บทที่ 220 ชาวหมาน
บทที่ 220 ชาวหมาน
“ไข่ดินที่แตกหน่อแล้วเหล่านี้…”
เสี่ยวเป่าเอ่ยขึ้นก่อนว่า “ข้าต้องการ ๆ แตกหน่อแล้วกินไม่ได้ แต่ยังสามารถปลูกได้”
พ่อค้าต่างแดน “…”
ใช่แล้ว เขาโง่เอง จึงไม่ได้คิดไปทางนั้นเลย
“ขอบคุณสำหรับคำเตือน ไข่ดินลังนี้ข้าขายให้พวกเจ้าเพียงแค่ห้าตำลึงเงินก็แล้วกัน”
ไข่ดินเหล่านี้แม้ไม่สด แต่ก็ต้องมีราคามากกว่านั้นอย่างแน่นอน เนื่องจากต้องรวมค่าผ่านทาง ทั้งยังมีค่าขนส่งมาจากแดนไกล ทำให้มีราคาแพงที่สุด
เสี่ยวเป่าหยิบเงินห้าตำลึงออกมาจากถุงเงินใบเล็ก
“ของเจ้า”
หนานกงหลีลูบหัวน้อย ๆ ของนาง “นี่หรือคือการประหยัดเงินแทนอาเจ็ดของเจ้า”
เสี่ยวเป่าตอบกลับ “เงินส่วนน้อยให้เสี่ยวเป่าใช้ ส่วนใหญ่ให้ท่านอาเจ็ด”
“ตกลง ๆ”
ไข่ดินหนึ่งลังย่อมไม่อาจนำติดตัวไปเที่ยวด้วยได้ หนานกงหลีจึงสั่งให้องครักษ์สองคนขนมันกลับไปไว้ที่จวนเซียวเหยาอ๋องก่อน
สำหรับเรื่องที่หลานสาวตัวน้อยซื้อของที่ไม่รู้จัก เขาไม่ได้ห้ามปรามแต่อย่างใด ขอเพียงแค่หลานสาวตัวน้อยมีความสุขก็พอ
นอกจากเมล็ดผักแล้ว เสี่ยวเป่ายังซื้อเมล็ดผลไม้และดอกไม้อีกจำนวนไม่น้อย
หนานกงหลีเดินไปกับนางด้วยสีหน้าสงสัย “เสี่ยวเป่า เจ้ารู้จักเมล็ดทั้งหมดที่ซื้อมาอย่างนั้นหรือ”
เสี่ยวเป่าพยักหน้าพร้อมแทะผิงกั๋วในมือ “ง่ำ ๆ เสี่ยวเป่ารู้”
หนานกงหลีไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องคล้อยตาม หลานสาวตัวน้อยของเขาช่างน่าทึ่งยิ่งนัก อายุเพียงแค่นี้ก็รู้จักพืชพรรณมากมาย
นอกจากเมล็ดพันธุ์ทั้งหลายแล้ว เสี่ยวเป่ายังซื้ออัญมณีเปล่งประกายวาววับอีกจำนวนมาก
หลังจากเที่ยวซื้อของไปมากแล้ว ทั้งสองก็ไปที่เหลาอาหารเพื่อกินข้าว
“แน่นอนว่าย่อมต้องไปกินที่เหลาอาหารของพวกเราเอง ไปกันเถิด อาเจ็ดจะพาเจ้าไปกินที่เหลาอาหารของอาเอง”
จวนอ๋องมีรายได้จำนวนมาก นอกจากการเก็บค่าที่ดินแล้ว ก็ยังมีร้านค้าอีกจำนวนหนึ่ง
แม้หนานกงหลีจะใช้เงินมือเติบ แต่เขาก็มีร้านค้าภายใต้ชื่อของตัวเองอยู่ไม่น้อย มิหนำซ้ำยังมีพระชายาที่เก่งด้านบริหารและทำบัญชี ทำให้ร้านเหล่านั้นสามารถทำเงินได้มากมาย
“อาหารที่นี่นับว่าขึ้นชื่อเชียว”
“นายท่านมาแล้ว ข้าได้เตรียมห้องเอาไว้ให้ท่านเรียบร้อยแล้ว” ผู้ดูแลร้านย่อมต้องรู้จักเจ้านายตนเองเป็นอย่างดี จึงรีบพาไปยังห้องที่ดีที่สุด
พ่อครัวที่นี่ หนานกงหลีล้วนพามาจากห้องเครื่องของเสด็จพี่ อาหารที่ถูกทำขึ้นมาจึงไม่มีอันใดให้ต้องติ
“วันเกิดของบิดาเจ้า คาดว่าท่านอาสี่ของเจ้าจะกลับมาในเร็ววันนี้”
ดวงตาของเสี่ยวเป่าเปล่งประกายขึ้นมาทันที “ท่านอาเจ็ด ท่านอาสี่เป็นคนเช่นไรหรือ”
“ท่านอาสี่ของเจ้าเป็นคนที่น่าเบื่อมาก แต่ก็เป็นคนที่ซื่อตรงน่าเชื่อถือยิ่ง”
หนานกงหลีเอนกายพิงเก้าอี้ ทอดสายตามองออกไปนอกหน้าต่าง ราวกับกำลังหวนรำลึกบางสิ่ง
“เขากับข้าก็เหมือนกัน ก่อนหน้านี้ต่างก็ไม่เป็นที่ต้อนรับภายในราชวัง เป็นเพียงเด็กน้อยน่าสงสารที่ถูกกลั่นแกล้งรังแก ทว่าเขาแตกต่างจากข้า เสด็จแม่ของเขาเป็นหญิงงามที่ชาวหูมอบให้กับฮ่องเต้ มีรูปลักษณ์ชาวต่างแดนแปลกตา มีนัยน์ตาสีมรกตเหมือนกับหมาป่าในทุ่งหญ้า สำหรับราชวงศ์สิ่งที่สำคัญสุดคือสายเลือด หญิงโสเภณีว่าถูกดูหมิ่นแล้ว สตรีต่างแดนอย่างนางยิ่งถูกหยามเหยียดมากกว่าเสียอีก”
ในวาจาของหนานกงหลีมีเสียงเหน็บแนมแฝงอยู่ “ด้วยรูปลักษณ์ที่ผิดแผกไปจากองค์ชายคนอื่น ๆ ทำให้ไม่ว่าผู้ใดก็สามารถสืบทอดบัลลังก์ได้ ยกเว้นตัวเขาที่ไม่มีทางเป็นไปได้ เขาเติบโตขึ้นมาท่ามกลางคำเยาะเย้ยดูหมิ่นหรือกระทั่งการรวบกลุ่มกันเพื่อทุบตีรังแก ทำให้เขากลายเป็นคนเงียบขรึมอย่างมาก ในสถานที่กินคนอย่างวังหลวงนั้น มีเพียงแค่อดีตฮองเฮาที่นับได้ว่าเป็นเสด็จย่าของเขาเท่านั้น ที่ดีกับพวกเขาสองแม่ลูก เสด็จย่านับว่าเป็นผู้ที่ยอดเยี่ยมอย่างยิ่ง ทั้งใจกว้างและมีเมตตา”
น่าเสียดายที่คนเช่นนี้ต้องเผชิญกับจุดจบอันอยุติธรรม อย่าว่าแต่เสด็จพี่เลย ไม่ว่าจะเขาหรือพี่สี่ มีผู้ใดบ้างที่ไม่ต้องการจะล้างแค้น
พวกเขาต่างเคยได้รับการช่วยเหลือจากอดีตฮองเฮา ดังนั้นเมื่อเสด็จพี่ก่อการกบฏ พวกเขาทั้งสองจึงสนับสนุนช่วยเหลือ
เสี่ยวเป่าจับมือของท่านอาเจ็ดมาแนบลงบนใบหน้าของตน ก่อนเอ่ยปลอบด้วยเสียงนุ่มนิ่ม
“ท่านอาเจ็ดไม่เศร้านะ”
หนานกงหลีกอดเสี่ยวเป่าก่อนจะหอมแก้มนาง “ข้าเลิกเศร้าไปนานแล้ว เพราะสุดท้ายก็เป็นพวกเราที่ชนะ เป็นท่านพ่อของเจ้าที่ชนะ”
เมื่อคิดถึงชีวิตอันสุขสบายในตอนนี้ เขาก็อดภูมิใจไม่ได้ ผู้ใดใช้ให้เขากับพี่สี่มีสายตาเฉียบแหลมกันเล่า จึงได้เลือกช่วยเหลือเสด็จพี่
องค์ชายคนอื่นในรัชสมัยนั้น ไม่ใช่ว่าเป็นเขาที่ดูแคลน แต่ทุกคนล้วนไม่อาจพึ่งพิงได้ ไม่มีความสามารถแต่ใจกลับทะเยอทะยาน อิงจากนิสัยของพวกเขาแล้ว หากได้นั่งบัลลังก์ เกรงว่าตอนนี้คงมีกองทัพลุกฮือขึ้นบุกตีเมืองหลวงแล้ว
เมื่ออาหารมาแล้ว เสี่ยวเป่าก็นั่งลงข้างท่านอาเจ็ดก่อนจะเริ่มเขี่ยข้าวอย่างจริงจัง เมื่อพบว่ามีน่องไก่อยู่สองชิ้น ก็แบ่งให้ตนเองหนึ่งชิ้นและท่านอาเจ็ดอีกหนึ่งชิ้น
ทว่าทันใดนั้นกลับมีเสียงเอ็ดตะโรดังมาจากด้านล่าง ทำให้หนานกงหลีที่ชมชอบเรื่องสนุกสนานมองลงไปทันที
“เป็นพวกเผ่าหมาน”
เขาหรี่ตาลง ชาวหมานผู้นี้ร่างกายสูงกำยำ บนตัวยังถืออาวุธเอาไว้ด้วย พอเข้ามาในร้านอาหารก็เริ่มสร้างปัญหาทันที
“ชาวหมานใช่ผู้ที่พวกพี่รองไปต่อสู้ด้วยหรือไม่”
หนานกงหลีพิงหน้าต่าง “อืม ข่านแห่งเผ่าหมานถูกบุตรชายของตนเองสังหาร ทำให้เกิดการต่อสู้แย่งชิงภายในอย่างรุนแรง ระหว่างนั้นพวกแม่ทัพเซี่ยก็สามารถนำกองทัพเข้าไปบุกตีเมืองได้หลายแห่ง ครั้งนี้พวกเขาไม่เพียงแต่มาเพื่อร่วมอวยพรวันเกิดของบิดาเจ้าเท่านั้น ยังมาเพื่อเจรจาสงบศึกอีกด้วย”
แต่คนผู้นี้เสียสติหรือต้องการสร้างปัญหาโดยเจตนากันแน่? จึงได้มาสร้างเรื่องที่เหลาอาหารของเขาเช่นนี้
“ไป พวกเราลงไปดูกันเถิด”
หนานกงหลีอุ้มเสี่ยวเป่าขึ้นมา เมื่อพวกเขาลงไปถึงชั้นล่างก็พลันได้ยินเสียงหยาบคายดังลอยมาว่า
“นี่คือสุราของอาณาจักรต้าเซี่ยอย่างนั้นหรือ รสชาติเหมือนกับปัสสาวะม้าไม่มีผิด!”
ท่ามกลางบรรยากาศเงียบงันและจริงจัง พลันมีเสียงเด็กน้อยหัวเราะดังขึ้น
“ท่านอาเจ็ด พวกเขาน่าสงสารยิ่งนัก เหตุใดต้องดื่มปัสสาวะม้าด้วย”
หนานกงหลี: …
ก่อนหน้านี้เขาไม่รู้สึกว่าประโยคนั้นมีปัญหาแต่อย่างใด ทว่าเมื่อได้ฟังหลานสาวตัวน้อยเอ่ยออกมาแล้ว เขาก็พลันอยากหัวเราะออกมาเช่นเดียวกัน
ใช่แล้ว หากไม่เคยดื่มปัสสาวะม้ามาก่อน เช่นนั้นจะรู้รสชาติของมันได้อย่างไร
หนานกงหลีคลี่พัดปิดปากพลางส่ายหัว “นับเป็นชายชาตรียิ่งนัก กระทั่งปัสสาวะม้ายังเคยดื่ม ช่างน่ายกย่องเสียจริง!”
คำชมเชยนี้ ทำให้คนจำนวนไม่น้อยอดหัวเราะออกไม่ได้
“พวกเจ้า! กล้าดีอย่างไรมาสบประมาทชายชาตรีเผ่าหมานเช่นข้า รนหาที่ตายนัก!”
ดวงตาของชาวหมานทอประกายดุร้ายราวกับหมี เขาชักดาบแล้วพุ่งเข้าใส่หนานกงหลีและเสี่ยวเป่าในทันที
องครักษ์ที่อยู่ข้างกายรวมทั้งองครักษ์เงาที่หลบซ่อนอยู่เตรียมจะลงมือเคลื่อนไหวทันที ทว่ากลับมีคนที่เร็วยิ่งกว่าพวกเขา
บุรุษร่างสูงใหญ่ในสุดเกราะสีดำมาพร้อมทวนห้อยพู่สีแดงบิดข้อมือของชาวหมาน พลันดาบหลุดลอยออกไปในพริบตา จากนั้นเขาก็เตะชาวหมานผู้นั้นอย่างแรงจนร่างลอยกระเด็นออกไป
เคร้ง!
ผู้มาใหม่ปล่อยทวนห้อยพู่สีแดงลงบนพื้นอย่างแรง ร่างสูงใหญ่ประหนึ่งเทพผู้พิทักษ์ยืนอยู่เบื้องหน้าหนานกงหลีและเสี่ยวเป่า บนร่างแผ่กลิ่นอายดุร้ายออกมา เพียงแค่ยืนอยู่เฉย ๆ ก็สามารถทำให้คนมองเกิดความหวาดกลัวได้แล้ว
“ชาวหมานกล้าวิ่งมาหาเรื่องถึงต้าเซี่ยนับว่ารนหาที่ตายยิ่ง!”
เสียงของเขากังวานราวระฆังใหญ่ ดวงตาสีมรกตจับจ้องไปทางเหล่าชาวหมานด้วยสายตาดุร้ายราวกับหมาป่า
ชาวหมานที่เมื่อครู่ยังคงกำเริบเสิบสาน เมื่ออยู่ต่อหน้าเขากลับสั่นเทาราวนกกระทา ถูกกดดันโดยสมบูรณ์
ชายหนุ่มที่อยู่เบื้องหลังชาวหมานจำต้องกัดฟันลุกขึ้นมา
“เป็นเรื่องเข้าใจผิดแล้ว ทั้งหมดล้วนเพราะข้าไม่ดูแลผู้ใต้บังคับบัญชาให้ดี จึงได้เผลอล่วงเกินเข้าเสียแล้ว”