บทที่ 167 ในที่สุดก็รู้

ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย

บทที่ 167 ในที่สุดก็รู้

บทที่ 167 ในที่สุดก็รู้

น้ำเสียงของกู้หนิงอันช่างแผ่วเบา หลี่กุ้ยเห็นว่าในที่สุดกู้หนิงอันก็เปิดปากพูดแล้ว แต่กู้หนิงอันคนนี้ไม่ได้พูดอะไรไร้สาระ เมื่อเขาเปิดปาก เขาก็จี้จุดเจ็บปวดของทุกคนเข้าอย่างจัง

และเป็นเช่นนั้น ครอบครัวของหลี่กุ้ยมีพื้นเพมาจากชนบท แต่ในรุ่นพ่อของเขาได้มาตั้งรกรากในเมืองเหมือนกับคนอื่น ๆ เช่นเดียวกับกู้จือเหวินที่ทะนงตนจนจะลอยขึ้นฟ้าในวันนี้ แต่ครอบครัวของเขาก็เป็นชาวนามาก่อนไม่ใช่หรือ?

ตามความหมายของกู้หนิงอันก็คือ พวกเขาต่างขาเปื้อนโคลนกันทั้งหมด แล้วจะมาดูถูกกู้หนิงอันและกู้หนิงผิงได้อย่างไร?

อย่างไรก็ตาม หลี่กุ้ยกลับไม่คิดอย่างนั้น เขาคิดว่าที่กู้หนิงอันพูดเช่นนี้เพราะต้องการดูถูกพวกเขา

หลี่กุ้ยกล่าวอย่างโกรธเคือง “ฮึ่ม แล้วถ้าเคยขาเปื้อนโคลนแล้วอย่างไร? แต่ตอนนี้เราอาศัยอยู่ในเมือง ดูกู้จือเหวินลูกพี่ลูกน้องของเจ้าสิ ครอบครัวของพวกเขามีบ้านหลังใหญ่อยู่ในส่วนที่เจริญรุ่งเรืองที่สุดของเมือง แล้วครอบครัวของเจ้าล่ะ? พ่อแม่ตายเร็ว พวกหัวไชเท้าน้อยเอ๊ย พวกเจ้าจะใช้อะไรซื้อบ้านในเมืองกันล่ะ! ถึงจะขายพวกเจ้าทั้งสี่คนไปก็คงไม่สามารถซื้อบ้านในเมืองได้หรอก!”

หลี่กุ้ยคิดว่าตนเองจี้จุดเจ็บปวดของกู้หนิงอันได้ เขาจึงกล่าวอย่างภาคภูมิใจ

“ฮ่า ๆๆๆ……” ผู้คนรอบ ๆ หัวเราะและมองกู้หนิงอันและกู้หนิงผิงอย่างดูถูก

หลังจากที่กู้หนิงอันได้ยิน เขาไม่ได้กังวลหรือรำคาญ แต่ยิ้มและกล่าว “ไม่สามารถซื้อบ้านหลังใหญ่ในเมืองได้แล้วอย่างไร? ท้องทุ่งสมบูรณ์นับพันกลับกินข้าวได้เพียงสามมื้อ คฤหาสน์นับหมื่นกลับนอนได้เพียงบนเตียงกว้างสามฉื่อ”

สวีเฉิงเจ๋อให้ความสนใจอย่างใกล้ชิดกับการเคลื่อนไหวที่นี่ ทันทีที่กู้หนิงอันพูดออกมา สวีเฉิงเจ๋อก็เงี่ยหูฟังและเริ่มสนใจ

เมื่อสักครู่กู้หนิงอันพูดว่าอย่างไรนะ?

ท้องทุ่งสมบูรณ์นับพันกลับกินข้าวได้เพียงสามมื้อ คฤหาสน์นับหมื่นกลับนอนได้เพียงบนเตียงกว้างสามฉื่อ

นี่……

สวีเฉิงเจ๋อพลิกพจนานุกรมบทกวีมากมาย แต่ทำไมเขาไม่เคยเห็นประโยคนี้

สวีเฉิงเจ๋อรู้สึกคันยุบยิบในใจเล็กน้อย กู้หนิงอันเคยได้ยินจากที่ใดกันแน่ แม้ว่าเขาจะไม่เคยได้ยินมัน แต่ความหมายก็ชัดเจนมาก

ต่อให้มีบ้านหลังใหญ่แค่ไหน? ตอนกลางคืนก็นอนได้บนเตียงกว้างสามฉื่อเท่านั้น

มีทุ่งนาที่อุดมสมบูรณ์มากมายขนาดไหน? ก็กินข้าวได้แค่สามมื้อต่อวัน

สวีเฉิงเจ๋ออดไม่ได้ที่จะสนใจเด็กชายอายุหกขวบคนนี้มากขึ้น

ไม่รู้ว่าสิ่งที่กู้หนิงอันพูดออกมานี้เป็นพ่อแม่ผู้ล่วงลับของเขาสอนมาหรือไม่? หรือพี่สาวคนโตที่น่าสนใจที่บิดาของตนพูดถึง

สวีเฉิงเจ๋อเริ่มสนใจพี่น้องครอบครัวกู้มากขึ้น ถ้ามีโอกาส เขาอยากจะติดต่อกับสาวน้อยที่น่าสนใจที่บิดาของเขากล่าวไว้จริง ๆ

คนรอบข้างต่างตกตะลึงกับคำพูดของกู้หนิงอัน แม้ว่าพวกเขาจะไม่เคยได้ยินประโยคนี้มาก่อน แต่ความหมายตามตัวอักษรนั้นทำให้พวกเขาเข้าใจอย่างชัดเจน

แต่คนที่สมาคมกับกู้จือเหวินได้ก็ไม่ใช่คนดี เมื่อเห็นกู้หนิงอันตอกกลับเช่นนี้ ทุกคนก็โกรธ “เจ้าเป็นอะไรมากหรือไม่? ในครอบครัวจนแทบตาย แต่เหตุใดจึงแสร้งทำเป็นสูงส่ง? เกรงว่าไม่ใช่ไม่ชอบ แต่คงไม่มีมากกว่า!”

“ทำไมพวกเจ้าถึงยังเสียเวลาคุยกับเขาล่ะ? ทำให้ข้าได้กินอาหารช้า ทำไมยังไม่รีบไปอีก?” กู้จือเหวินไม่อยากคุยกับกู้หนิงอันและกู้หนิงผิงอีกต่อไป ราวกับว่าถ้ายังคุยกับพวกเขาอีกเพียงเล็กน้อยจะทำให้สถานะของเขาลดลง

“ฮ่า ๆๆ ได้ ๆๆ” หลี่กุ้ยหัวเราะและพูดกับกู้จือเหวินอย่างประจบสอพลอ “พวกเราไม่คุยแล้ว ไม่คุยแล้ว จะไปคุยกับคนยากจนสองคนนี้ไปทำไม ทำไมเราไม่หาที่ดี ๆ กินข้าวล่ะ”

“ใช่แล้ว ๆ พวกเรารีบไปเถอะ ไปฉลองกัน”

“ข้าวกลางวันนี้พี่จือเหวินเลี้ยง พวกเราคงได้กินอาหารดี ๆ แน่” คนกลุ่มหนึ่งพูดแล้วจากไป

หลังจากเดินไปไม่กี่ก้าว กู้จือเหวินก็หันกลับมาและเห็นกู้หนิงอันยืนอยู่ตรงนั้นราวกับต้นสนท่ามกลางหิมะ ในใจของตนรู้สึกอิจฉาลูกพี่ลูกน้องคนนี้ที่อายุน้อยกว่าสองปี ไม่รู้ว่าทำไม แต่กู้หนิงอันที่ยืนอยู่ที่นั่นกลับทำให้ผู้คนรู้สึกไม่สบายใจ

กู้จือเหวินยิ้มเยาะเย้ยและหันกลับมากล่าวว่า “พวกเจ้ายังไม่รู้ใช่ไหม? ข้าจะบอกอะไรบางอย่างให้พวกเจ้าฟัง พี่สาวของพวกเขาได้รับบาดเจ็บล่ะ”

“เจ้าพูดว่าอะไรนะ?” กู้หนิงผิงตกตะลึงและประหลาดใจเมื่อได้ยินดังนี้ กำคอเสื้อของกู้จือเหวินไว้แน่น และถามอย่างเร่งรีบ

“เจ้ากำลังทำอะไร ปล่อย ปล่อยเดี๋ยวนี้!” กู้จือเหวินรีบผลักมือกู้หนิงผิงออกไป

“เมื่อสักครู่เจ้าพูดว่าอะไรนะ?” กู้หนิงอันหายใจระงับอารมณ์ไม่ได้อีกต่อไป ดูเหมือนว่าเด็กคนนี้จะสามารถระงับได้ทุกอย่าง แต่เมื่อมีเรื่องเกี่ยวกับพี่สาวและน้องสาวของเขา ไม่ว่ากู้หนิงอันจะมีความอดทนมากแค่ไหน มันก็กลายเป็นเถ้าถ่าน

“ข้าพูดว่าอะไรน่ะหรือ พี่สาวของเจ้าถูกทุบตี? น้องสาวของเจ้าตกจากภูเขา!” กู้จือเหวินกล่าว เขาดูมีความสุขมากที่ได้เห็นครอบครัวของพวกกู้หนิงอันประสบอุบัติเหตุ

“เจ้าพูดอะไร? พี่สาวของข้าถูกทุบตี? ใคร?”

“จะใครอีกล่ะ? ก็อาสะใภ้สามน่ะสิ!”

“แล้วน้องสาวข้าล่ะ เป็นอย่างไร?”

“ข้าจะรู้ได้อย่างไร น้องสาวของเจ้าตกจากภูเขา ดูแล้วคงตกมาไม่เบาเลย ข้าเดาว่ายังคงนอนอยู่บนเตียงที่บ้าน! วันหยุดที่แล้วทำไมพวกเจ้าไม่ได้กลับไปล่ะ? หรือพี่สาวของเจ้าไม่ให้พวกเจ้ากลับไป?” กู้จือเหวินยิ้มอย่างชั่วร้าย

เมื่อเห็นท่าทางของกู้จือเหวิน พวกกู้หนิงอันก็เชื่อว่ากู้จือเหวินไม่ได้โกหกเรื่องแบบนี้

“เจ้าคิดว่าข้ายังล้อเล่นกับเจ้าอยู่ไหม? ข้ามีเวลามากขนาดนั้นหรืออย่างไร” กู้จือเหวินจากไปหลังจากพูดประโยคนี้จบ คนกลุ่มนั้นเริ่มหมดความอดทน เมื่อเห็นกู้จือเหวินค่อย ๆ เดิน คนใจร้อนก็รีบดึงกู้จือเหวินออกไป

สองพี่น้องต้องใช้เวลาครึ่งชั่วยามในการฟื้นตัวจากอาการตกตะลึง เมื่อพวกเขาคิดว่าพี่สาวของตนถูกคนอื่นทุบตีที่บ้าน และน้องสาวก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่พวกเขากลับไม่รู้อะไรสักอย่าง! แน่นอนว่ากู้หนิงอันรู้ดีว่าพี่สาวของเขาหมายถึงอะไร เพียงเพื่อให้พวกเขาเรียนอย่างสบายใจ นางจึงไม่บอกพวกเขา!

กู้หนิงอันรู้สึกลำบากใจมากและไม่มีทางเลือก เขาดึงกู้หนิงผิงและกล่าวอย่างเร่งรีบว่า “หนิงผิง พวกเรารีบกลับบ้านไปหาพี่สาวน้องสาวกัน”

กู้หนิงผิงก็มีความตั้งใจเช่นเดียวกัน ในช่วงเวลานี้เขาต้องการรีบกลับไปดู แต่พี่สาวของเขาเคยพูดไว้ว่าไม่ให้พวกเขากลับไปเพื่อให้นางมีความสุข เขาจึงไม่ได้พูดถึงเรื่องการกลับบ้าน เมื่อคิดว่าพี่สาวและน้องสาวของเขาได้รับบาดเจ็บ หัวใจของกู้หนิงผิงก็แทบจะบินกลับไป

“ท่านพี่ เรารีบกลับกันเถอะ” เมื่อเขาคิดว่าพี่สาวและน้องสาวของเขาได้รับบาดเจ็บทั้งคู่ กู้หนิงผิงก็อยากจะฆ่าเฉาซื่อและกู้ซินเถาให้ได้

สวีเฉิงเจ๋อที่อยู่ที่นั่นได้ยินคำพูดของพวกเขาอย่างชัดเจน

………………………………………………………………………………………………………………………..

สารจากผู้แปล

น่าตบปากแตกจริง ๆ เลยเจ้าเด็กคนนี้ ชั่วร้ายกันทั้งตระกูลไม่ต่างจากพ่อแม่และพี่สาวเลย

ไหหม่า(海馬)