บทที่ 166 เยาะเย้ย

บทที่ 166 เยาะเย้ย

เด็กชายเห็นความไม่พอใจของกู้จือเหวิน จึงต้องการเอาใจ และพูดกับพี่น้องกู้หนิงอันทั้งสองคนว่า “ข้าได้ยินมาว่าพวกเจ้ามาจากหมู่บ้านอู๋ซีและก็ได้ยินด้วยว่าพ่อแม่เสียชีวิตไปแล้ว ทำไมพวกเจ้าถึงมีเงินมาสำนักศึกษาล่ะ?”

กู้หนิงผิงได้ยินก็รู้ถึงเจตนาของคนผู้นี้อย่างชัดเจน เขากำหมัดแน่นและกำลังจะออกมาข้างหน้า

กู้หนิงอันรีบคว้าเขาไว้ หมายความว่าเขาไม่ควรหุนหันพลันแล่น

เมื่อเด็กชายคนนั้นเห็นกู้หนิงอันดึงกู้หนิงผิงเอาไว้ ก็คิดว่าสองพี่น้องกลัวตนเองจึงพูดจาโอหังมากขึ้น “ข้าพูดว่าจือเหวินจะมีญาติที่ยากจนอย่างพวกเจ้าได้อย่างไร? แค่เห็นก็ไม่อยากอาหารแล้ว ยากจนเช่นนี้แล้วจะมาเรียนทำไม? รีบกลับไปเลี้ยงวัวเถอะ”

“ฮ่า ๆๆ……” เมื่อคนรอบข้างได้ยินดังนั้นก็หัวเราะเยาะเย้ยออกมาและชี้ไปที่พี่น้องกู้หนิงอัน

กู้หนิงผิงไม่สามารถอดทนได้อีกต่อไปและตะโกนว่า “หัวเราะกันพอหรือยัง!”

กู้หนิงอันไม่ต้องการสร้างปัญหา พวกเขามาเพื่อศึกษา ไม่ใช่มาทะเลาะ ยิ่งกว่านั้น พวกเขายังเด็กเกินไป คนตรงหน้ามีหลายคน หากพวกเขาลงมือจริง ๆ ก็จะมีแต่พวกเขาเท่านั้นที่ทนทุกข์ทรมาน!

ดังนั้นกู้หนิงอันจึงสงบสติอารมณ์ จับมือกู้หนิงผิงและกำลังจะจากไป แม้ว่ากู้หนิงผิงจะไม่ระงับอารมณ์ได้ แต่เขาเข้าใจสิ่งที่พี่ชายของเขาหมายถึง เขาไม่ต้องการสร้างปัญหาและไม่อยากทำให้พี่สาวของเขาเสียใจ

คนรอบข้างไม่ปล่อยพวกเขาไปง่าย ๆ พวกเขารีบล้อมพวกกู้หนิงอันไว้เพื่อป้องกันไม่ให้พวกเขาออกไป

“พวกเจ้า……” กู้หนิงผิงเป็นคนค่อนข้างใจร้อน เมื่อเห็นว่าตนเองไม่ต้องการที่จะยั่วยุพวกเขา แต่พวกเขาก็ยังไม่ยอมปล่อยพวกตนไปจึงกำหมัดแน่น

“ยังพูดไม่จบเลย พวกเจ้าจะรีบไปไหน!” เด็กชายที่อยู่รอบ ๆ กล่าวต่อ “ข้าได้ยินมาว่าการเรียนของเจ้าค่อนข้างดี! ทำไมเจ้าถึงอยากสอบซิ่วไฉล่ะ? และยังต้องการสอบจวี่เหริน? อยากเป็นข้าราชการอย่างนั้นหรือ? ท่าทางเช่นนี้ยังอยากจะเป็นข้าราชการ? ฮ่า ๆ อย่างนั้นก็พึ่งขาที่เปื้อนโคลน*[1] ของเจ้าสิ ถ้าสอบซิ่วไฉได้ ข้า หลี่กุ้ยจะเขียนชื่อสลับกัน!”

*[1] หมายถึงการพึ่งพาความฉลาดของตัวเองเท่านั้น

“ฮ่า ๆๆ หลี่กุ้ย ถ้าพวกเขาสอบซิ่วไฉได้จริง อย่างนั้นเจ้าจะชื่ออะไร? ชื่อกุ้ยหลี่อย่างนั้นหรือ?”

“เชอะ ๆๆ จะเรียกกุ้ยหลี่ก็เรียกกุ้ยหลี่ นี่มันเรื่องอะไรกัน” หลี่กุ้ยไม่สนใจคนที่ล้อเลียนเขาเมื่อสักครู่ เมื่อกลับมามองกู้จือเหวินอีกครั้ง เขาก็พูดอย่างอิจฉาว่า “จือเหวินของพวกเราเป็นผู้สมัครที่มีความสามารถ และการสอบซิ่วไฉครั้งนี้ก็เป็นการตอกตะปูไว้บนกระดาน*[2]”

*[2] หมายถึง เรื่องที่แน่นอน

“ใช่แล้ว ๆ จือเหวินของพวกเราเก่งที่สุด!” คนรอบข้างพากันยกยอจนคางของจือเหวินแทบจะยื่นไปบนท้องฟ้า

“อาจารย์น้อยของพวกเราได้รับการยอมรับให้เป็นบัณฑิตเมื่ออายุสิบเอ็ดปี นั่นคือบัณฑิตที่อายุน้อยที่สุดในเมืองหลิวเจียของพวกเรา และจือเหวินของเราอายุเพียงเก้าขวบ และจะเข้าสอบซิ่วไฉในปีหน้า ถ้าสอบผ่านกู้จือเหวินของเราก็จะกลายเป็นบัณฑิตที่อายุน้อยที่สุดในเมืองหลิวเจียแห่งนี้!”

“ใช่ ๆ จือเหวินของเราน่าทึ่งมาก!”

กู้หนิงอันยืนตัวตรง ก้มศีรษะลงเล็กน้อย และมองไปที่พื้นข้างหน้าเขา ไม่ว่าผู้คนรอบตัวจะดูถูกพวกเขาเช่นไร ก็ราวกับว่าพวกเขาไม่ได้ยิน

เป็นเหมือนต้นสนที่ยืนต้นตรงบนหน้าผา

สวีเซียนหลินและสวีเฉิงเจ๋อที่เฝ้าดูอยู่ไม่ไกลนัก และสิ่งที่เด็กพวกนั้นพูดทุกคำก็ส่งไปถึงหูของพวกเขา

“กู้หนิงอันคนนี้จะมีอนาคตที่สดใส!” สวีเซียนหลินมองดูเขาอย่างเห็นด้วย เขาไม่แสดงความโกรธออกมาต่อหน้าการดูถูกเหยีดหยามนี้ เขาสงบและใจกว้าง นี่นับเป็นความสามารถที่ดีเยี่ยม

“ขอรับ ท่านพ่อ น่าทึ่งมากที่เด็กอายุหกขวบสามารถสงบสติอารมณ์ได้!” สวีเฉิงเจ๋อไม่ตระหนี่คำชื่นชม

“ครอบครัวของพวกเขาน่าทึ่งมาก!” สวีเซียนหลินกล่าวอย่างร่าเริงพลางลูบเคราของเขา

“ท่านพ่อ ท่านว่าอย่างไร?” สวีเฉิงเจ๋อรีบถาม

“เจ้าเจอพี่สาวของพวกเขาแล้วใช่หรือไม่?”

“ขอรับ ครั้งที่แล้วที่หนิงอันและหนิงผิงมาที่ชั้นเรียนในวันแรก ดูเหมือนว่าพี่สาวของพวกเขาจะมาส่ง เด็กหญิงอายุแปดเก้าขวบคนนั้น ข้าเคยเจอแล้ว!” สวีเฉิงเจ๋อจำได้เพียงว่าเด็กหญิงตัวเล็กหน้าตาสะสวยคนนั้นยิ้มให้กับตนเอง

“อย่าดูถูกสาวน้อยคนนั้น ความคิดในหัวของนางถึงกับโน้มน้าวข้าได้!” สวีเซียนหลินยิ้มและบอกสวีเฉิงเจ๋อก่อนจากไป “จับตาดูไว้ให้ดี ถ้าพวกเขาลงมือทำอะไร อย่าปล่อยให้สองพี่น้องเดือดร้อน”

“ทราบแล้วขอรับท่านพ่อ! ” สวีเฉิงเจ๋ออยากรู้อยากเห็นมากว่าเด็กหญิงอายุแปดเก้าขวบคนนั้นโน้มน้าวใจพ่อของเขาได้อย่างไร สวีเซียนหลินกำลังยุ่งอยู่กับการออกไปทำธุระข้างนอก และสวีเฉิงเจ๋อก็ไม่ได้ถาม แค่รอวันที่จะได้ถามกู้หนิงอันคนนี้

หลี่กุ้ยเห็นว่าเขาหยุดทั้งสองได้แล้ว กู้หนิงผิงนั้นดีหน่อยที่เขาสามารถเห็นความโกรธบนใบหน้าได้ แต่กู้หนิงอันนั้นดูไม่ออกเพราะไม่มีการแสดงออกเลย มันทำให้หลี่กุ้ยรู้สึกผิดหวังอย่างมาก!

“เฮ้ เจ้าเป็นหุ่นไม้หรือ! พูดอะไรหน่อยสิ!” เห็นได้ชัดว่าหลี่กุ้ยต้องการยั่วยุกู้หนิงอัน เมื่อเห็นว่ากู้หนิงอันไม่สนใจเขา เขาจึงก้าวไปข้างหน้าและเอามือจิ้มไหล่

หลี่กุ้ยอายุสิบกว่าปีแล้ว ในขณะที่กู้หนิงอันอายุเพียงหกขวบและยังผอมแห้งแรงน้อย เมื่อหลี่กุ้ยใช้มือของเขาจิ้มอย่างแรง กู้หนิงอันก็รู้สึกเจ็บและเดินถอยหลังไปสองสามก้าว

“เจ้าทำอะไร! รังแกพี่ชายของข้าทำไม!” กู้หนิงผิงเห็นว่าพี่ชายของเขาเสียเปรียบก็ไม่อาจระงับโทสะในใจได้อีกต่อไป เขาก้าวไปข้างหน้าและผลักหลี่กุ้ย

แม้กู้หนิงผิงยังเด็ก แต่เขาก็เป็นเด็กในชนบท และคุ้นเคยกับการทำเกษตร ดังนั้นเขาจึงมีกำลังมาก

หลี่กุ้ยเดินโซเซและถอยหลังไปสองสามก้าว เมื่อเขานึกถึงนักเรียนที่มากับเขาข้างหลังเขา เขาจึงคิดว่าพวกนั้นจะรับเขาไว้

แต่ไม่คาดคิดว่าคนเหล่านั้นจะพากันสลายตัวและหัวเราะเยาะ ทุกคนที่ยืนอยู่ข้างหลังหลี่กุ้ยก็วิ่งไปด้านข้าง โดยไม่มีใครยืนอยู่ข้างหลังเขา ทำให้หลี่กุ้ยที่ถอยหลังสองก้าวล้มลงกับพื้น

“โอ๊ย ……” เขาล้มก้นกระแทกพื้นจ้ำเบ้า

หลี่กุ้ยโกรธและตะโกนขึ้น “ไอ้พวกบ้านนอก ไอ้พวกขาโคลน!”

เมื่อกู้หนิงอันเห็นหลี่กุ้ยตะโกนโหวกเหวกเพื่อดูถูกตน เขาก็ยังคงสีหน้านิ่งสงบ แต่สายตาเย็นชาได้มองไปยังหลี่กุ้ยที่ทั้งโกรธและอับอาย “ข้าขาโคลนแล้วอย่างไร? ข้าเป็นคนบ้านนอกแล้วอย่างไร?”

กู้หนิงอันหยุดสักครู่และเหลือบมองทุกคนที่อยู่ตรงนั้น คนเหล่านั้นไม่คิดว่าในที่สุดกู้หนิงอันจะพูดออกมา จึงตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง ในขณะที่ทุกคนกำลังตกตะลึง กู้หนิงอันยังคงกล่าวต่ออย่างเย็นชาว่า “ข้าคิดว่าทุกคนที่นี่ ถ้านับขึ้นไปสามชั่วอายุคน ครอบครัวของพวกเจ้าก็คงจะเป็นพวกบ้านนอกและขาโคลนเช่นกัน!”

………………………………………………………………………………………………………………………..

สารจากผู้แปล

อย่าให้หนิงอันตอกกลับนะ ตอบแบบนิ่ง ๆ แต่แทงใจดำเลยนะคะ

ไหหม่า(海馬)