บทที่ 151 สลัม

ทางเหนือของเมืองแลงแคสเตอร์เป็นสลัม

เมื่อก่อนที่นี่ก็เคยเป็นที่อยู่อาศัยของชาวเมืองทั่วไป แม้ว่ามันจะไม่หรูหราและดีเท่าย่านขุนนางทางใต้ หรือเจริญรุ่งเรืองเท่าย่านการค้าทางตะวันออก และไม่ได้แตกต่างจากย่านตลาดมืดทางตะวันตกที่ค่อนข้างวุ่นวาย แต่ทุกคนก็อยู่กันได้อย่างดีและมีชีวิตชีวา

จนกระทั่งวันที่เทียร์ร่าล่มสลายลง

แลงแคสเตอร์ไม่ได้รับความเสียหายมากนัก แต่นั่นใช้ได้กับเขตที่อยู่อาศัยของขุนนางและย่านการค้าเท่านั้น

เขตที่อยู่อาศัยของชาวเมืองได้รับผลกระทบหนักที่สุด และเนื่องจากไม่มีการจัดการที่ดีและไม่ได้รับการซ่อมแซม ทําให้เขตที่อยู่อาศัยเดิมหายไปและกลายเป็นเพียงสลัม อาคารหลายหลังที่เสียหายจากไฟสงครามกระทั่งปัจจุบันมันก็ยังคงเป็นซากปรักหักพังที่อาจพังทลายได้ทุกเมื่อ

และในซากปรักหักพังของบ้านหลังหนึ่ง มีเด็กตัวสั่น 3 คนนั่งล้อมรอบกองไฟ สภาพเหมือนกําลังจะตาย พวกเขาทําทุกวิถีทางเพื่อให้ได้รับความอบอุ่นเพิ่มขึ้นอีกนิดจากกองไฟตรงหน้า

ซิมบ้าเป็นเด็กกําพร้าที่พ่อแม่เสียชีวิตในสงครามเมื่อหลายปีก่อน บ้านที่พ่อแม่ทิ้งไว้ก็ถูกพวกอันธพาลเข้ายึดครอง การต่อต้านของซิมบ้าที่ยังเด็กนั้นไม่เพียงแต่จะไร้ประโยชน์ เขายังถูกพวกมันไล่ล่าหลังจากที่พวกอันธพาลขนของมีค่าไปจนหมด

สุดท้าย เขาก็หนีมาอาศัยอยู่ในซากปรักหักพังของบ้านเก่า ๆ และได้พบพี่ชายและน้องสาวซาซูและนาล่า ที่เดินเตร่อยู่ข้างนอกในฐานะเด็กกําพร้า

เด็กทั้ง 3 รวมตัวกันกลายเป็นกลุ่มเล็ก ๆ ในวันธรรมดาพวกเขาช่วยพ่อค้าในย่านการค้าทํางานแปลก ๆ และบางครั้งก็เร่ขายของ พวกเขาจึงพอมีเงินเก็บพอประทังชีวิตอยู่บ้าง

แต่ถึงอย่างนั้นฤดูหนาวปีนี้ก็ยาวนานกว่าที่คาดไว้ อาหาร ฟื้น และเงินเหรียญสุดท้ายของพวกเขาหมดลง แต่ดวงอาทิตย์ดูเหมือนจะยังไม่คิดจะโผล่หน้าออกมาท่ามกลางหมู่เมฆ

“ไฟกําลังจะดับ เพิ่มไม้สักหน่อยดีไหม” ซาซูพูดขึ้น

ซิมบ้าสายหัว “ไม่ เรารื้อไม้กระดานออกมาไม่ได้แล้ว บ้านหลังนี้รับไม่ไหว ถ้าขืนเรายังรื้อต่อไป แค่ลมพัดมามันคงจะพังแน่ ๆ”

ฤดูหนาวที่ยาวนานทําให้ราคาฟื้นเพิ่มขึ้น มันเป็นราคาที่ซิมบ้าและพี่น้องของเขาไม่อาจจ่ายได้

“พี่ชาย…”

ดวงตาของนาล่าบิดลงขณะที่เธอเอนตัวพิงซาซู เด็กหญิงตัวเล็ก ๆ ที่ผอมบางและขี้โรค กําลังล่องลอยอยู่ระหว่างความฝันและความเป็นจริง เธอพึมพําเบา ๆ ว่า ” ข้าหิวมาก…”

เด็กชายทั้งสองมองหน้ากัน เวลานี้นับประสาอะไรกับเด็กสองคน แม้แต่ผู้ใหญ่ก็ทําอะไรไม่ได้

“ถ้าไม่ไหวจริง ๆ ข้าจะออกไปนอกเมืองเพื่อขนฟื้นกลับมา” ซิมบ้ากัดฟัน เขาตัดสินใจแล้ว

ถ้าข้าหาฝืนได้สามสี่มัด เราก็จะมีฟื้นไว้ใช้เองและหาอาหารให้นาล่าได้!”

“อย่าทําอะไรโง่ ๆ นะ!” ใบหน้าของซาซูซีดลง เขาพยายามเตือนสติซิมบ้า “ในป่าอันตรายมันน่ากลัว มีเพียงไม่กี่คนที่ออกไปหาไม้แล้วรอดกลับมาได้ แม้แต่นักล่าที่มีประสบการณ์และยามรักษาการของเมืองที่มีอาวุธครบครันก็ยังถูกฆ่าตาย! ข้าเคยได้ยินทหารรับจ้างที่โรงเหล้าพูดกันว่าพวกเขาพบเห็นร่องรอยของเขี้ยวมังกรแถวนี้ด้วย มันน่ากลัวยิ่งกว่าเสือเขี้ยวดาบอีกนะ!”

“แต่เราไม่มีทางเลือกแล้ว” ซิมบ้าพูดอย่างขมขื่น “ไม่มีงานให้เราทําในฤดูหนาว และไม่มีใครบนถนนให้เราขโมย…”

ซาซูกําลังจะเถียง แต่ทั้งเขาและซิมบ้าก็หยุดพูดทันที พวกเขาได้ยินเสียงฝีเท้าอยู่ข้างนอก

น้ำหนักการลงเท้านั้นเบามาก เด็ก ๆ จะไม่ได้ยินอะไรเลยถ้าไม่ใช่เพราะพื้นมีหิมะหนา ๆ ปกคลุม

หรือจะเป็นพ่อค้าทาส?

เด็กชายแอบมองออกไปขณะหยิบหินก้อนใหญ่ขึ้นมาอย่างเงียบ ๆ หินมีขนาดเกือบครึ่งหัวคนหัวใจของพวกเขารู้สึกกระวนกระวาย

ชีวิตของพวกเขาจะจบลง หากเด็ก ๆ อย่างพวกเขาถูกจับไปขายเป็นทาส ไม่มีนายทาสคนไหนต้องการเด็กขี้โรค ขี้แย และสกปรกเช่นพวกเขา พวกเขาจะถูกส่งไปยังเหมืองผิดกฎหมายและถูกใช้งานจนตาย หรือกลายเป็นอาหารสัตว์ประหลาดบนสังเวียนนักสู้

แต่ทั้งซิมบ้าและซาซูต่างก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก เมื่อในที่สุดคน ๆ นั้นก็โพล่หน้ามาให้เห็นพวกเขายังคงตื่นตัวแต่ก็ไม่มากเท่าก่อนหน้านี้แล้ว

คน ๆ นั้นเป็นชายวัยกลางคนที่มีรูปร่างผอมสูง เขาเรียกตัวเองว่ามูฟาซา ดาบที่เขาแบกอยู่บนหลังนั้นแตกต่างจากดาบหนัก ๆ ที่ทหารรับจ้างคนอื่น ๆ ใช้ มันยาวและแคบอย่างน่าประหลาด ไม่ต้องพูดถึงว่ามันมีคมแค่ด้านเดียว ยิ่งไปกว่านั้นแม้อากาศจะหนาวเย็น แต่เขาก็สวมเพียงเสื้อผ้าที่เย็บจากผ้ากระสอบที่มีลักษณะคล้ายกับคนจรจัดเท่านั้น

แต่ถ้าจะบอกว่าเขาเป็นคนจรจัดก็คงจะไม่ถูก เพราะจริง ๆ แล้วชายในผ้ากระสอบนั้นสะอาดมาก เช่นเดียวกับเสื้อผ้าของเขาที่เรียบจนไม่มีแม้แต่รอยยับ

เมื่อพิจารณาว่าทั้งการซักและรีดจะต้องใช้ความพยายามอย่างมาก ซิมบ้าก็สงสัยว่าต้องซักผ้าที่เย็บจากเศษผ้าขาด ๆ นั่นด้วยหรือ

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ซิมบ้าและซาซูได้พบเขา

เมื่อฤดูหนาวเริ่มต้นขึ้น ชายวัยกลางคนคนนี้ก็เข้ามาถามพวกเขาอย่างตื่นเต้นว่า พวกเขาต้องการเข้าร่วมโบสถ์ลึกลับหรือไม่ เขาไม่ได้ระบุว่าเป็นศาสนจักรใด ซึ่งเป็นสาเหตุที่ซิมบ้าไม่สนใจเขา เขาเชื่อว่ามันต้องเป็นนอกรีต

เขาต้องการลากซาซูและนาล่าเข้าสู่ศาสนาแปลกประหลาดบางอย่าง แล้วใช้พวกเขาเป็นเครื่องเซ่นไหว้เทพเจ้าชั่วร้ายแน่ ๆ

โชคดีที่มูฟาซาไม่ได้รบกวนพวกเขา และจากไปหลังจากที่ซิมบ้าปฏิเสธ

แต่เขาก็มักจะกลับมาอีกเสมอ แม้จะต้องจากไปอย่างรวดเร็วทุกครั้งที่เขาล้มเหลวในการชวนพวกเด็ก ๆ

และตอนนี้มูฟาซาก็ยกมือขึ้นอย่างยอมจํานน เมื่อเขาเห็นเด็กชายและก้อนหินในมือเด็ก บ่งบอกว่าเขาไม่ได้อันตราย

“ที่นี่หนาวมาก เจ้าคงไม่รังเกียจที่ข้าจะขอเข้าไปผิงไฟด้วยใช่ไหม?” เขาพูดเองเออเอง จากนั้นก็เดินเข้ามาใกล้กองไฟ ทําราวกับว่าเขาไม่ได้สังเกตเห็นท่าทางไม่เป็นมิตรของซิมบ้าและซาซู

อย่างไรก็ตามไม่มีใครเห็นสิ่งที่เขาทํา แต่จู่ ๆ ไฟก็ลุกโชน ความอบอุ่นของเปลวไฟแพร่กระจายเข้ามาในบ้านที่เหลือแต่เพดานครึ่งเดียว ทําให้ซิมบ้ารู้สึกสบายเหมือนได้อาบน้ำอุ่น เขาจําไม่ได้แล้วว่าครั้งสุดท้ายที่เขาได้อาบน้ำอุ่นคือเมื่อไหร่

ในขณะเดียวกัน มูฟาซาก็แอบเห็นกระดูกขาวัวตรงมุมที่เต็มไปด้วยรอยกัด เขาเลิกคิ้วขึ้น

ไม่รู้ว่าเขาหยิบหม้อที่คล้ายกับหมวกเกราะออกมาจากไหนวางไว้บนกองไฟ และออกไปข้างนอกเพื่อตักหิมะสะอาด ๆ มาต้มในหม้อ จากนั้นเขาก็หยิบเครื่องเทศที่ซิมบ้าไม่รู้จักออกมา และใส่มันลงไปในหม้อ ก่อนที่จะหยิบเบคอนชิ้นหนึ่งออกมานั่นเป็นชิ้นบาง ๆ ด้วยดาบยาว ๆ ของเขาและโยนมันลงไปในหม้อ

ซิมบ้ากระพริบตาปริบ ๆ ดาบยาวนั้นเป็นมีดหั่นเนื้อหรือ มันจะไม่ทําร้ายคนอื่นหรือ มันดูยาวเกินไปและดูไม่สะดวกเลยสักนิด

แต่ไม่นานพอกลิ่นหอมของซุปเบคอนก็ลอยขึ้นมา ชวนให้ซิมบ้าและคนอื่น ๆ น้ำลายสอ