเย็นยะเยือก
หลิวหยิ่งที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ค่อย ๆ ดึงผ้าม่านลง
ดวงตาทั้งสองข้างของเจียงหยูหวันเต็มไปด้วยความตะลึงงัน แล้วพึมพำออกมาอย่างไม่อยากเชื่อสายตาตนเอง : “เป็นไปได้อย่างไร เป็นไปไม่ได้ เขาจะชอบพอนางได้อย่างไร”
นางกับจ้านเป่ยเซียวรู้จักกันมาหลายปี หลายปีมานี้ มีเพียงนางเท่านั้นที่สามารถพูดคุยกับเข้าได้หลายคำ นางเคยคิดว่า นางจะได้เป็นภรรยาของเขา นางถึงขั้นเคยคิดว่า ถึงแม้จ้านเป่ยเซียวจะพูดไม่เก่ง แต่เขาก็ชอบพอนาง
หากไม่ใช่เพราะจู่ ๆ เขาเสียโฉมและขาทั้งสองข้างพิการ ทำให้ท่านพ่อรู้สึกว่าเขาคงสูญสิ้นอำนาจ จึงส่งตัวนางออกไป นางก็คงจะเป็นภรรยาของเขาไปนานแล้ว
เจียงหยูหวันถามอย่างไม่พอใจ : “ท่านพี่เป่ยเซียว ท่านจงใจยั่วโมโหข้าใช่หรือไม่ ? ต้องการทำให้ข้าโกรธ เพราะในตอนนั้นที่ท่านได้รับบาดเจ็บ ข้าไม่ได้อยู่เคียงข้างท่าน ดังนั้นจึงจงใจทำเช่นนี้เพื่อทำให้ข้ารู้สึกเสียใจใช่หรือไม่ ?”
เฟิ่งชิงหัวที่อยู่ในรถม้ารู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก จึงยื่นมือไปผลักจ้านเป่ยเซียวออก แต่เขากลับจ้องมองเฟิ่งชิงหัวเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น : “ทำต่อ”
ทำต่ออะไรของท่าน !
เฟิ่งชิงหัวชี้นิ้วออกไปข้างนอก : “ท่านคิดจะให้นางยืนอยู่ตรงนี้อีกนานเท่าไร ?”
“หลิวหยิ่ง”
หลิวหยิ่งหันไปพูดกับเจียงหยูหวั่นทันที : “คุณหนูเจียง ท่านอ๋องและพระชายาของเราต้องรีบเดินทางกลับ ขอท่านอย่าได้ขวางทางอีกเลย”
เจียงหยูหวันยังคงยืนนิ่งไม่ขยับเขยื้อน และยังคงจ้องมองไปที่ม่านของรถม้า : “ข้าไม่เชื่อว่าท่านจะทำเช่นนี้กับข้าได้”
“ท่านให้คำมั่นสัญญาอะไรเอาไว้กับนางกันแน่ จึงทำให้นางรู้สึกว่า นอกจากนางแล้วท่านจะไม่ยอมแต่งกับหญิงอื่นอีก ?” เฟิ่งชิงหัวเลิกคิ้ว
“เปล่า”
“เปล่า ? หากไม่มีจริง ๆ นางจะเป็นเช่นนี้หรือ ?” เฟิ่งชิงหัวรู้สึกงุนงงกับท่าทางในตอนนี้ของเจียงหยูหวัน เห็นได้ชัดว่าในตอนนั้น นางเป็นฝ่ายรังเกียจที่จ้านเป่ยเซียวพิการ จึงหลีกเลี่ยงการแต่งงาน ภายหลังยังคิดจะสานสัมพันธ์กับองค์รัชทายาทอีก ทว่าตอนนี้กลับมาแสดงท่าทีของคนที่ถูกคนรักหักหลังต่อหน้าจ้านเป่ยเซียว
หรือนางคิดจะให้ผู้ชายทั้งโลกรักนาง ต่อให้นางไม่แต่งงานด้วย ก็ไม่มีสิทธิ์จะไปอยู่กับคนอื่นเด็ดขาด ชั่วชีวิตนี้จะต้องมีนางอยู่ในใจเพียงคนเดียวเท่านั้น ?
จ้านเป่ยเซียวรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย จึงอุ้มเฟิ่งชิงหัวลงจากรถม้า แล้วเหาะมุ่งหน้าไปยังจวนอ๋อง
หลิวหยิ่งผายมือออก : “คุณหนูเจียง ท่างเองก็เห็นแล้วว่านายท่านไปแล้ว ท่านยืนเฝ้าอยู่ที่นี่ก็คงไม่มีประโยชน์อะไรอีก”
เจียงหยูหวันจ้องมองไปทางที่คนทั้งสองจากไป ด้วยท่าทีเจ็บปวดและผิดหวัง
หลิวหยิ่งไม่อาจทนดูต่อไปได้ จึงเอ่ยเตือนสติขึ้นข้าง ๆ : “คุณหนูเจียง ท่านกับนายท่านเติบโตมาด้วยกันตั้งแต่เด็ก ท่านเองก็น่าจะรู้ดีว่า นายท่านเกลียดอะไรมากที่สุด”
เจียงหยูหวันใจสั่นทันที ทำไมนางจะไม่รู้ว่า สิ่งที่จ้านเป้ยเซียวเกลียดที่สุด คือการหักหลัง
“ตอนนั้นข้า……”
“คุณหนูเจียง ท่านไม่ต้องอธิบายกับข้าน้อยหรอก นายท่านรู้ดีแก่ใจทุกอย่าง ในเมื่อตอนนั้นท่านตัดสินใจไปแล้ว ก็ไม่ควรมานึกเสียใจทีหลังอีก ตอนนี้ นายท่านแต่งงานกับพระชายาแล้ว คุณหนูเจียงก็อย่าได้เข้ามาพัวพันให้มากอีกเลย”
รถม้าของตระกูลเจียงหลีกทางให้ เจียงหยูหวันเดินขึ้นรถม้าไปอย่างตกตะลึง
สาวใช้พูดขึ้นเบา ๆ ว่า : “คุณหนู ทำไมข้าน้อยเห็นท่านอ๋องจากไปเสียแล้วล่ะเจ้าคะ ? มิหนำซ้ำยังอุ้มใครบางคนไว้ในอ้อมแขนอีก ?”
เจียงหยูหวันส่ายหัว : “กลับไปคุยกับท่านแม่เถอะ ไม่มีแล้ว จ้านเป่ยเซียวรู้ทุกอย่าง เรื่องที่เกิดขึ้นในตอนนั้น เขารู้ดีทุกอย่าง”
“แต่ว่า ท่านเขาเขาเติบโตมาด้วยกันตั้งแต่เด็ก”
“ไม่ต้องพูดอีกแล้ว ในเมื่อไม่อาจหวังพึ่งจ้านเป่ยเซียวได้อีก พวกเราก็ค่อยคิดหาวิธีอื่น ข้าจะต้องเป็นพระชายาให้ได้ !”
จ้านเป่ยเซียวอุ้มเฟิ่งชิงหัวข้ามผ่านจวน แล้วเหาะลงบนเตียง
จ้านเป่ยเซียวกำลังเตรียมที่จะสานต่อรอบจูบบนรถม้าที่ยังไม่จบ ใครจะไปคิดว่า ขณะที่ก้มหน้าลงกลับพบว่า หญิงสาวที่ถูกอุ้มอยู่ในอ้อมแขนของเขานั้น หุบขาเข้าหากันอย่างมิดชิดนานแล้ว อีกทั้งยังส่งเสียงกรนออกมาเบา ๆ อย่างไม่อาจอธิบายได้
ขนตางอนงามของเฟิ่งชิงหัว ตอนนี้ขยับเบา ๆ ตามจังหวะของลมหายใจ ริมฝีปากมีสีแดงระเรื่อ มือทั้งสองข้างยังจับอยู่ที่อกเสื้อของจ้านเป่ยเซียวเบา ๆ
จ้านเป่ยเซียวยกมือขึ้นลูบที่ปลายจมูกของเฟิ่งชิงหัว : “แกล้งหลับใช่ไหม ?”
ไม่มีการตอบสนองใด ๆ หญิงสาวที่อยู่ในอ้อมแขนถึงขั้นย่นจมูกเล็กน้อย และยิ่งขยับเข้าใกล้เขา
จ้านเป่ยเซียวรู้สึกจนใจ จึงวางนางลงเบา ๆ จากนั้นจึงห่มผ้าให้จนเรียบร้อยแล้วลุกขึ้น เมื่อออกไปถึงด้านนอก ก็สั่งข้ารับใช้ว่า : “เตรียมหญ้าอ้ายเฉ่า อาบน้ำ”
เมื่อหลิวหยิ่งขี่รถม้ากลับมาถึงจวน แล้วได้ยินว่าท่านอ๋องกำลังรมควันอ้ายเฉ่า ก็แทบจะคุกเข่าทั้งสองข้างลง
ท่านอ๋องเชื่อเรื่องพวกนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน คงไม่ได้เชื่อในสิ่งที่พระชายาพูดจริง ๆ หรอกนะ รมควันอ้ายเฉ่าขับไล่สิ่งอัปมงคล ?