ตอนที่ 56-2 จะมาโทษข้าได้อย่างไร?

จากนั้นอัครมเหสีได้ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก และรู้สึกว่า นางมิค่อยเข้าใจเด็กสาวผู้นี้สักเท่าใด

ส่วนใหญ่แล้ว ชีวิตในวัยเด็กของบรรดาเชื้อพระวงศ์ที่เติบโตขึ้นมาในขอบเขตของวังหลวงนั้น

จะพบเจอกับประสบการณ์มากมายเกี่ยวกับเรื่องการชิงดีชิงเด่นเหล่านี้

แต่เด็กผู้นี้เติบโตในชนบทที่ห่างไกลความเจริญ นางจะมีความรู้ความเข้าใจที่ชัดเจนได้อย่างไรว่า ผู้ใดจริงใจและเป็นพันธมิตรของนางในช่วงระยะเวลาอันสั้นเช่นนี้

ยิ่งไปกว่านั้น นางตอบสนองอย่างเหมาะสม … อย่างน้อยก็สามารถกล่าวได้ว่า มันน่าประหลาดใจเป็นอย่างมาก

จากนั้นเพียงมิกี่ชั่วโมง ข่าวนี้ได้แพร่สะพัดออกไปเข้าหูของนายหญิงทั้งสามคนของบ้านตระกูลหลี่

หลี่เหว่ยหยางได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นเซียนจูแห่งอันผิง

ในเวลาเดียวกันฮูหยินใหญ่เจียงชิ ก็ได้รับตำแหน่งขุนนางอันดับหนึ่ง

และตันชิ ผู้ซึ่งเป็นมารดาผู้ให้กำเนิดของนางได้รับตำแหน่ง ซูเหรินลำดับที่สาม

ซึ่งสิ่งนี้ทำให้ผู้คนที่อยู่ในตระกูลหลี่ทั้งหมดเกิดความรู้สึกตกตะลึงและประหลาดใจเป็นอย่างมากในขณะนี้

สะใภ้รองเป็นอีกผู้หนึ่งที่ตกตะลึงจนอ้าปากค้างด้วยความมึนงง ที่ตอนนี้หลี่เหว่ยหยางได้กลายเป็นเซียนจูไปแล้ว

และชิหยินเหนียง ผู้เป็นมารดาของเว่ยหยางซึ่งปกติแล้วจะมิได้รับอนุญาตให้ร่วมรับประทานอาหารที่โต๊ะใหญ่ ต่อไปนี้ทุกอย่างคงจะเปลี่ยนแปลงไป

เพราะนางได้รับการแต่งตั้งให้เป็นถึงซูเหรินอันดับสาม

มันช่างเป็นเรื่องที่อัศจรรย์ และเหลือเชื่อราวกับเทพนิยาย

และในตอนนี้เมื่อได้เห็นหีบสมบัติสีแดงทั้งแปดหีบ และราชโองการผืนผ้าสีเหลืองแล้ว ทุกคนจึงรับรู้อย่างเป็นทางการว่า ทั้งหมดคือเรื่องจริง

เมื่อถึงเวลาต้องรับราชโองการของจักรพรรดิ ใบหน้าของฮูหยินใหญ่ก็ได้เกิดความตึงเครียดและมีอาการสั่นเทาด้วยความโกรธแค้นอยู่พักหนึ่ง

จนกระทั่งนางพยายามทำจิตใจให้สงบและตั้งสติอย่างสุดความสามารถ

ขณะที่สายตาแห่งความเย้ยหยันของสะใภ้รองกำลังจ้องมองมาที่นางด้วยความสุขใจ

และแม้แต่ท่าทางที่เย็นชาและเฉยเมยของฮูหยินสามก็มีความประหลาดใจที่ฉายผ่านออกมาจากดวงตาเช่นเดียวกัน

เนื่องจากมีคำสั่งกำหนดให้สมาชิกทุกคนในบ้านตระกูลหลี่มายืนรอที่บริเวณประตูนั้น

ทุกคนในเมืองหลวงจึงตระหนักว่าคุณหนูสามแห่งตระกูลหลี่ ผู้มีนามว่าหลี่เว่ยหยางได้ช่วยจักรพรรดิแก้ไขเรื่องยุ่งยากเกี่ยวกับปัญหาภัยพิบัติของราษฎร

และได้รับการแต่งตั้งให้เป็น’เซียนจูแห่งอันผิง’

ส่วนหลี่จางเล่อนั้น โกรธจนใบหน้าที่ซีดเซียวของนางเริ่มที่จะกลายเป็นสีเขียวคล้ำแล้วในตอนนี้

ซึ่งผู้ที่จะได้รับเกียรติและบรรดาศักดิ์นี้ควรจะเป็นนาง

หลี่เว่ยหยางจงใจหลอกล่อพี่สาวผู้นี้ให้ติดกับดัก และนางคือผู้ที่อยู่เบื้องหลังความพยายามนี้!

อย่างไรก็ตาม ฮูหยินใหญ่พยายามทำทุกอย่างให้เป็นปกติที่สุดด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใส ราวกับว่ามีความยินดีกับความสำเร็จของบุตรสาวผู้นี้

หลังจากรับราชโองการของจักรพรรดิแล้ว นางจึงสั่งให้สาวใช้ช่วยพยุงผู้อาวุโสหลี่เข้าไปด้านใน

และสั่งสาวใช้อีกคนนำเงินไปมอบให้ขันทีผู้ที่อัญเชิญราชโองการมา

ขณะนี้ใบหน้าของหลี่จางเล่อเต็มไปด้วยความเคียดแค้นและชิงชัง

ส่วนคุณหนูรอง ผู้ที่มีนามว่าหลี่ฉางหลู บุตรสาวของสะใภ้รองนั้น มีความรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งกับความพ่ายแพ้ที่ยับเยินของพี่สาวผู้มีความงดงาม จึงจงใจเดินเข้าไปหานาง

“พี่ใหญ่! เหตุใดสีหน้าของท่านจึงดูซีดเซียวผิดปกติ ท่านเป็นอันใดไปหรือไม่?”

หลี่จางเล่อจุกแน่นอยู่ภายในหัวใจจนมิสามารถกล่าวอันใดได้เลย ขณะที่มือของนางนั้นกำแน่นเป็นหมัด และเล็บได้จิกเข้าไปในฝ่ามือของตนเองจนเลือดไหลซึมออกมา

เมื่อเห็นดังนั้นแล้ว น้ำเสียงที่อ่อนโยนและสงบของฮูหยินใหญ่ได้ดังขึ้น:

“ฉางหลู , พี่ใหญ่ของเจ้ามีอาการหวัดเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ความห่วงใยของเจ้าที่มีต่อพี่ใหญ่นั้นนับว่าเป็นสิ่งที่ดี

แต่เจ้าควรรักษาสุขภาพของตนเองด้วยเช่นกัน เพราะว่าช่วงนี้อากาศหนาวเย็นมาก

ในเมื่อตอนนี้พิธีรับราชโองการของจักรพรรดิได้เสร็จเรียบร้อยแล้ว เช่นนั้นเจ้าควรกลับไปพักผ่อนได้แล้ว”

หลี่ฉางหลูเม้มริมฝีปากของตนเองและช่วยพยุงร่างของสะใภ้รองให้ลุกขึ้น ขณะที่เดินจากไปด้วยอารมณ์ที่หงุดหงิด

และทันใดนั้นชิหยินเหนียงผู้ซึ่งยืนอยู่ห่างจากบุตรสาว ในระยะที่พอจะมองเห็นใบหน้าได้อย่างชัดเจน

นางกำลังมีความสุข ขณะที่ใบหน้านั้นเต็มไปด้วยน้ำตาแห่งความปิติยินดี

แต่ต่อหน้าฮูหยินใหญ่แล้ว นางมิกล้าเปิดเผยความสุขของตนเองเช่นนี้

ชิหยินเหนียงจ้องมองหลี่เว่ยหยางอย่างมีความหมาย ตันชิต้องการก้าวมาข้างหน้าเพื่อกล่าวบางอย่างกับบุตรสาวของตนเอง

แต่มีผู้คนมากมายอยู่ที่นั่นด้วย นางจึงมิกล้ากล่าวอันใดมาก ขณะที่จ้องมองไปยังหลี่เว่ยหยางด้วยแววตาแห่งความสงสัย ก่อนที่สาวใช้คนสนิทจะช่วยพยุงนางกลับไปยังตำหนักของตนเอง

หลี่เว่ยหยางมองไปยังมารดาผู้ให้กำเนิดขณะที่กำลังเดินจากไป จากนั้นจึงหันกลับมา

ขณะที่กำลังยืนอยู่บนขั้นบันได นางเห็นฮูหยินใหญ่สั่งให้สาวใช้ที่มีชื่อว่าตันเซียงไปช่วยพยุงร่างของหลี่จางเล่อให้เข้าไปด้านใน

ขณะที่ตัวของนางนั้นดูแลสาวใช้ที่กำลังขนย้ายหีบสมบัติเข้าไปด้านใน

สาวใช้กำลังพยุงร่างของคุณหนูใหญ่ผู้บอบบางขณะที่กล่าวว่า:

“คุณหนู! ระวังตัวด้วย”

หลี่เว่ยหยางยิ้มเล็กน้อย

ครั้งนี้นางทำให้หลี่จางเล่อเกิดความผิดหวัง และเสียใจเป็นอย่างมาก

แต่ดูเหมือนจะมิมีร่องรอยของอารมณ์ใด ๆ ปรากฏให้เห็นบนใบหน้าของฮูหยินใหญ่เลย

ดูเหมือนว่า นางช่างเป็นคู่ต่อสู้ที่มีความน่ากลัวและมิใช่เรื่องง่ายที่จะเผชิญหน้ากับคนผู้นี้

เมื่อหลี่จางเล่อเดินขึ้นบันไดมาอย่างสง่างาม ทันใดนั้นนางได้หยุดก้าวเดินกลางคัน และจ้องมองมายังหลี่เว่ยหยาง

ไป๋จือเกิดความรู้สึกตกใจกับการจ้องมองของนาง และก้มศีรษะลงทันที

ตันเซียงกล่าวด้วยความประหม่าว่า:

“คุณหนูสาม, คุณหนูใหญ่รู้สึกมิค่อยสบาย และมิสามารถเข้าร่วมในงานเลี้ยงตอนเย็นที่นายท่านจัดเตรียมเอาไว้สำหรับคุณหนูได้

ตอนนี้บ่าวขอตัวพาคุณหนูกลับเข้าไปพักผ่อนก่อน”

การแสดงออกของหลี่เว่ยหยางนั้นมิมีอันใดเปลี่ยนแปลง นางทำเพียงแค่พยักหน้า:

“เช่นนั้นจงดูแลพี่ใหญ่ให้ดี”

จากนั้นเว่ยหยางจึงหันหลังเพื่อเดินกลับยังตำหนักของตนเองบ้าง

“เจ้า! หยุดเดี๋ยวนี้!”

หลี่จางเล่อตะโกนเรียกทันที แม้ว่าเสียงของนางจะมิดังมาก แต่น้ำเสียงนั้นมีความโกรธเคืองซ่อนอยู่

หลี่เว่ยหยางมองไปที่นางและยิ้มกว้าง:

“พี่ใหญ่ มีอันใดเกิดขึ้นหรือ?”

หลี่จางเล่อจ้องมองกลับมาพร้อมกับแววตาที่สะท้อนให้เห็นถึงความเป็นศัตรู:

“หลี่เว่ยหยาง ทั้งหมดนี้เป็นแผนการของเจ้าใช่หรือไม่?!”

“แผนการอันใด?”

หลี่เว่ยหยางยิ้มเบา ๆ ขณะที่กล่าวต่อไปอีกว่า

“ข้าขอร้องให้พี่ใหญ่มาขโมยความคิดของข้าไป เช่นนั้นหรือ?

หรือว่าข้าขอร้องให้พี่ใหญ่ไปหาจักรพรรดิเพื่อรับรางวัล?

ท่านทำทุกอย่างเพื่อหวังผลประโยชน์ทั้งนั้น แล้วจะมาโทษข้าได้อย่างไร”