ภายในห้องสีขาวห้องหนึ่งของยานที่ดูคล้ายกับห้องบรรยาย ได้มีชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังนั่งจ้องมองไปที่หน้าจอโฮโลแกรมที่เต็มไปด้วยตัวอักษรมากมายด้วยใบหน้าที่เหม่อลอย พร้อมกับเด็กสาวผมชมพูที่กำลังพูดอธิบายอะไรบางอย่างอยู่
“ก็อย่างที่ข้าได้อธิบายไปทั้งหมดนี้ละ หืม? นี่ศิวะ… ฟังอยู่หรือเปล่า? โฮ้ย~ ได้ยินที่ข้าพูดไหม? โฮ้ย~”
ตัวเธอที่เพิ่งเห็นท่าทีดูเหม่อลอยของคนตรงหน้า จึงเดินเขาไปกับเขย่าตัวของชายหนุ่มเบาๆ เพื่อเรียกสติ
“อืม… เจ้าดูเหม่อลอยแปลกๆ นะ ยังไหวอยู่ไหม? ถ้าเกิดสับสนหรือไม่เข้าใจตรงไหนก็ถามได้นะ”
“เอ๊ะ! ไม่รู้สิ… คือแบบว่า… ไม่เข้าใจเลยสักนิดเลย ช่วยอธิบายใหม่อีกรอบได้ไหม?”
ชายหนุ่มที่พึ่งได้สติกลับมาตอบเธอกลับไปด้วยรอยยิ้มแห้งๆ
“งั้นเหรอ~ ไม่เข้าใจตั้งแต่ต้นเลยเหรอ~?”
ทันทีที่เด็กสาวได้ยินที่เขาพูดแบบนั้นออกไป ตัวเธอก็ถึงกับเข่าอ่อนลงไปกองกับพื้นในพร้อมกับถอนหายใจออกมาอย่างกับคนหมดแรง
“พอแล้ว!! ไม่เอาแล้ว!! นี้ถามจริงเถอะว่าสิ่งที่ข้าอธิบายเจ้าไปเกือบชั่วโมงเมื่อกี้เนี่ย มันไม่ได้เข้าหัวสมองเจ้าบ้างเลยหรือยังไง?” เธอร้องโว้ยวายออกมาพร้อมกับลุกขึ้นมาเขย่าไหล่เขารัวๆ
“บอกตามตรงเลยว่าเกือบจะเข้าใจอยู่นิดๆ แล้วละ เพราะงั้นช่วยอธิบายมันใหม่อีกซัก 2-3 รอบได้ไหม?”
“เฮ้อ… พอแล้ว ต่อให้ข้าอธิบายแบบเดิมให้เจ้าฟังเป็น 10 รอบก็ตาม เจ้าก็คงไม่มีวันเข้าใจแน่ๆ เพราะงั้นข้าขอพูดสรุปแบบสั้นๆ ง่ายๆ ขนาดที่แม้แต่คนสมองทึบแบบเจ้ายังเข้าใจได้แล้วกัน”
“ถ้ามีวิธีอธิบายให้เข้าใจได้ง่ายๆ แบบนั้น แล้วทำไมไม่ทำแต่แรกฟะ?”
เธอมองมาที่เขาด้วยใบหน้าที่เอือมระอา พร้อมค่อยๆ ปล่อยมือออกจากไหล่ของเขา และเดินกลับไปที่หน้ากระดาษโฮโลแกรมจากนั้นก็เริ่มลงมือขีดเขียนอะไรบางอย่าง
“เท่านี้น่าจะพอแล้วมั้ง เอาละที่นี่ก็ตั้งใจฟังให้ดีละเข้าใจไหม!!”
“โอะ…โอ้ว ขอรบกวนด้วยนะครับ”
“อืมๆ ตอบรับได้นี่ เอาละขอสรุปแบบรวบรัดเลยแล้วกัน เจ้าได้ถูกเลือดให้เป็นผู้กล้า แต่ว่าตัวเจ้านั้นอยู่ไกลเกินไป จักรวาลก็เลยใช้ ‘การชี้นำ’ พาโจรพวกนั้นไปรับตัวเจ้ามาเจอกับข้าเพื่อที่จะได้ไปปราบจอมมาร แต่ว่าจอมมารนั้นดันโดนใครที่ไหนก็ไม่รู้ฆ่าตายไปนานแล้ว ทำให้หลังจากจักรวาลได้ใช้ ‘การชี้นำ’ พาเจ้ามาเจอข้าเสร็จ ตัวระบบของจักรวาลที่พบว่าจอมมารได้ตายแล้ว ทำให้ตัวระบบของจักรวาลเกิดความสับสนก็ได้ทำการเริ่มจำศีลตัวเอง เพื่อรอการกำเนิดของจอมมารรอบถัดไปยังไงละ เอาละถึงตอนนี้ยังฟังเข้าใจอยู่ใช่ไหมศิวะ?” เธอหยุดพักเล็กน้อยพร้อมกับมองไปที่ชายหนุ่ม เพราะเธออยากจะแน่ใจว่าอีกฝ่ายยังตามสิ่งที่เธอพูดทันอยู่
“อืมๆ ก็พอจะเข้าใจหน่อยๆ แล้วละนะ ว่าระบบของจักรวาลแม่งห่วยแตกแค่ไหน” เขาพูดสิ่งที่ตัวเองคิดออกมาพร้อมกับพยักหน้าด้วยความมั่นใจในสิ่งที่ตัวเขาพึ่งสรุปไป
“เฮ้อ… เอาเถอะ ถึงจะฟังดูลวกๆ และดูหยามเกียรติไปหน่อย แต่มันก็เป็นเรื่องจริงจนข้าเถียงไม่ออกเหมือนกัน แต่อย่างน้อยก็ดูเหมือนว่าจะยังตามสิ่งที่ข้าพูดทันสินะ ถ้างั้นจะขออธิบายต่อเลยแล้วกัน… โดยตามปกติแล้วการที่จักรวาลจะนำพาตัวผู้กล้ามาจากที่อันห่างไกลนั้น เป็นกรณีที่เกิดขึ้นได้ค่อนข้างยากก็จริง แต่โดยทั่วไปเมื่อผู้กล้าปราบจอมมารได้เสร็จแล้ว ถ้าตัวผู้กล้าเป็นกรณีที่ว่าละก็จักรวาลจะทำการใช้ ‘การชี้นำ’ อีกครั้งเพื่อให้ผู้กล้าสามารถเดินทางกลับบ้านของตัวเองได้พร้อมกับข้าที่นอกจากจะเป็นสุดยอดศาสตราวุธแล้ว ยังเป็นสุดยอดยานพาหนะข้ามจักวาลเพียงหนึ่งเดียวที่มีสามารถในการเปิดประตูมิติไปยังที่ที่เคยไปมาแล้วได้ด้วยละ เป็นไงๆ ตัวข้านะสุดยอดไปเลยใช่ไหมล่ะ!!” เด็กสาวยืนเท้าเอวพร้อมก้มมองมาที่เขาด้วยสีหน้าที่ดูภาคภูมิใจในตัวเอง
“สุดยอดบ้านเธอสิ!! จากที่ฟังดูนี้มันเหมือนฉันโดดจับมาทำงานแบบที่โดนข่มขู่ทำนองว่า ถ้าแกไม่ปราบจอมมารให้ก็อย่าหวังจะได้กลับบ้านชัดๆ เลยไม่ใช่หรือไงฟะ!? แล้วอีกอย่างถ้าเกิดเธอเปิดประตูวาปได้แบบนั้น ทำไมถึงไปส่งฉันที่บ้านเลยไม่ได้ละฟะ!!”
“นี่เจ้าได้ฟังที่ข้าพูดไหมเนี่ย… ถึงข้าบอกไปว่าสามารถเปิดประตูมิติได้ก็จริง แต่การที่ข้าจะทำได้ ตัวข้าก็ต้องเคยไปถึงจุดที่ว่าให้ได้ซะก่อนถึงจะทำได้นะ ไม่งั้นข้าก็เปิดประตูมิติพาเจ้ากลับบ้านไม่ได้หรอกนะ”
“เดี๋ยวๆ แต่ก่อนหน้านี้เธอบอกว่าเจอบ้านของฉันแล้วไม่ใช่เหรอ! แล้วทำไมถึงไม่เอาตำแหน่งจากที่เจอแล้วพาวาปกลับไปเลยละ?”
“เฮ้อ… ก็บอกแล้วไงว่าถ้าไม่เคยไปมาก่อนก็พาไปไม่ได้หรอกนะ อ่า… ช่างมันเถอะ ข้าเริ่มขี้เกียจจะขยายความซ้ำๆ ซากๆ แล้วละ เอาเป็นว่าข้าจะพูดสรุปต่อให้มันจบๆ ไปเลยแล้วกันนะ”
เธอถอนหายใจออกมาเบาๆ พร้อมกับค่อยๆ ปรับอารมณ์ของตัวเองและเริ่มอธิบายต่อ
“เอาละจะอธิบายต่อละนะ หากเป็นในกรณีของเจ้าตามปกติเมื่อปราบจอมมารได้สำเร็จ จักรวาลก็จะใช้ ‘การชี้นำ’ เปิดทางให้เจ้ากลับบ้านได้ แต่ปัญหามันอยู่ที่ว่าจอมมารนั้นได้ตายตั้งแต่ก่อนที่จะเกิดการเลือกผู้กล้าซะอีก ซึ่งจากตรงนี้หากคิดจากข้อสันนิษฐานของข้า ข้าคิดว่าจักรวาลอาจจะเกิดการสับสนจากเรื่องดังกล่าว เลยทำให้ระบบของจักรวาลเข้าสู่การจำศีลก่อนกำหนดก่อนที่จะได้ใช้ ‘การชี้นำ’ เพื่อนำเจ้ากลับบ้านนั่นเอง ส่วนเรื่องที่เจ้าสงสัยว่าข้าไม่อาจพาเจ้าไปส่งบ้านได้ทั้งๆ ที่รู้ตำแหน่งที่ตั้งแล้วนั้น มันเป็นปัญหาเรื่องของระยะทางยังไงละ”
“อ่อ! ไอ้ที่เธอบอกฉันตอนแรกว่ามันอยู่ไกลมากๆ สินะ แต่ว่าถ้าเธอบอกว่าปัญหามันอยู่ที่ระยะทาง ถ้างั้นก็แสดงว่าต่อให้ไม่ต้องพึ่งไอ้การชี้นำอะไรนั้น มันก็ยังมีทางพอที่จะกลับไปได้ใช่ไหม?”
“โอะ… มีไหวพริบดีนี้ เมื่อกี้ตอนที่เจ้าถามคำถามนั้นออกมา เล่นทำเอาข้าประหลาดใจเลยนะเนี่ย มันแบบนี้สิถึงค่อยสมกับที่เป็นถึงผู้ที่ถูกเลือกให้เป็นผู้กล้าหน่อย” เธอมองไปที่เขาด้วยสีหน้าที่ดูประหลาดใจเล็กน้อยพร้อมกับยิ้มออกมาอย่างอารมณ์ดีและเริ่มอธิบายต่อ
“เป็นอย่างที่เจ้าว่านั้นละ ถึงแม้จะดาวของเจ้าจะอยู่ไกลแบบสุดๆ ไปเลยก็ตาม แต่ถ้าพวกเราใช้วิธีเดินทางตามปกติแล้วละก็ ไม่ว่ายังไงมันก็สามารถไปได้นั้นละ แต่มันดันติดที่ว่า…” เธอมองมาที่ชายหนุ่มด้วยสีหน้าที่ดูลังเลเล็กน้อยก่อนที่เริ่มพูดต่อ “มันก็ต้องใช้เวลาอย่างน้อย 132 ปี กว่าจะไปถึงดาวของเจ้าน่ะนะ…”
“ฮ่าๆ เป็น 100 ปี เลยเนี่ยนะ? ถ้าจะใช้เวลาตั้งขนาดนั้นฉันคงได้ลงไปนอนในหลุมก่อนสักรอบแล้วละ ฮ่าๆ อะ… อ่า… พูดจริงดิ?” ชายหนุ่มหัวเราะออกมาอย่างร่าเริงก่อนที่จะเริ่มผ่อนเสียงลงจนกลายเป็นการหัวเราะแห้งๆ แทน
“จริงแท้แน่นอน” เธอมองมาที่เขาพร้อมกับตอบออกมาด้วยสีหน้าที่จริงจัง
ทันทีที่ชายหนุ่มได้ยินแบบนั้นตัวเขาก็ถึงกับอึ้งจนพูดไม่ออก ตัวเขานั่งก้มหน้าแบบนั้นอยู่สักพักก่อนที่จะค่อยๆ ลุกยืนขึ้นและเดินออกไปที่หน้าประตูทางออกห้องด้วยท่าทีเหมือนคนหมดแรง
“ข้าเข้าใจนะว่าเรื่องที่เขาพึ่งพูดไป มันคงทำให้เจ้ารู้สึกลำบากใจอยู่พอสมควร แต่ว่าตอนนี้ข้าคิดว่าเจ้าควรจะนึกอนาคตต่อจาก— เอ๊ะ!? นั้นเจ้าจะไปไหนนะศิวะ?” ตัวเธอที่พึ่งรู้สึกตัวว่าศิวะกำลังเดินไปที่ทางออกห้องด้วยท่าทีแปลกๆ จึงได้พูดถามเข้าออกมาด้วยความเป็นห่วง
“ว่าจะออกไปเดินเล่นสูดอากาศสักหน่อยนะ…”
“ห่ะ!? นี่เจ้า— มะ… ไม่สิ… อืม… เอาเถอะยังไงข้าก็ไม่รู้จะพูดอะไรต่อแล้วเหมือนกัน แต่ยังไงก็อย่าลืมเอาเรื่องที่ข้าพูดไปเมื่อกี้ไปคิดทบทวนด้วยละ”
“อา… อืม…” เขาตอบออกเหมือนคนหมดแรงก่อนที่จะค่อยๆ เดินออกไปอย่างช้าๆ โดยที่มีสายตาของอิโซลาร์มองตามหลังเขามาด้วยความเป็นห่วงนิดๆ
หลังจากที่เดินออกมาจากห้องได้สักพัก ตัวเขาก็ค่อยๆ เดินไปยังบริเวณโซฟาที่ตั้งอยู่ใจกลางห้องโถงและทิ้งตัวลงไปนั่งอย่างรวดเร็วพร้อมกับค่อยๆ ถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยใจ
“เฮ้อ~ นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันวะ 132 ปี เนี่ยนะ… โดนลักพาตัวมาไม่พอแล้ว ยังต้องมาเจอเรื่องปวดกบาลแบบนี้อีก ฮ่า… ฮ่า… คิดเรื่องในอนาคตเนี่ยนะ? พอฟังได้เรื่องแบบนั้นเข้าไปใครมันจะไปมาอารมณ์คิดถึงเรื่องพรรค์นั้นกันฟะ…”
เขาเงยหน้ามองขึ้นไปบนเพดานกระจกใสที่เต็มไปด้วยเหล่าดวงดาวที่กำลังส่องแสงระยิบระยับราวกับอัญมณี เมื่อตัวเขาเห็นดังนั้นชายหนุ่มก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
“อวกาศงั้นเหรอ…”
เขาพูดออกมาด้วยใบหน้าที่ดูเหนื่อยๆ พร้อมกับพยายามลุกยืนขึ้นและค่อยๆ ใช้มือทั้งสองข้างตบไปที่แก้มของตัวเองเพื่อเรียกสติตัวเองกลับกลับมา
“เฮ้อ… เอาเถอะ อย่างน้อยมันก็ไม่ได้มีแต่เรื่องแย่ๆ ไปหมดทุกเรื่องซะหน่อย”
*****