บทที่ 219 มันฝรั่ง

บทที่ 219 มันฝรั่ง

เป็นความจริงที่ว่าหลายวันมานี้หนานกงหลีดื่มสุราไปเยอะทีเดียว แม้ตนเองจะไม่ได้กลิ่น แต่ก็มิใช่กับคนรอบข้าง

หนานกงหลีรีบวางเสี่ยวเป่าที่อยู่ในอ้อมแขนลง จากนั้นก็ชะโงกหน้าไปแทะแก้มก้อนนุ่มนิ่ม

“เสี่ยวเป่ารออาเจ็ดก่อนนะ อาจะไปขัดสีฉวีวรรณให้หอมชื่นใจเลย”

พูดจบก็ลูบผมของเจ้าตัวน้อยพลางเขี่ยจมูกเล็ก ๆ ของนาง จากนั้นก็เดินออกไปอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก

เฮ้อ หยิกแก้มเจ้าตัวน้อยทีไรรู้สึกไม่อยากปล่อยมือทุกที

เสี่ยวเป่าที่แก้มเต็มไปด้วยรอยถูกหยิก “…”

เกินไปแล้วนะ!

เจ้าตัวเล็กกัดขนมข้าวเหนียวคำโตด้วยความไม่พอใจ ดวงตาคู่งามมองแผ่นหลังของท่านอาเจ็ดค่อย ๆ ลับสายตาไป

พระชายาเซียวเหยาอ๋องกล่าวอย่างตำหนิพลางจัดทรงผมของเสี่ยวเป่าให้เรียบร้อย

“จริง ๆ เลย ทำผมเผ้าของเจ้ายุ่งเหยิงอยู่เรื่อย”

เสี่ยวเป่าพยักหน้าเห็นด้วยเต็มที่ พลางลูบผมที่ถูกเล่นจนชี้ฟูของตัวเองไปด้วย

“เจ็บแก้มหรือไม่”

พระชายาเซียวเหยาอ๋องใช้มือลูบไล้ใบหน้านุ่มนิ่มของเสี่ยวเป่า

เสี่ยวเป่าส่ายหัวพลางตอบเสียงหวาน “ไม่เจ็บเพคะ”

“ให้อาดูหน่อย เป็นรอยแดงหมดแล้ว เหตุใดผิวของเสี่ยวเป่าถึงบอบบางเช่นนี้นะ”

หลายชั่วอึดใจต่อมา…

“ท่านอา ดูเสร็จหรือยังเพคะ”

ดวงตาสดใสของเสี่ยวเป่ามองอาสะใภ้ที่กำลังประคองใบหน้าของตนอยู่ นึกสงสัยว่าท่านอากำลังฉวยโอกาสบีบแก้มของนางหรือเปล่า

“อะแฮ่ม…เสร็จแล้ว ๆ”

มิน่าเล่าสามีของนางถึงได้ชอบกอดรัดฟัดเหวี่ยงเจ้าก้อนแป้งนุ่มนิ่มนัก อะแฮ่ม…เห็นแล้วก็อดบีบเล่นไม่ได้เหมือนกัน

เสี่ยวเป่าลูบแก้มน้อย ๆ พลางถอนหายใจอย่างเศร้าสร้อย น่ารักเกินไปก็น่ากลุ้มใจเหมือนกันนะเนี่ย

หนานกงหลีอาบน้ำล้างตัวเสร็จ ก็เปลี่ยนมาสวมชุดใหม่กลิ่นหอมฟุ้ง จากนั้นก็โบกพัดในมือและเดินออกมาด้วยท่วงท่าสง่างาม

มิอาจปฏิเสธได้เลยว่าสวรรค์ช่างเข้าข้างหนานกงหลีจริง ๆ

ชายหนุ่มอายุสามสิบกว่า ๆ ทว่าใบหน้ากลับดูอ่อนเยาว์ราวเด็กหนุ่มวัยแรกรุ่น โดยเฉพาะผิวพรรณที่ยังดูเรียบเนียนไม่เปลี่ยน

“ไปกันเถิด เวลานี้เมืองหลวงกำลังคึกคักทีเดียว”

หนานกงหลีโน้มตัวไปอุ้มเสี่ยวเป่าขึ้นมา จากนั้นก็เกาคางน้อย ๆ ที่นุ่มนิ่มนั้น

“ท่านอาสะใภ้ไปเที่ยวด้วยกันไหมเพคะ”

พระชายาเซียวเหยาอ๋องโบกมือปฏิเสธ “ข้าไม่ไป เสี่ยวเป่าต้องอยู่กับอาเจ็ดตลอดเวลานะ ระวังอย่าให้หลงทาง พาคนไปเยอะ ๆ ด้วย”

ทั้งสองประสานเสียงอย่างพร้อมเพรียง “เข้าใจแล้ว”

ขณะที่พระชายาเซียวเหยาอ๋องมองท่านอ๋องผู้มีนิสัยใจคอราวกับเด็กน้อยไม่แปรเปลี่ยน นางก็เผยรอยยิ้มพลางส่ายหน้า

สภาพจิตใจดีถึงเพียงนั้น ทั้งยังเที่ยวเล่นทำตัวเหมือนกับเด็ก ๆ ไปวัน ๆ จะไม่ดูหนุ่มแน่นได้อย่างไร

เมื่อก้าวเท้าออกจากจวนเซียวเหยาอ๋อง ถนนสายหลักที่ส่งเสียงอึกทึกครึกโครมก็พลันปรากฏขึ้นในสายตา

เพียงไม่นานเสี่ยวเป่าก็มองเห็นผู้คนมากมายสวมใส่เสื้อผ้าไม่ซ้ำแบบ ผู้คนรูปร่างหน้าตาไม่เหมือนกับชาวต้าเซี่ยบนท้องถนน กระทั่งมีการแสดงกายกรรมปรากฏอยู่ทุกหนแห่ง

“ว้าว! คนต่างถิ่นเยอะแยะเลย!”

ถูกต้องแล้ว พวกเขาล้วนแต่มีรูปร่างหน้าตาเหมือนกับคนต่างแดน

“คนพวกนั้นคือชาวหู*[1]เป็นพวกชนพื้นเมือง ส่วนใหญ่เป็นกองคาราวานพ่อค้าที่นำสินค้าจากต่างแดนมาขาย มีข้าวของหลากหลายเชียวล่ะ อยากไปดูหรือไม่”

“อยากเพคะ ๆ ๆ!”

หนานกงหลีอุ้มเสี่ยวเป่าเข้าไปเลือกดูสินค้า

พ่อค้าต่างแดนเช่าแผงจำนวนไม่น้อยเพื่อวางขายสินค้าที่พวกเขานำมา สินค้าส่วนใหญ่เป็นพวกเครื่องประดับเพชรนิลจินดา ขนสัตว์และผ้าชนิดต่าง ๆ อีกทั้งมีผักผลไม้มากมายที่เติบโตเฉพาะในดินแดนของพวกเขา

“อยากได้อะไรก็หยิบได้เต็มที่เลยนะ อาเจ็ดจ่ายให้เอง!”

เสี่ยวเป่าพึมพำอยู่ในอ้อมแขนเขา “เสี่ยวเป่าก็มีเงินนะ”

เหลาอาหารเจินซิวทำเงินให้นางได้ไม่น้อย นางเองก็มีคลังสมบัติเล็ก ๆ ของตัวเองเหมือนกัน

“อะไรกัน อาเจ็ดอยากจ่ายให้ก็ไม่ได้หรือ”

เสี่ยวเป่า “เช่นนั้นเสี่ยวเป่าไม่เกรงใจนะ!”

เครื่องประดับส่องแสงระยิบระยับ มีทั้งหินหยก แล้วก็หยกเนื้อดีสีเขียวมรกตด้วย ซื้อ!

ขนสัตว์ชั้นดี ซื้อ!

แล้วก็เครื่องแก้วที่ทำให้คนมิอาจละสายตาไปได้…

“ชิ้นนี้ ชิ้นนี้ไม่ซื้อ!”

เสี่ยวเป่ารีบคว้ามือของท่านอาเจ็ด ดวงตากลมโตคู่งามเบิกกว้าง “ชิ้นนี้ราคาเท่าไหร่หรือ”

นางนึกสงสัยว่าตนหูฝาดไปหรือไม่ แค่แก้วเล็ก ๆ ใบเดียว เหตุใดถึงแพงเพียงนั้น!

ถึงแม้ว่าแก้วใบนี้จะงดงาม แต่เมื่อเทียบกับเครื่องแก้วระยิบระยับที่นางเคยเห็นในชาติที่แล้ว แก้วใบนี้ถือว่ายังห่างชั้นนัก

“แปดร้อยตำลึงเงินขอรับ”

พ่อค้าต่างแดนพูดราคาซ้ำเป็นครั้งที่สอง

เสี่ยวเป่า “!!!”

ไม่เบานี่ เห็น ๆ อยู่ว่าเจ้าปล้นเงินพวกเราแลกกับแก้วหนึ่งใบ แต่ว่า…เสี่ยวเป่าจะไม่ยอมโดนเอาเปรียบ!

“ไม่เอา ท่านอาเจ็ดพวกเราไปดูทางนั้นกันเถอะ”

“เหตุใดถึงไม่ซื้อเล่า สวยออกนะ ใช้ชงชาได้อารมณ์สุด ๆ”

เสี่ยวเป่าพึมพำ “ไม่ใช่เสียหน่อย ใช้เงินต้มชาสิไม่ว่า”

หนานกงหลี “ปากเล็ก ๆ รู้จักพูดจริงนะ ก็ได้ ๆ ไม่ซื้อก็ไม่ซื้อ พวกเราไปดูร้านอื่นกันเถิด เสี่ยวเป่าดูแจกันใบนั้นสิ…”

เมื่อมองเห็นแจกันแก้วใบใหญ่ยิ่งกว่าเดิม เสี่ยวเป่าก็รีบเอามือปิดปากท่านอาเจ็ดทันที

“ไม่เอา!”

นางยืนกรานหนักแน่น

หนานกงหลี “…ไม่เอาก็ช่าง”

เสี่ยวเป่าถอนหายใจด้วยความโล่งอก นางมีความสุขที่ได้ประหยัดเงินก้อนโตให้ตัวเอง แต่แล้วก็ได้ยินท่านอาเจ็ดพูดมุบมิบแลดูงี่เง่าว่า

“ในเมื่อเจ้าไม่ชอบของที่นี่ เช่นนั้นกลับไปเลือกในคลังของอาเจ็ดดีหรือไม่ อาเจ็ดสะสมไว้หลายชุดเลยนะ”

เสี่ยวเป่า “…”

หนานกงหลี “สายตาแบบนั้นหมายความว่าอย่างไร”

สายตาที่กำลังมองคนโดนต้มตุ๋น

เป็นความจริงที่เสี่ยวเป่าไม่รู้วิธีหลอมเครื่องแก้ว แต่นางรู้ว่าแก้วพวกนั้นทำมาจากอะไร

คราวหน้านางควรขอให้ท่านพ่อหาช่างฝีมือมาลองทำดีหรือไม่นะ?

เสี่ยวเป่าลากท่านอาเจ็ดจอมซื่อบื้อไปที่ร้านขายเมล็ดพันธุ์ ปากก็เอ่ยพึมพำไม่หยุด

“แตงกวา มะเขือม่วง ฟักเขียว ดอกกะหล่ำ…”

ที่นี่มีเมล็ดพันธุ์ผักขายแทบจะทุกชนิด เสี่ยวเป่าจัดการซื้อเมล็ดพันธ์ุพื้นฐานมาเกือบหมด

จากนั้น…นางก็มองเห็นเมล็ดมันฝรั่ง!

กำลังง่วงก็มีคนส่งหมอนมาให้พอดี*[2] เสี่ยวเป่ารีบจูงมือท่านอาเจ็ดเดินเข้าไป ก่อนจะเอ่ยถามพลางจ้องไปที่มันฝรั่งตาปริบ ๆ

“อันนี้ขายอย่างไรหรือเจ้าคะ”

มันฝรั่งถูกบรรจุไว้ในลังไม้ แต่เป็นไปได้ว่าขณะขนส่งไม่ได้เก็บรักษาให้ดีทำให้เกิดความชื้น มันฝรั่งหลายลูกจึงมีลำต้นแทงขึ้นมา

พ่อค้าต่างแดนเองก็กำลังกลุ้มใจเรื่องที่มันฝรั่งมีหน่องอกออกมา พอได้ยินคนถาม ดวงตาก็พลันเป็นประกาย เขาพูดภาษาจงหยวนด้วยสำเนียงประหลาดที่ไม่ค่อยคล่องปากนัก

“หากพวกท่านอยากได้ ไข่ดินลังนี้*[3]ข้าขายแค่สิบตำลึงเงินเท่านั้น!”

ไข่ดินมีรูปร่างประหลาด ทั้งยังมีหน่อแทงออกมา มิหนำซ้ำคนที่นี่ก็ไม่เคยกินมาก่อน ย่อมไม่ยินดีที่จะซื้อไป

“เจ้าไข่ดินนี้ พวกข้าพบมันโดยบังเอิญ หากนำไปต้มน้ำแล้วเอามากิน จะช่วยให้อยู่ท้องมากเลยนะ”

เสี่ยวเป่า “แต่มันฝรั่งที่หน่องอกแล้วมันมีพิษ กินไม่ได้”

ได้ยินเช่นนั้น พ่อค้าต่างแดนก็เบิกตากว้าง “มีพิษหรือ!”

แม้แต่พวกเขาเองก็ยังไม่รู้ แต่ว่า…

เมื่อนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างเดินทางมาที่นี่ มีคนนำไข่ดินที่แตกหน่อแล้วไปต้มกิน จากนั้นก็อาเจียนและท้องเสียไม่หยุดถึงขนาดตายไปสองคน พ่อค้าต่างแดนพลันหน้าซีด

“เจ้ารู้ได้อย่างไร”

น้ำเสียงของเขาเจือแววร้อนรน แทบจะคว้าตัวเสี่ยวเป่ามาถามให้รู้แล้วรู้รอด แต่ก็ถูกองครักษ์ขวางทางเอาไว้

“ขออภัย ข้าเพียงแต่นึกถึงคนในกองคาราวานสองคนของพวกข้าที่กินไข่ดินที่แตกหน่อเข้าไป จากนั้นพวกเขาก็ตายระหว่างทาง”

เสี่ยวเป่า “เจ้านี่แตกหน่อแล้วกินไม่ได้เจ้าค่ะ มันมีพิษ”

สีหน้าของพ่อค้าต่างแดนผู้นั้นพลันแย่ลง “มิน่าเล่า พวกข้าถึงหาสาเหตุการตายของพวกเขาไม่พบ ต้องขอบใจเจ้ามาก ไข่ดินพวกนี้…”

เขามีสีหน้าว้าวุ่นใจ ในเมื่อรู้แล้วว่าหากกินไข่ดินแตกหน่อจะทำให้ถูกพิษ เกรงว่าไข่ดินพวกนี้ก็คงจะขายไม่ออกเสียแล้ว

[1] ชาวหู (胡人) เป็นคำที่ชาวจีนฮั่นใช้เรียกอนารยชนทางตอนเหนือแผ่นดินจีนอย่างรวม ๆ ชาวหูเคยเป็นดั่งคนป่าเถื่อน มีวิถีชีวิตแบบเร่ร่อน เลี้ยงสัตว์ กางกระโจมอยู่ตามทุ่งหญ้าทางตอนเหนือของจีน และย้ายถิ่นฐานไปเรื่อย ชาวหูที่เป็นที่รู้จักกันดีมีพวกซยงหนู

[2] กำลังง่วงก็มีคนส่งหมอนมาให้พอดี (打瞌睡送枕头) หมายถึง อยากได้อะไรก็ได้อย่างนั้น

[3] ไข่ดิน (土蛋) เป็นเพราะว่าพ่อค้าไม่รู้จักมันฝรั่งจึงเรียกตามสภาพที่เห็น