บทที่ 167 เผ่าปีศาจชุมนุม ยอดแม่ทัพเทพกับจักรพรรดิเซียน

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

บทที่ 167 เผ่าปีศาจชุมนุม ยอดแม่ทัพเทพกับจักรพรรดิเซียน

เมื่อได้ยินคำพูดของจั้งกูซิง หานเจวี๋ยแอบเบิกบานใจ

เขาตั้งใจไม่ซ่อนตบะของตนเอง ก็เพื่อแสดงให้จั้งกูซิงเห็น!

คนเราไม่อาจถ่อมตัวได้ตลอด จำต้องแสร้งเผยออกไปสักหน่อย

หานเจวี๋ยชอบเห็นจั้งกูซิงตกตะลึง ไม่แน่อาจจะช่วยเพิ่มระดับความประทับใจก็ได้

[ความประทับใจที่จั้งกูซิงมีต่อท่านเพิ่มขึ้น ระดับความประทับใจในขณะนี้คือ 4 ดาว]

‘4 ดาวแล้ว!

สามารถพัฒนาเป็น…

แค่กๆ! สหายเต๋า!’

หานเจวี๋ยรู้สึกว่าความคิดของตนเองเบี่ยงเบน หรือจะบอกว่าเขาแอบหื่นก็ได้

จั้งกูซิงทอดถอนใจกล่าว “เจ้าเด็กนี่ทะลวงระดับเร็วมากจริงๆ โลกมนุษย์ก็มีไอเซียนรึ”

กล่าวในสถานการณ์ปกติ โลกมนุษย์จะไม่มีไอเซียน นี่ก็เป็นเหตุผลที่บรรดาเทพเซียนไม่อยากลงมาโลกมนุษย์

เทพเซียนที่ลงมายังโลกมนุษย์เหล่านั้น ส่วนมากจะมาเพราะอยากรู้อยากเห็นหรือหลบซ่อนจากศัตรู

หานเจวี๋ยยิ้มกล่าว “ใช่ ความเร็วในการบำเพ็ญเพียรของข้าเป็นอย่างไรบ้าง ดึงดูดวังสวรรค์ได้หรือไม่”

จั้งกูซิงตอบยิ้มๆ “ไม่ใช่วังสวรรค์เท่านั้นหรอก เกรงว่าแม้แต่สำนักพุทธกับวังเทพก็จ้องตาเป็นมัน”

หานเจวี๋ยรู้สึกภาคภูมิใจกว่าเดิม

นี่คือการมุมานะฝึกบำเพ็ญมาเก้าร้อยปี!

“เจ้าคิดจะต่อต้านแม่ทัพและทหารสวรรค์จริงหรือ” จั้งกูซิงถาม

หานเจวี๋ยเอ่ยอย่างจนปัญญา “ไม่เช่นนั้นยังจะมีวิธีใดอีก ข้าไร้ที่พึ่งพิง ทั้งยังอยากปกป้องคนรอบข้าง ได้แต่กัดฟันตัวเองไว้ ต่อให้กัดจนฟันแตกก็ต้องกลืนลงไปในท้อง”

จั้งกูซิงนิ่งเงียบ

หานเจวี๋ยก็ไม่พูดอะไรมาก เขาอ้อมผ่านจั้งกูซิง มุ่งไปด้านหน้าต่อ

จั้งกูซิงหันไปมองหานเจวี๋ย ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่

หนึ่งปีถัดมา หานเจวี๋ยมาที่นี่อีกสามครั้งเพื่อยกระดับไตรวิสุทธิ์กำราบภูมิ จิตกระบี่หวนคืน และปราณกระบี่ฟ้าดิน

ทุกครั้งหานเจวี๋ยเพียงพยักหน้าให้จั้งกูซิงเท่านั้น ไม่มีคำพูดตามมารยาทใดๆ

……

ภายในถ้ำเทวาฟ้าประทาน

หานเจวี๋ยนั่งอยู่บนตั่ง แอบคิดว่า ‘พี่ใหญ่ผู้นี้ไม่มีภูมิหลังยิ่งใหญ่จริงหรือ พรสวรรค์ระดับข้า เจ้ายังไม่ดึงไปเป็นพวกอีก’

หานเจวี๋ยส่ายหน้าแล้วฝึกบำเพ็ญต่อ ไม่คิดอะไรมากอีก

สามปีต่อมา

นักพรตเต๋าจิ่วติ่งมาเยี่ยมเยียน

เขาไม่ได้มาเยี่ยมเยียนหานเจวี๋ยนานมากแล้ว แสดงว่าช่วงนี้สำนักศักดิ์สิทธิ์หยกพิสุทธิ์สงบสุขมาก

“ไม่เจอกันนาน ช่วงนี้ผู้อาวุโสหานฝึกบำเพ็ญเป็นอย่างไรบ้าง” นักพรตเต๋าจิ่วติ่งถามด้วยรอยยิ้ม

หานเจวี๋ยรู้สึกคิดถึงหลี่ชิงจื่ออย่างประหลาด

หลี่ชิงจื่อจะไม่พูดจาเป็นพิธีรีตองกับเขา

หานเจวี๋ยยิ้มกล่าว “พอได้อยู่กระมัง ช่วงนี้เกิดอะไรขึ้นหรือ”

นักพรตเต๋าจิ่วติ่งพยักหน้าเอ่ย “เกิดเรื่องขึ้นจริงๆ ทั้งยังเป็นเรื่องใหญ่ด้วย เผ่าปีศาจกำลังจะชุมนุมกัน!”

“เหตุใดต้องชุมนุมกัน ชุมนุมกันทำอะไร”

“เผ่าปีศาจมีจักรพรรดิปีศาจผงาดขึ้นมาตนหนึ่ง ประกาศว่าจะนำพาเผ่าปีศาจไปสู่ความรุ่งโรจน์ ว่ากันว่าจักรพรรดิปีศาจตนนี้ได้รับการสนับสนุนจากจักรพรรดิเซียนเผ่าปีศาจบนสวรรค์ หลังจากศึกใหญ่ของสายหลักและสายมาร เผ่ามนุษย์ก็อ่อนแอ หากให้เผ่าปีศาจชุมนุมกันสำเร็จ เผ่ามนุษย์อาจจะต้านทานไม่อยู่จริงๆ!”

“แล้วอย่างไร สำนักศักดิ์สิทธิ์หยกพิสุทธิ์ต้องทำสิ่งใดด้วยหรือ”

“ข้าเพียงอยากสอบถามเรื่องนี้ บรรดาดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของเผ่ามนุษย์เริ่มหารือแผนการรับมือแล้ว แต่ทั้งสองเผ่าต่างกระจัดกระจายไปทั่ว ยามเปิดศึกต้องโกลาหลมากแน่ ถึงกระทั่งอาจจะโกลาหลกว่าศึกใหญ่ของสายหลักกับสายมารเสียอีก”

“ไม่ต้องกลัว สำนักศักดิ์สิทธิ์หยกพิสุทธิ์มีข้าอยู่ ไม่เกิดเรื่องหรอก ส่วนแผ่นดินก็มีจี้เซียนเสินแห่งจวนเซียนสวรรค์อยู่ ยิ่งไม่อาจเกิดเรื่องได้เช่นกัน”

“ซึ่งก็หมายความว่า พวกเราไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น?”

“ใช่”

หานเจวี๋ยกล่าวด้วยคำพูดลึกซึ้งจริงใจ “วางตำแหน่งของพวกเราให้ถูกต้อง ถึงแม้จะควบรวมสำนักเก้ามังกรแล้ว พวกเราก็ยังไม่ใช่สำนักที่แข็งแกร่งที่สุดในสิบเขตเก้าราชวงศ์”

นักพรตเต๋าจิ่วติ่งสูดหายใจเข้าลึก เขาเองก็รู้ตัวว่าช่วงนี้ตนเองอารมณ์ร้อนไปหน่อย

ขณะที่สำนักศักดิ์สิทธิ์หยกพิสุทธิ์แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ความทะเยอทะยานของผู้อาวุโสและศิษย์จำนวนหนึ่งก็เริ่มเพิ่มสูง หวังว่านักพรตเต๋าจิ่วติ่งจะนำให้สำนักศักดิ์สิทธิ์หยกพิสุทธิ์ขยายอำนาจต่อไปได้

เส้นทางแห่งอำนาจนี้ หากเหยียบเข้าไปแล้วก็ยากนักที่จะวางลงเอง

หลังจากนักพรตเต๋าจิ่วติ่งกลับไป หานเจวี๋ยก็ไม่ได้คิดมาก

ไม่ว่าสำนักศักดิ์สิทธิ์หยกพิสุทธิ์จะวุ่นวายสักเพียงใด ขอแค่มีเขาอยู่ สำนักก็จะไม่ถูกทำลายย่อยยับ!

หานเจวี๋ยกดตรวจสอบจดหมาย

[ฟางเหลียงศิษย์หลานของท่านเผชิญกับการโจมตีของราชาปีศาจ] x12

[จี้เซียนเสินสหายของท่านเผชิญกับการโจมตีของผู้บำเพ็ญสายมาร] x170,003

[สิงหงเสวียนคู่บำเพ็ญเพียรของท่านพบกับโอกาสวาสนา วิญญาณได้รับการยกระดับ]

[ฟางเหลียงศิษย์หลานของท่านหยั่งรู้พลังวิเศษในขณะต่อสู้]

[ถูหลิงเอ๋อร์ศิษย์ของท่านเผชิญกับการโจมตีของสัตว์ปีศาจ] x54,928

[ถูหลิงเอ๋อร์ศิษย์ของท่านสายเลือดเริ่มเปลี่ยนแปลงไปสู่มหาเวท]

[มู่หรงฉี่ศิษย์หลานของท่านเผชิญกับการโจมตีของสัตว์ปีศาจ] x204,211

[สวินฉางอันศิษย์ของท่านเผชิญกับการโจมตีของสัตว์ปีศาจ] x9,842

[ยอดแม่ทัพเทพสหายของท่านเผชิญกับการโจมตีจากจักรพรรดิเซียน]

……

แดนบำเพ็ญพรตสงบเกินไปอีกแล้ว!

หานเจวี๋ยสังเกตเห็นสถานการณ์ของยอดแม่ทัพเทพ

‘จิ๊ๆ จักรพรรดิเซียน!’

คำพูดบ้าคลั่งก่อนหน้านี้ของหานเจวี๋ยนำมาซึ่งความประทับใจและเกลียดชังจำนวนมาก เพราะได้ยินตำนานของยอดแม่ทัพเทพมาก่อน เขาจึงเพิ่มยอดแม่ทัพเทพไว้ในติดตามเป็นพิเศษ

ไม่นึกว่าแค่ไม่กี่ปี ยอดแม่ทัพเทพก็ถูกจักรพรรดิเซียนโจมตีแล้ว

ดูท่าการเป็นขุนนางรับใช้วังสวรรค์จะอันตรายเป็นอย่างมาก และก็เหน็ดเหนื่อยยิ่งนัก โดยเฉพาะเป็นแม่ทัพสวรรค์

จุดที่ควรค่าแก่การกล่าวถึงคือ ระบบไม่ได้แสดงตบะของยอดแม่ทัพเทพ เหมือนกับตี้หงเย่ที่ไม่ทราบตบะเช่นกัน

หานเจวี๋ยยังสังเกตเห็นว่า สวินฉางอันและมู่หรงฉี่ศิษย์กับอาจารย์เจอการโจมตีจากสัตว์ปีศาจจำนวนมาก จำนวนครั้งของการโจมตีนี้มากเกินจริงจนเกินไป

หมายความว่าหลายปีมานี้ มีสัตว์ปีศาจสองแสนตัวเข้าโจมตีมู่หรงฉี่

นี่ยังไม่รวมสัตว์ปีศาจที่มู่หรงฉี่เปิดฉากสังหารเองเหล่านั้น

เป็นอย่างที่คาดไว้จริงๆ สวินฉางอันเหมือนกับพระถังซัมจั๋งฉบับเกรดต่ำ มีแรงดึงดูดปีศาจสูงมาก

หานเจวี๋ยไม่กลัวว่าเขาจะถูกกิน ถึงอย่างไรก็มีมู่หรงฉี่อยู่ด้วย

มู่หรงฉี่อยู่ระดับสุญตาแล้ว เทียบได้กับเทพปีศาจในโลกมนุษย์ หากราชาปีศาจโดยทั่วไปอยากจะสังหารเขาก็ยากเหมือนการปีนขึ้นสวรรค์

หานเจวี๋ยตรวจดูสหายที่ไม่ได้ถูกตั้งค่าให้ติดตามเป็นพิเศษเหล่านั้น โดยเฉพาะเทพเซียนที่วังสวรรค์

ถูกปีศาจประหลาดโจมตีแบบเดียวกันหมด จำนวนครั้งสูงสุดทะลุไปถึงสามแสนครั้ง

‘ไร้เหตุผล! ไร้เหตุผลเกินไปแล้ว!’

หานเจวี๋ยพลันรู้สึกว่าการเข้าร่วมกับวังสวรรค์ก็ไม่ใช่เรื่องดีอะไร

วังสวรรค์ไม่ใช่กลุ่มอำนาจที่แข็งแกร่งที่สุด แต่ว่ามีชื่อเสียงที่สุด จะต้องถูกผู้แข็งแกร่งจำนวนมากจับจ้องอย่างแน่นอน

‘ดูเช่นนี้แล้ว ต่อให้ขึ้นสวรรค์ก็ต้องหาสำนักที่ปลีกวิเวิกถึงจะเหมาะสมที่สุด วังสวรรค์เป็นที่รู้จักเกินไป ไม่เหมาะกับข้า’

หานเจวี๋ยคิดเงียบๆ

ดูอยู่สักพัก หานเจวี๋ยถึงจะเริ่มฝึกบำเพ็ญต่อ

……

สองปีต่อมา

ถูหลิงเอ๋อร์กลับมาแล้ว

นางไปเยี่ยมเยียนหานเจวี๋ยเป็นอันดับแรก

ถูหลิงเอ๋อร์คุกเข่าอยู่ตรงหน้าหานเจวี๋ย กล่าวด้วยสีหน้าตื่นเต้นว่า “อาจารย์ ระหว่างทางกลับมาข้าเจอสัตว์ปีศาจจู่โจม ได้ปลุกตื่นพลังลึกลับโดยไม่ตั้งใจ ท่านช่วยดูตัวของศิษย์หน่อยเจ้าค่ะว่ามีสายเลือดแข็งแกร่งอะไรซ่อนอยู่หรือไม่”

‘ดูตัว’

หานเจวี๋ยขมวดคิ้ว

อู้เต้าเจี้ยนมองถูหลิงเอ๋อร์อย่างสงสัยระแวง

ถูหลิงเอ๋อร์ได้สติว่าตนเองพูดพลั้งปากไป จึงรีบร้อนอธิบาย “ก่อนหน้านี้อยู่ที่จวนเซียนสวรรค์ แม้ว่าคุณสมบัติของข้าจะเลิศล้ำ แต่ตรวจไม่พบสายเลือดที่แข็งแกร่งแต่อย่างใด ตอนนี้พลังกายเนื้อของข้ากลับเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว น่าแปลกเสียจริง”

หานเจวี๋ยพูดอย่างสงบ “ชาติก่อนของเจ้าไม่ธรรมดา เรื่องนี้ไม่แพร่งพรายออกไปจะดีที่สุด มิเช่นนั้นจะนำภัยร้ายมาสู่ตัว ถึงเวลานั้นแม้แต่ข้าก็ปกป้องเจ้าไม่ได้”

ได้ยินเช่นนี้ถูหลิงเอ๋อร์ก็ตกใจมาก ถามอย่างระมัดระวังว่า “ท่านรู้ตั้งนานแล้วหรือ”

“อาจารย์รู้แจ้งทั้งสามภพ เนตรสวรรค์วิญญาณสามารถตรวจดูวัฏสงสารได้”

“ขอบคุณอาจารย์ที่ชี้แนะ!”

ถูหลิงเอ๋อร์มีสีหน้าหวาดกลัวในภายหลัง สายตาที่มองหานเจวี๋ยเคารพยำเกรงกว่าเดิม

นางพลันพลิกมือขวา เห็ดหลินจือต้นหนึ่งปรากฏขึ้นบนมือ

“อาจารย์ นี่คือของล้ำค่าฟ้าดินที่ข้าใช้หินวิญญาณทั้งหมดแลกมาจากจวนเซียนสวรรค์ ของล้ำค่านี้มีมูลค่าเป็นสามอันดับแรกของหอเก็บสมบัติในจวนเซียนสวรรค์เลย” ถูหลิงเอ๋อร์กล่าวด้วยรอยยิ้ม

หานเจวี๋ยขมวดคิ้วถาม “เรื่องที่เจ้ากราบข้าเป็นอาจารย์ จวนเซียนสวรรค์รู้แล้วหรือยัง”

ถูหลิงเอ๋อร์ตอบยิ้มๆ “ข้าตัดความสัมพันธ์กับจวนเซียนสวรรค์แล้ว ก่อนจากมาข้ารับภารกิจไปจำนวนมาก นับว่าตอบแทนบุญคุณให้ อาจารย์คนก่อนของข้าก็ตอบตกลงเรียบร้อย จวนเซียนสวรรค์ในตอนนี้ต่างให้ความสำคัญกับจี้เซียนเสิน ทรัพยากรต่างๆ ก็มอบให้จี้เซียนเสินก่อน พวกเขาไม่คัดค้านการจากไปของข้าเลยแม้แต่น้อย เหมือนจะโล่งใจไปเปราะหนึ่งด้วยซ้ำ”

……………………………………….