ตอนที่ 162 เดินต่อไปข้างหน้า

สตรีแกร่งตระกูลไป๋

ตอนที่ 162 เดินต่อไปข้างหน้า
ทว่า ไป๋ชิงเหยียนยังไม่พอใจ หญิงสาวฝึกฝนจนเหงื่อชุ่มกาย ร่างสั่นไปทั้งร่างแต่ก็พักหายใจเพียงครู่เดียวแล้วเริ่มฝึกใหม่อีกรอบ ทุกวันไม่เคยหยุดฝึกซ้อม

เมื่อฟ้าเริ่มใกล้สว่าง ไป๋ชิงเหยียนที่ใบหน้าแดงก่ำ เครื่องแต่งกายเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อจึงสั่งให้เซียวรั่วไห่นำธนูไปเก็บ เอ่ยกำชับ

“รบกวนหรู่ซยงเพิ่มน้ำหนักของถุงทรายที่มัดอยู่ที่ต้นแขนของข้าด้วย ต่อจากนี้ไปให้เพิ่มน้ำหนักทุกๆ สองวัน”

หญิงสาวต้องการฝึกไปทีละขั้นอย่างมั่นคง จะหักโหมร่างกายของตัวเองไม่ได้ ทุกวันจึงค่อยๆ เพิ่มน้ำหนักไปทีละนิด มิเช่นนั้นร่างกายคงรับไม่ไหวจนทรุดลงในที่สุดเช่นเดียวกับชาติที่แล้ว

ไป๋ชิงเหยียนกลับไปอาบน้ำเปลี่ยนเครื่องแต่งกายใหม่ ขณะมัดถุงทรายที่เพิ่มน้ำหนักแล้วติดกับแขน หญิงสาวเหลือบไปเห็นเจ้าหร่านที่เซียวรั่วไห่ใช้ให้ไปรับตัวไป๋จิ่นจื้อกำลังสนทนาบางสิ่งอยู่กับเซียวรั่วไห่อยู่ใต้หลังคาเรือน ใบหน้าของเขามีบาดแผล

ได้ยินเสียงไป๋ชิงเหยียนเปิดประตูออกมา เซียวรั่วไห่โบกมือให้เจ้าหร่านกลับไปก่อน

หญิงสาวเอ่ยเรียกเจ้าหร่านไว้ “เจ้าหร่านมานี่ คุณชายสี่เล่า”

เจ้าหร่านรีบเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าไป๋ชิงเหยียน สีหน้าเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด เขาทำความเคารพพลางกล่าว

“ข้าไร้ความสามารถ มิอาจนำตัวคุณชายสี่กลับมาได้ คุณชายโปรดลงโทษด้วยขอรับ!”

“คุณชายขอรับ คุณชายสี่คงเข้าใจผิดคิดว่าเจ้าหร่านจะจับตัวเขากลับไปเมืองหลวงจึงลงมือกับเจ้าหร่านขอรับ ขณะหลบหนี คุณชายสี่บังเอิญพบกับพ่อค้าเซียวหรงเหยี่ยนแห่งแคว้นเว่ยจึงขอความช่วยเหลือจากเขา เซียวเซียนเซิงผู้นั้นสั่งให้คนคุ้มครองคุณชายสี่ และขวางทางคนของพวกเราขอรับ คุณชายสี่กล่าวว่าไม่รู้จักเจ้าหร่าน ดังนั้นเซียวเซียนเซิงผู้นั้นจึงไม่ยอมส่งตัวคุณชายสี่ให้พวกเราขอรับ”

เซียวหรงเหยี่ยน!

เหมือนเซียวหรงเหยี่ยนจะเคยกล่าว่าเขาจะเดินทางกลับเมืองเกิดในวันที่สิบห้า นึกไม่ถึงเลยว่าจะบังเอิญพบกับเสี่ยวซื่อเช่นนี้

“เจ้าไปทำแผลก่อนเถิด” ไป๋ชิงเหยียนเอ่ยกับเจ้าหร่าน

“ขอรับ ข้าขอตัวก่อนขอรับ”

เมื่อเจ้าหร่านจากไป ไป๋ชิงเหยียนหันไปกล่าวกับเซียวรั่วไห่

“ทางเมืองหลวงมีข่าวอันใดบ้างหรือไม่”

“หลิวฮ่วนจางถูกตัดสินว่าเป็นกบฏอย่างดิ้นไม่หลุดแล้วขอรับ ทว่า การตายของหลิวฮ่วนจางทำให้การสืบสวนคดีเสบียงที่หนานเจียงที่ผู้พิพากษาหลู่จิ้นเป็นคนรับผิดชอบยุ่งยากขึ้นขอรับ คำสารภาพของเถียนเหวยจวินก็พิสูจน์ไม่ได้ว่าเหลียงอ๋องไม่ได้ทำตามคำสั่งของซิ่นอ๋อง ตอนนี้เหลียงอ๋องยังคงยืนกรานปฏิเสธ เกาเซิงโดนทรมานเพียงใดก็ไม่ยอมปริปากเอ่ยสิ่งใดทั้งสิ้น บ่าวรับใช้ชายถงจี๋เอาแต่กล่าวว่าไม่รู้อันใดทั้งสิ้น คดีนี้คงลำบากท่านผู้พิพากษาหลู่จิ้นมากขอรับ”

ตู้จือเวยเสียชีวิตแล้ว หลิวฮ่วนจางก็เสียชีวิตแล้วเช่นเดียวกัน ที่ปรึกษาและแม่ทัพของเหลียงอ๋องในชาติที่แล้วล้วนเสียชีวิตลงหมดแล้ว…

ชาตินี้กองทัพไป๋คงไม่มีทางตกอยู่ในเงื้อมือของเหลียงอ๋องอีกแล้ว ไม่มีตู้จือเวยแล้ว นางก็อยากรู้เหมือนกันว่าเหลียงอ๋องจะทำสิ่งใดได้อีก

“มหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายหลี่เม่าไม่มีความเคลื่อนไหวอันใดเลยหรือ” หญิงสาวถามต่อ

ชาติที่แล้วเหลียงอ๋องสมคบคิดกับมหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายหลี่เม่าใส่ร้ายว่าท่านปู่เป็นกบฏ ชาตินี้เหลียงอ๋องติดคุกแล้ว หลี่เม่ากลับไม่เดือดร้อนอันใดทั้งสิ้น

หลี่เม่าเป็นคนเจ้าเล่ห์ นางเดาว่าหลี่เม่าคงมองออกว่าเหลียงอ๋องทำทีเป็นอยู่ฝ่ายซิ่นอ๋อง แต่แท้จริงแล้ว ก็แค่หลอกใช้ซิ่นอ๋องเท่านั้น เมื่อฉีอ๋องและซิ่นอ๋องพ่ายแพ้ย่อยยับทั้งคู่ เหลียงอ๋องมีโอกาสได้ครอบครองบัลลังก์นั่นมากที่สุด หลี่เม่าจึงลอบสนับสนุนเหลียงอ๋องอย่างลับๆ

ทว่า ชาติที่แล้วตอนที่ฉีอ๋องกำลังจะได้รับการแต่งตั้งเป็นองค์รัชทายาท หลี่เม่ายอมสลัดคราบขุนนางผู้ภักดีทิ้ง และเข้าร่วมกับฝ่ายของเหลียงอ๋องอย่างโจ่งแจ้ง

ตู้จือเวยผู้นี้มักมีแผนสำรองอยู่เสมอ ในเมื่อชาติที่แล้วเขาทำให้หลี่เม่าร่วมมือกับเหลียงอ๋องใส่ร้ายว่าท่านปู่เป็นกบฏได้ หากไม่ใช่เพราะตู้จือเวยและเหลียงอ๋องคงกุมความลับบางอย่างของหลี่เม่าเอาไว้จนบีบบังคับจนหลี่เม่าจึงต้องแสดงจุดยืนออกมาเช่นนั้น! ก็คงเป็นเพราะหลี่เม่าตัดสินใจแน่วแน่จะรับใช้เหลียงอ๋อง ต้องการความดีความชอบจากการช่วยให้เหลียงอ๋องได้ครอบครองบัลลังก์นั่น!

หากเป็นอย่างแรก หลี่เม่าคงร้อนใจอยากทำลายหลักฐานที่เป็นความลับนั่นโดยเร็ว แต่หากเป็นอย่างหลัง หลี่เม่าคงกำลังวางแผนช่วยเหลียงอ๋องอยู่

แต่ด้วยนิสัยเหยียบเรืองสองแคมของหลี่เม่าแล้ว หญิงสาวมั่นใจว่าคงเป็นอย่างแรกมากกว่า

เซียวรั่วไห่ส่ายหน้า “ไม่มีรายงานขอรับ ทว่า ก่อนออกเดินทางข้าให้คนมีฝีมือคอยจับตาดูความเคลื่อนไหวของจวนมหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายตามคำสั่งของคุณชายแล้วขอรับ หากมีสิ่งใดผิดปกติ คนของเราต้องรับรู้อย่างแน่นอนขอรับ อีกอย่างคนของเราที่ส่งไปจับตาดูจวนมหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายเพิ่งหาโอกาสแฝงตัวเข้าไปในจวนได้ ทว่า เขาเพิ่งเข้าไปได้ไม่นาน คงอีกสักพักถึงจะใช้ประโยชน์ได้ขอรับ”

หญิงสาวสะบัดมือที่ยังคงสั่นไม่หยุดเพื่อผ่อนคลายกล้ามเนื้อ พยักหน้าลง

“ต่อไปให้รายงานความเคลื่อนไหวทั้งหมดของจวนหลี่เม่าให้แก่คุณหนูรอง บอกว่าข้าเป็นคนสั่งไว้ก่อนออกเดินทาง หากเกิดการเปลี่ยนแปลงใดๆ ขึ้นตอนที่ข้าอยู่ที่หนานเจียง ให้นางจัดการตามสมควร และจงระวังหลี่เม่าผู้นี้ไว้ให้ดี!”

“ขอรับ!” เซียวรั่วไห่รับคำ

“หรู่ซยง ท่านช่วยไปรับตัวเสี่ยวซื่อกลับมาด้วยตัวเองเถิด บอกกับนางว่าข้าจะไม่ส่งนางกลับเมืองหลวง! จำไว้ว่าอย่าปะทะกับคนของเซียวหรงเหยี่ยน รับตัวเสี่ยวซื่อแล้วรีบไล่ตามขบวนให้ทัน”

เซียวรั่วไห่กำหมัดคาราวะ “ข้าจะไปเดี๋ยวนี้ขอรับ!”

ก่อนองค์รัชทายาทจะออกเดินทาง ฮ่องเต้ทรงกำชับอย่างแน่นหนาว่าชัยชนะครั้งนี้สำคัญเพียงใด องค์รัชทายาทจดจำได้อย่างขึ้นใจ แม้ว่าเมื่อวานจะทรมานอยู่บนรถม้ามากเพียงใด วันนี้ก็ยังฝืนยืนหยัด สั่งให้กองทัพเคลื่อนขบวนต่อตามกำหนด

ก่อนที่องค์รัชทายาทจะถูกประคองขึ้นไปบนรถม้า ก็เห็นไป๋ชิงเหยียนในชุดของบุรุษซึ่งไม่ได้ใส่เสื้อคลุมกันลม สายตาหยุดอยู่ที่รองเท้าบูทกันลื่นของไป๋ชิงเหยียน เขาเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ

“คุณหนู…คุณชายไป๋ ตั้งใจจะเดินเท้าหรือ”

“บนรถม้าขรุขระ เดินเท้าน่าจะดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ” ไป๋ชิงเหยียนตอบ

ไม่มีเวลามากพอให้นางค่อยๆ ฟื้นฟูพละกำลัง นางจึงใช้วิธีการเดินเท้าโดยเพิ่มน้ำหนักของถุงทรายที่รัดบริเวณลำตัวแทนการฝึกฝนแทน บัดนี้ต้องเร่งการเดินทาง เพื่อไม่ให้เป็นตัวถ่วงของกองทัพ ไป๋ชิงเหยียนต้องเดินตามให้ทัน นี่คือเป้าหมายที่นางตั้งให้ตัวเอง

หวังว่าก่อนเดินทางไปถึงหนานเจียง อย่างน้อยนางสามารถยกคันธนูเซ่อรื้อขึ้นได้อีกครั้ง

องค์รัชทายาทที่เมื่อวานนั่งอยู่ในรถม้าทั้งวันจนศีรษะแทบจะระเบิดได้ยินคำกล่าวนี้ก็สั่งให้คนนำรองเท้าบูทสำหรับเดินเท้ามาให้เขา

“เมื่อวานนั่งอยู่แต่ในรถม้าทั้งวันจนศีรษะแข็งไปหมด เราจะลงไปเดินด้วย”

“องค์ชาย พวกเราต้องเร่งการเดินทาง องค์ชายไม่เคยออกรบดังเช่นคุณชายไป๋ หากเดินเท้าเกรงว่าจะเป็นการเสียเวลาพ่ะย่ะค่ะ” ฉินซ่างจื้อโน้มน้าว

องค์รัชทายาทโบกมือพลางกล่าว “คุณชายไป๋เดิน เราก็จะเดิน”

เมื่อกล่าวออกไปเช่นนั้น กองทัพจึงเริ่มเคลื่อนขบวน

หลังจากเดินไปได้ไม่เกินสองกิโลเมตร องค์รัชทายาทก็เดินตามขบวนไม่ทันแล้ว เมื่อถึงกิโลเมตรที่สาม องค์รัชทายาทถูกประคองขึ้นไปนั่งบนรถม้าเพื่อไม่ให้เป็นการถ่วงเวลากองทัพ

เมื่อเดินไปได้สิบกิโลเมตร ผมของไป๋ชิงเหยียนถูกลมหนาวพัดจนยุ่งเหยิงเล็กน้อย ใบหน้าและจมูกแดงก่ำ เหงื่อเม็ดใหญ่ไหลลงตามแนวคางของหญิงสาวหยดลงบนพื้น ถุงทรายที่พันอยู่ที่ขาหนักเหมือนเหล็กตะกั่ว ปวดชาจนแทบยกไม่ขึ้น รถม้าอยู่ใกล้เพียงแค่เอื้อม นางสามารถขึ้นไปนั่งสบายๆ อยู่บนรถม้าเช่นเดียวกับองค์รัชทายาท

ทว่า เมื่อนางนึกถึงการตายของท่านปู่ ท่านพ่อ บรรดาท่านอาและน้องชาย นางรู้สึกราวกับมีไฟแผดเผาอยู่ในหัวใจ ฮึดสู้กัดฟันเดินต่อไปข้างหน้า

นางจะไปถึงหนานเจียงอย่างเร็วที่สุดในอีกหนึ่งเดือนครึ่ง อวิ๋นพั่วสิงที่ตัดศีรษะ และคว้านท้องของน้องชายสิบเจ็ดรออยู่ที่หนานเจียงนั่น

นางจะไปสู้รบกับอวิ๋นพั่วสิงผู้นั้นด้วยร่างกายที่อ่อนแอไร้ความสามารถเช่นนี้หรือ!

ความอ่อนแอของนางตลอดหลายปีมานี้ไม่ได้เกิดจากอาการเจ็บป่วยหรือทนความหนาวไม่ได้แต่อย่างใด แต่เป็นเพราะนางเชื่อถ้อยคำของหมอ คิดว่าร่างกายของตัวเองอ่อนแอจนไม่อาจฝึกซ้อมวิทยายุทธ์ได้อีกแล้ว นางเอาแต่ทานยา รักษาตัวไปวันๆ เอาแต่นอนอยู่บนเตียงจนทำให้ตัวเองกลายเป็นคนอ่อนแอเช่นนี้