ตอนที่ 190 เทพตลอดกาล
ปฏิกิริยาของเว่ยหลงย่อมเป็นที่ดึงดูดความสนใจของผู้คน
ประโยคว่า ‘สามอาชาไนยแล้วยังไงล่ะ’ อันที่จริงฟังดูโอ้อวดอยู่เล็กน้อย แต่กลับก่อให้เกิดประเด็นถกเถียงของผู้คนมากมายขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่
แต่ไม่ว่าจะเป็นประเด็นถกเถียงอะไร ก็ไม่อาจสกัดกั้นความสนใจใคร่รู้ของผู้คน
สรุปแล้วเป็นต้นฉบับแบบไหนกันแน่นะ ถึงทำให้เว่ยหลงเสียอาการแบบนี้ เสียอาการจนออกจะเกินจริงไปสักหน่อยไหม?
ดังนั้น ในแผนกจึงเป็นอันต้องเปิดการประชุม
แทนที่จะเรียกว่าการประชุม ให้บอกว่ารวมตัวกันอ่านนิยายเห็นจะเหมาะกว่า
เรื่องสร้อยคอเพิ่งพรินต์ออกมาสดๆ ร้อนๆ ส่งกลิ่นหมึกพิมพ์จางแต่สดใหม่ แจกจ่ายให้พนักงานระดับหัวหน้าบรรณาธิการขึ้นไปคนละชุด
เนื้อหาห้าพันตัวอักษร ใช้เวลาอ่านเพียงไม่นาน
ฮั่นจี้เหม่ยก็อ่านเรื่องสร้อยคอเช่นกัน
เธอเป็นคนแรกที่ได้เอกสารซึ่งพิมพ์เสร็จ ดังนั้นเธอจึงอ่านจบเป็นคนแรก
ทว่ายามที่เธออ่านนิยายทั้งเรื่องจบ กลับนั่งเงียบงันไปหนึ่งนาทีเต็มๆ
ไม่รู้ว่าเธอกำลังย้อนประมวลถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น หรือว่ากำลังรอคำวิจารณ์และความคิดเห็นจากหัวหน้าบรรณาธิการคนอื่นๆ
ไม่นาน
ในห้องประชุม
หัวหน้าบรรณาธิการคนอื่นๆ ก็ทยอยกันอ่านต้นฉบับจบ
และเมื่อเทียบกับความเงียบงันของฮั่นจี้เหม่ย ปฏิกิริยาของทุกคนก็ไปในแนวทางเดียวกันทั้งหมด บางคนถึงขั้นลุกขึ้นจากที่นั่งด้วยเจตนาชื่นชมเว่ยหลง “นิยายเรื่องนี้…”
เขาอ้าปาก อยากสรรหาคำศัพท์มาวิจารณ์ แต่นานโขก็ยังนึกไม่ออกสักที
เป็นเว่ยหลงที่กล่าวเสริมขึ้นมาอย่างเยือกเย็น “คลาสสิก!”
เฮือก!
ทั้งห้องประชุมแตกตื่นกันยกใหญ่
“ถูกต้อง คลาสสิก นี่เป็นผลงานคลาสสิกที่แท้จริง โดยเฉพาะตอนจบ ระดับความตื่นเต้นไม่ได้ด้อยไปกว่าเรื่องของขวัญแห่งเมไจเลย!”
“ตอนจบหักมุมน่าตกใจจริงๆ!”
“ต่อให้ไม่มีตอนจบที่หักมุม เรื่องราวนี้กล่าวถึงผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งสังเวยแทบทั้งชีวิตชดใช้ราคาของสร้อยคอปลอมที่ตัวเองคิดว่าราคาสูงลิบ แต่ในความจริงแล้วราคาไม่เท่าไหร่ เพียงเพื่อเกียรติยศจอมปลอมเพียงช่วงเวลาสั้นๆ!”
“ตอนจบเติมเต็มทั้งเรื่องให้สมบูรณ์แบบ ยกระดับให้ทั้งเรื่องสูงขึ้นอีกขั้น!”
“นี่เป็นครั้งแรกที่เรื่องสั้นถ่ายทอดแง่คิดเกี่ยวกับราคาที่ต้องจ่ายของเกียรติยศจอมปลอมได้ชัดเจนขนาดนี้!”
“ถ้าเจอเรื่องนี้ เฝิงหวาต้องมีหนาวกันบ้างแหละ!”
“ฉันประเมินฉู่ขวงต่ำไป พวกเราใจหายใจคว่ำกันยกใหญ่ แต่กลับไม่รู้เลยว่าคนที่แข็งแกร่งจริงๆ อยู่ในสนามแล้ว!”
“ถ้าว่ากันตามชื่อเสียงกับคุณวุฒิแล้ว ฉู่ขวงสู้เฝิงหวาไม่ได้เลย แต่ถ้าเทียบกันเรื่องนิยาย ก็ออกจะพูดยากอยู่นะ”
“หัวหน้า พวกเราน่าจะสู้ศึกหนักครั้งนี้กับพวกเขาได้แล้วละครับ!”
“…”
ทุกคนมองไปยังฮั่นจี้เหม่ย
ฮั่นจี้เหม่ยเป็นคนที่เยือกเย็นที่สุด
ผู้คนอดรู้สึกซูฮกในท่าทีของหัวหน้า สมแล้วที่เป็นผู้นำของพวกเรา ต่อให้เขาไท่ซานถล่มต่อหน้าก็ยังไม่หวั่นกลัว
นอกเสียจากว่าพวกเขาเห็นเล็บปลอมสีแดงสวยสดของฮั่นจี้เหม่ยที่หักเพราะเธอออกแรงมากเกินไป
“เตรียมรบได้”
ฮั่นจี้เหม่ยเก็บเล็บปลอมด้วยสีหน้าเรียบเฉย ข่มกลั้นความกระวนกระวายไว้ในใจ “โปรโมตเรื่องสร้อยคอไปหนักๆ เลย!”
“รับทราบ!”
ทุกคนตอบรับอย่างพร้อมเพรียงกัน
และในเย็นวันนั้น เซกชันวรรณกรรมของปู้ลั่วก็แขวนแบนเนอร์ขนาดยักษ์ คำประกาศตัวใหญ่ที่สุดในหน้าแรกว่า
[ผลงานใหม่ล่าสุดของนักเขียนเรื่องสั้นเปี่ยมพรสวรรค์ ฉู่ขวง เตรียมพร้อมที่จะส่งเสียงเชียร์กันแล้วหรือยัง!]
แบนเนอร์โปรโมตกินพื้นที่หนึ่งในสี่ของหน้าจอ
นี่เป็นการโปรโมตที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของปู้ลั่ววรรณกรรม
หลังจากที่กดเข้าไป ก็จะเห็นคำชื่นชมจากเหล่าบรรณาธิการนับไม่ถ้วนของปู้ลั่ววรรณกรรมต่อนิยายเรื่องนี้ ภายใต้ข้อแม้ว่าห้ามสปอยล์เนื้อเรื่อง หัวหน้าบรรณาธิการล้วนยกยอปอปั้นกันเสียยกใหญ่ รวมไปถึงแนะนำผลงานที่ผ่านมาของฉู่ขวง…
ไม่น่าแปลกใจ คำโปรโมตนี้ดึงดูดความสนใจจากผู้คนมากมาย
‘โปรโมตเว่อร์วังอลังการมาก แต่ขอถามอย่างหนึ่งนะ ฉู่ขวงคือใครเหรอคะ’
คอมเมนต์นี้มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นของคนจากมณฑลฉี
ชาวเน็ตฝั่งมณฑลฉินจึงแนะนำว่า ‘ฉู่ขวงเป็นนักเขียนหน้าใหม่ที่เก่งมากคนหนึ่ง เรียกว่าเป็นดาวรุ่งพุ่งแรงของวงการเรื่องสั้นเลย คุณไปอ่านนิยายเรื่องก่อนๆ ของเขาก็ได้นะครับ ส่วนตัวผมแนะนำเรื่องของขวัญแห่งเมไจ เป็นหนึ่งในสามเรื่องคลาสสิกในใจผมเลย!’
‘ฉู่ขวงเก่งจริงๆ แต่โปรโมตเบอร์นี้ไม่มากไปเหรอ’
‘กิจกรรมเดือนมีนาคมของปู้ลั่ววรรณกรรม มีชื่อว่าปากกาฝันวาดบุปผา[1] นักเขียนเบอร์ต้นๆ เข้าร่วมตั้งเยอะแยะ แต่ระดับการทรีตฉู่ขวงสูงที่สุด เทียบได้ระดับเดียวกับเฝิงหวาของทางบล็อกโนเวลเลย…’
‘ฉู่ขวงโหดกว่าอาจารย์เหวินต๋าอีกเหรอ’
‘ทางปู้ลั่ววรรณกรรม คนที่จะไปอยู่ระดับเดียวกับอาจารย์เฝิงหวาได้ ก็คงจะเป็นอาจารย์เหวินต๋า อาจารย์เสิ่นกงฝาง หรือไม่ก็อาจารย์เยวี่ยเหมยล่ะมั้ง’
‘…’
ก็เหมือนกับการส่งทหารออกรบ
บล็อกโนเวลดันเฝิงหวา เห็นได้ชัดว่าระดับและฝีมือของนักเขียนฝั่งนั้นมีเฝิงหวานำทัพ
และของทางปู้ลั่ววรรณกรรม ดันเป็นฉู่ขวง พลอยทำให้ผู้อ่านงุนงงกันเป็นธรรมดา
ทางปู้ลั่ววรรณกรรมมีนักเขียนที่เก่งกาจหลายคน
คนที่ถูกโปรโมตมากที่สุด ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ควรเป็นฉู่ขวง แม้ว่าฉู่ขวงจะไม่ใช่หน้าใหม่ในวงการเรื่องสั้นอีกต่อไป และเขาก็เคยมีผลงานที่เยี่ยมยอดมาหลายเรื่อง แต่นั่นก็ไม่อาจลบเลือนความจริงที่ว่าเขาเพิ่งเข้าวงการมาได้ไม่นาน
‘บอกเลยว่าทำเอาผมรอตั้งตารอเลยแหละ’
‘ผลงานใหม่ของฉู่ขวง จะดีพอถึงขั้นมาแข่งกับเฝิงหวาได้เลยเหรอ’
‘เป็นถึงกับหนึ่งในสามอาชาไนยเลยนะ’
‘หวังว่าปู้ลั่ววรรณกรรมไม่ได้อวดตัวไปเองหรอกนะ ทำอะไรซะเว่อร์วังขนาดนั้น ถ้าสุดท้ายแล้วคุณภาพของนิยายไม่ดีก็คงขายหน้าแย่เลย’
‘…’
ไม่ใช่เรื่องน่าสงสัยหรอก ความคาดหวังถูกยกระดับสูงขึ้นจริงๆ เพียงแต่นักอ่านก็ยากที่จะรู้สึกคลางแคลงใจ ไม่รู้ว่าปู้ลั่ววรรณกรรมเล่นอะไรแผลงๆ หรือเปล่า
เมื่อเทียบกันแล้ว
ทางบล็อกโนเวลก็รู้สึกตกใจอยู่บ้าง ถ้าหากปู้ลั่ววรรณกรรมไม่มั่นใจจริง จะจัดการโปรโมตเสียยกใหญ่ขนาดนี้เชียวหรือ
‘พวกเขาไม่กลัวว่าพอผลงานออกมา จะไม่ตรงใจคนอ่านหรือไง’
‘ตกใจจนฉันต้องรีบไปอ่านต้นฉบับของอาจารย์เฝิงหวาสงบสติอารมณ์อีกรอบเลย’
‘อาจารย์เฝิงหวาคงรู้สึกประหลาดใจล่ะมั้ง ปู้ลั่ววรรณกรรมเอาอะไรมามั่นใจขนาดนั้น’
‘ฉู่ขวงน่าจะเขียนออกมาดีพอตัวเลยล่ะมั้ง ฉันว่าศักยภาพของฉู่ขวงน่ากลัวมากทีเดียว ก่อนหน้านี้ก็อยากดึงตัวเขามา แต่น่าเสียดายที่หาช่องทางการติดต่อฉู่ขวงไม่เจอ’
‘มีอาจารย์เฝิงหวาก็พอแล้ว’
‘…’
มองจากภาพรวมแล้ว บล็อกโนเวลยังค่อนข้างวางใจอยู่
ไม่ใช่เพราะดูเบาฉู่ขวงหรอก แต่เพราะพวกเขามั่นใจในตัวหม่าเฝิงมากเหลือเกิน!
ในตอนนั้น
นักเขียนฝั่งปู้ลั่ววรรณกรรมก็ตื่นตะลึงเช่นกัน หลายคนถกเถียงเรื่องนี้กันในกลุ่ม ตัวอย่างเช่นคนที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงมากก็แสดงความคิดเห็นว่า…
เยวี่ยเหมย ‘โปรโมตฉู่ขวงเป็นหลัก?’
เสิ่นกงฝาง ‘คิดว่าจะเป็นอาจารย์เหวินต๋าเสียอีก’
เหวินต๋า ‘ต้องมีเหตุผลแน่ๆ รอดูก่อนเถอะ ผมเองก็คาดหวังกับฉู่ขวงเหมือนกัน ถ้าเกิดเขาโค่นอาจารย์เฝิงหวาได้ขึ้นมาล่ะครับ’
ไม่ได้ไม่พอใจอะไร
ใครเจอเฝิงหวาก็หงอกันทั้งนั้น
ในเมื่อฉู่ขวงถูกดันซะขนาดนี้ ก็ตีความได้เพียงอย่างเดียว ก็คือปู้ลั่ววรรณกรรมคิดว่า ในบรรดาต้นฉบับในครั้งนี้ ผลงานของฉู่ขวงโดดเด่นที่สุด!
ดังนั้นเมื่อเทียบกับความไม่พอใจแล้ว บอกว่าทุกคนสงสัยว่าต้นฉบับของฉู่ขวงจะดีถึงระดับไหนกันแน่ซะมากกว่า
……
ในที่สุดเดือนมีนาคมก็มาถึง พร้อมกับความสงสัยใคร่รู้ของผู้คนมากมาย
สำหรับผู้คนทั่วไปแล้ว เดือนมีนาคมนี้ไม่ได้มีอะไรแปลกใหม่
แต่สำหรับนักอ่านที่ชื่นชอบนิยายสั้นแล้ว นี่กลับเป็นช่วงเวลาแห่งความสนุกสุดเหวี่ยงที่หาได้ยากยิ่ง
ฉะนั้นแล้ว
เวลาเที่ยงคืนผ่านพ้นไป หลังจากที่ปู้ลั่ววรรณกรรมและบล็อกโนเวลทยอยปล่อยผลงานใหม่ของนักเขียนเรื่องสั้นที่มีชื่อเสียงแต่ละท่าน ยอดเข้าชมของทั้งสองแพล็ตฟอร์มก็พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว!
และในบรรดาคนเหล่านี้ นักอ่านส่วนมากกดเข้าไปอ่านผลงานของเฝิงหวาอย่างอดใจไม่ไหว!
หลงเฟยเป็นคนหนึ่งที่ชื่นชอบเรื่องสั้น
แต่อีกสถานะหนึ่งของหลงเฟย ก็คือเป็นแฟนคลับของฉู่ขวง!
เขาย่อมรู้เรื่องที่ปู้ลั่ววรรณกรรมและบล็อกโนเวลขึ้นสังเวียนสู้กัน และรู้ว่าปู้ลั่ววรรณกรรมแนะนำอาจารย์ฉู่ขวง มิหนำซ้ำยังให้อาจารย์ฉู่ขวงชนกับเฝิงหวา หนึ่งในสามอาชาไนยของวงการเรื่องสั้น
ในฐานะแฟนคลับ หลงเฟยต้องติดตามเรื่องนี้อย่างแน่นอน
เขากดเปิดนิยายของเฝิงหวาก่อน
หลงเฟยคิดว่าสิ่งที่เขาทำคล้ายกับการสอดแนมสถานการณ์ของคู่ต่อสู้
ผลงานของอาจารย์เฝิงหวามีชื่อว่า ‘เปลี่ยนหน้า’
เกริ่นเรื่องมาไม่ได้มีอะไรน่าตื่นเต้น เป็นแค่คดีธรรมดา สายตรวจคนหนึ่งเข้ามารับคดีนี้
ที่แท้ก็เป็นสุนัขซึ่งไม่ได้ถูกล่ามไว้ตัวหนึ่ง มากัดคนผ่านทาง
สายตรวจคนนี้ย่อมต้องช่วยเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับผู้บาดเจ็บ จึงเข้าไปสอบถามเหตุการณ์ และให้เจ้าของสุนัขจ่ายเงินชดใช้
แต่กลับมีคนผ่านทางเข้ามาบอกว่า นี่เป็นสุนัขของบ้านนายพลสักคนหนึ่ง…
หน่วยลาดตระเวนสีหน้าเปลี่ยนทันใด ยืนยันว่าเป็นปัญหาของคนผ่านทางมาเอง แถมยังเตะสุนัขด้วย นี่นับเป็นการทารุณกรรมสัตว์ ซึ่งผิดกฎหมาย!
จากนั้นก็มีคนผ่านทางมาพูดอีกว่า นี่ไม่ใช่สุนัขของบ้านนายพล
หน่วยลาดตระเวนสีหน้าเปลี่ยนอีกครั้ง ตัดสินใจจะจัดการสุนัข
จากนั้นก็มีคนบอกอีกว่า ถึงแม้สุนัขตัวนี้จะไม่ใช่สุนัขของบ้านนายพล แต่กลับเป็นสุนัขที่พี่ชายของนายพลเลี้ยงไว้…
หน่วยลาดตระเวนสีหน้าเปลี่ยนเป็นครั้งที่สาม
จุดยืนของเขาถูกเปลี่ยนไปครั้งแล้วครั้งเล่าเพราะคำพูดของคนผ่านทาง
และเมื่อถึงตอนจบ คนบ้านนายพลมารับสุนัขตัวนี้ไป
ปรากฏว่าจู่ๆ สุนัขก็สะบัดหลุดจากมือของเจ้าของ กัดขาหน่วยลาดตระเวนเข้าเต็มคำ
สุดท้ายแล้วหน่วยลาดตระเวนก็ก่นด่าคนผ่านทางคนแรกที่โดนสุนัขกัดด้วยความโกรธ เขาคิดว่าคนผ่านทางคนนี้ไปยั่วโมโหสุนัขตัวนี้เข้า!
เรื่องราวก็จบลงด้วยประการฉะนี้
เรื่องราวที่เนื้อหาแสนจะสั้น นับรวมจำนวนตัวอักษรแล้วประมาณสามพันตัวอักษร แต่สำนวนภาษาและลีลากลับฉลาดหลักแหลมและเปี่ยมอารมณ์ขัน โดยเฉพาะการเปลี่ยนสีหน้าของหน่วยลาดตระเวนหลายครั้งที่ยิ่งถ่ายทอดนิสัยชอบรังแกผู้ที่อ่อนแอกว่าแต่กลับหวาดกลัวผู้ที่แข็งแรงกว่าออกมาได้ถึงรสถึงชาติ
ในตอนจบ สุนัขก็กัดหน่วยลาดตระเวนจนบาดเจ็บ ยิ่งทำให้ผู้คนต้องขบคิด ขณะที่ก็รู้สึกขบขันไปด้วย
หลงเฟยละเมียดลิ้มลองผลงานชิ้นนี้อยู่นาน ท้ายที่สุดแล้วก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกสะท้อนใจ
เรื่องนี้ ยอดเยี่ยมมาก!
สมแล้วที่เฝิงหวาเป็นหนึ่งในสามอาชาไนย
พล็อตเรื่องเรียบง่ายแท้ๆ แต่กลับเล่นกับศิลปะการเสียดสี ผ่านการเปลี่ยนสีหน้าหลายครั้งของหน่วยลาดตระเวนได้อย่างสนุกสนาน!
เรื่องราวของเรื่องนี้ ทำให้หลงเฟยนึกโยงไปถึงเรื่องความตายของเสมียนรัฐที่ฉู่ขวงเขียนก่อนหน้านี้
ศิลปะการเสียดสีเหมือนกัน ฝีมือของเฝิงหวาไม่ได้ด้อยไปกว่าฉู่ขวงเลย!
หลงเฟยถึงขั้นรู้สึกว่าเรื่องนี้สุดยอดกว่าด้วยซ้ำไป
โดยเฉพาะเมื่อรวมกับสถานะในวงการของตัวเฝิงหวาเอง เขาเขียนงานแนวเสียดสีประเภทนี้ ยิ่งชวนให้ผู้คนขบคิดอย่างลึกซึ้งได้ง่ายกว่า จากนั้นยิ่งขบคิดก็ยิ่งหวนระลึกถึง…
“เฉียบ!”
หลงเฟยอดรู้สึกชื่นชมไม่ได้ เพียงแต่นอกจากชื่นชมแล้ว หลงเฟยก็ลอบปาดเหงื่อแทนฉู่ขวงอย่างห้ามไม่อยู่
ล็อกอินเข้าปู้ลั่ววรรณกรรม
หลงเฟยกดเปิดผลงานของฉู่ขวง ซึ่งเป็นนิยายที่มีชื่อว่า ‘สร้อยคอ’
และขณะที่อ่านผลงานชิ้นนี้ ความรู้สึกในใจของหลงเฟยก็คือ
‘ถึงยังไงอาจารย์ฉู่ขวงก็ยังอายุน้อย ต่อให้ผลงานของเขาสู้อาจารย์เฝิงหวาไม่ได้ ขอแค่ต่างกันไม่มาก ก็ถือว่าชนะแล้ว!’
อย่างไรซะ อีกฝ่ายก็เป็นถึงสามอาชาไนย
และเมื่อกำลังจะอ่านถึงตอนจบของเรื่อง ความรู้สึกของหลงเฟยก็ค่อยๆ ผ่อนคลายลงอยู่บ้าง
จังหวะอันงดงาม
อาจารย์ฉู่ขวงก็เล่นการเสียดสีเหมือนกัน ประเด็นหลักของการเสียดสีก็คือวัตถุนิยมและเกียรติยศจอมปลอม เมื่อเทียบกับเรื่องเปลี่ยนหน้าของอาจารย์เฝิงหวาแล้ว เรื่องนี้มีความเป็นเรื่องราวที่ต่อเนื่องกว่าอยู่สักหน่อย
ต่อให้จะต่างกันเพียงเล็กน้อย…
สมองของหลงเฟยชะงักค้างไปทันที เพราะเขาอ่านไปถึงท่อนสุดท้ายของเรื่องสร้อยคอ ชั่วพริบตาเดียวทั้งเรื่องก็กลับตาลปัตรไปอย่างใหญ่หลวง!
ในขณะเดียวกันนั้นเอง
ในกลุ่มแช็ตแฟนคลับบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ของหลงเฟย มีแฟนคลับตัวยงที่ชื่นชอบฉู่ขวงยิ่งกว่าหลงเฟย ส่งซองแดงพร้อมแนบข้อความ
‘ฉู่ขวง เทพตลอดกาล!’
……………………………………………………
[1] ปากกาฝันวาดบุปผา เปรียบเปรยถึงผู้ที่มีพรสวรรค์ในการเขียน