“เพราะรุ่นพี่คือครอบครัวครับ”

ผมพูดด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเชื่อมั่นและความรู้สึกของครอบครัว โดยปกติแล้วการพูดแบบนี้กับคนที่คุณพึ่งพบเจอจะจบลงด้วยความสัมพันธ์ที่แตกหักหรืออีกฝ่ายอาจมองคุณด้วยสายตาแปลกๆ แต่นั่นเป็นเพียงสถานการณ์ปกติเท่านั้น สำหรับคาร์เมล คำพูดเหล่านี้มีแต่จะนำไปสิ่งสู่อื่น

“คร-ครอบครัวเหรอ?”

คาร์เมลถามกลับด้วยสายตาที่ตื่นตระหนก แทนที่จะทำตัวแปลกๆ เธอกลับมีประกายระยิบระยับในดวงตาแทน 

เมื่อเห็นปฏิกิริยาของเธอแล้วผมก็รู้ว่าผ่านขั้นตอนแรกไปได้แล้ว ผมพยักหน้าก่อนจะพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่สงบและชัดเจน

“ใช่ครับ ขอพูดตามตรงผมเลยนะครับว่าผมรู้เรื่องทั้งหมดของรุ่นพี่มาจากอาจารย์แล้วครับ แถมอาจารย์ก็คิดว่ารุ่นพี่เป็นเหมือนครอบครัวและผมก็คิดเหมือนอาจารย์เช่นกันครับ เพราะฉะนั้นรุ่นพี่ก็ถือเป็นครอบครัวสำหรับผมเหมือนกัน ถึงตอนนี้เราอาจจะยังไม่สนิทกันมาก แต่ผมแน่ใจว่าเราจะสามารถเติบโตไปเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องที่แท้จริงได้ครับ”

พูดจบผมก็มองไปที่คาร์เมลที่มองกลับมาที่ผมอย่างตั้งใจและพยายามจับจ้องไปที่ความตั้งใจของผม แต่ทั้งหมดที่เธอบอกได้ก็คือผมปรารถนาที่จะเข้าใกล้เธอด้วยความสัตย์จริง 

ช่วงเวลาแห่งความเงียบงันเข้าครอบงำระหว่างเราก่อนที่คาร์เมลจะยิ้มออกมา

“ได้สิ”

‘สำเร็จ!’

เมื่อเห็นว่าหนึ่งในแผนของตัวเองสำเร็จแล้ว ผมก็ถอนหายใจออกมา การจัดการกับคาร์เมลค่อนข้างยาก เนื่องจากเธอให้ความสำคัญกับทุกคนที่เธอห่วงใย ทำให้ทุกคนใกล้ชิดกับเธอ แต่มันก็ทำให้ทุกคนเจาะทะลุหัวใจของเธอได้ยากขึ้นเช่นกัน การทำให้เธอตกหลุมรักผมเป็นงานที่ต้องใช้เวลามาก

ผมต้องระวังที่จะไม่เหยียบทุ่นระเบิดที่จะทำให้ตัวเองตกไปอยู่ในเฟรนด์โซนของเธอ และแผนแรกของผมคือการเป็น ‘ครอบครัว’ กับเธอ ผมจะใช้ความปรารถนาโดยธรรมชาติของเธอที่ต้องการอิสระและความสนุกเพื่อควบคุมและบงการความรู้สึกที่เธอมีต่อผม ในขณะเดียวกันผมก็จะพยายามตกหลุมรักเธออย่างจริงจังเช่นกัน ผมยังไม่ได้เปลี่ยนวัตถุประสงค์ในการมีความรู้สึกด้วย

นั่นเป็นเหตุผลหลักที่ทำให้แผนของผมนั้นช้า จนถึงตอนนี้ผมบอกได้เลยว่าตัวเองมีความรู้สึกกับเกรซ, เอเลนอร์, เอลดา, นอร่าและวีน่าแล้ว ผมมั่นใจว่าตัวเองจะไม่มีปัญหาในการใช้เวลากับพวกเธอ แม้ว่าหลายปีผ่านไปสถานการณ์ระหว่างเราจะไม่แตกหักและนั่นคือสิ่งที่ผมพยายามทำให้สำเร็จ ไม่เช่นนั้นความรู้สึกระหว่างเราจะกลายเป็นพิษร้ายในภายหลัง

“รุ่นพี่ช่วยบอกผมบางอย่างเกี่ยวกับตัวคุณหน่อยสิครับ”

“เห~ นายอยากรู้อะไรหล่ะ?”

“แค่บางอย่างที่ผมพอจะรู้เกี่ยวกับรุ่นพี่หน่ะครับ”

“โอเค ถามมาสิ…”

จากนั้นเราก็เริ่มพูดคุยกันอย่างเป็นกันเอง บางครั้งก็หัวเราะกับการแสดงตลกของเอเลนอร์หรือบางครั้งก็พูดถึงมุมมองของเราที่มีต่อการยิงธนู 

1 ชั่วโมงผ่านไป ผมเองก็สนุกเหมือนกัน หลังจากผมได้ฝึกยิงธนู ผมก็เกิดความรักมันโดยธรรมชาติ การพูดคุยกับเธอค่อนข้างเป็นประสบการณ์แปลกใหม่ ยิ่งกว่านั้นผมยังได้รู้จักเธอมากขึ้นอีกด้วย

“นี่มันก็สนุกดีเนอะ น่าเสียดายที่นายต้องไปแล้ว ฉันยังอยากคุยกับนายอีกสักหน่อยอยู่เลย บางทีเราอาจจะดวลกันด้วยก็ได้”

คาร์เมลพูดกับผมขณะที่เธอพาผมไปที่ทางออกของชมรม หลังจากสนทนากันเราก็สนิทกันมากขึ้น 

เมื่อผมคุยกับเธอ ผมแน่ใจว่าจะนำการสนทนาไปสู่เส้นทางที่จะทำให้เราพูดถึงความปรารถนาที่แท้จริงของเรา แม้จะเล็กน้อย แต่ผมก็ก้าวหน้าขึ้นบ้าง 

ผมส่ายหัวตอบเธอกลับไป

“ผมก็อยากจะอยู่ต่อเหมือนกันครับ แต่ผมยังมีเรื่องต้องทำอยู่อีก แถมผมก็กะจะมาที่ชมรมทุกวันอยู่แล้ว เรายังมีเวลาเจอกันอีกเยอะครับ”

“ก็ได้ แต่นายต้องเอาคันธนูของนายออกมาด้วยนะ”

คาร์เมลพูดขณะที่ดวงดาวสว่างขึ้นในดวงตาของเธอ ดวงตาของเธอดูเหมือนจะเป็นประกายด้วยความคาดหวัง ซึ่งผมก็ทำเพียงยิ้มแห้งๆ ให้เธอกลับไป

“รุ่นพี่นี่เป็นคนที่คลั่งธนูมากจริงๆ เลยนะครับ”

“เฮ้! นั่นไม่ใช่วิธีพูดที่นายควรใช้กับรุ่นพี่นะ!”

คาร์เมลตอบพร้อมกับทำหน้าบึ้งขณะที่เธอตบไหล่ผมเบาๆ แค่มองดูปฏิสัมพันธ์ของเราคงไม่มีใครบอกได้เลยว่าเราพึ่งจะเป็นเพื่อนกันไม่กี่ชั่วโมงก่อน นี่เป็นเรื่องดีเกี่ยวกับคาร์เมล ตราบใดที่เธอจำคุณได้ มันจะง่ายที่จะมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับเธอ

“ขอโทษครับ…ขอโทษครับ…ผมจะไม่ล้อเล่นอีกแล้ว แต่มันก็เป็นความจริงไม่ใช่เหรอครับ? สักวันหนึ่งรุ่นพี่ต้องแสดงคอลเลกชั่นธนูของรุ่นพี่ให้ผมดูด้วยนะครับ”

ผมพูดด้วยรอยยิ้มที่คาดหวังซึ่งทำให้คาร์เมลตอบสนองด้วยความกระตือรือร้นในปริมาณที่เท่ากัน

“แน่นอน ฉันสัญญา”

“ถ้างั้นก็เจอกันพรุ่งนี้ครับ”

พูดจบผมก็ออกจากชมรมและเริ่มเดินผ่านถนนที่มีผู้คนพลุกพล่านอีกครั้ง เดินไปเพียงนิดเดียวผมก็มาถึงบริเวณที่มีผู้คนพลุกพล่านน้อยกว่าเดิม ผมหยุดเดินก่อนจะพูดออกไป

“พวกคุณทั้ง 2 คนออกมาได้แล้วครับ ผมสัมผัสได้ถึงเจตนาร้ายของพวกคุณอยู่ครับ”

ความเงียบเกิดขึ้นครู่หนึ่งก่อนที่จะได้ยินเสียงของใครบางคนที่เดินตามหลังผม ผมหันกลับไปก็พบกับผู้ชายหล่อเหลาและสง่างาม 2 คนที่ดูสง่าและแข็งแกร่ง คนหนึ่งมีผมสีบลอนด์ดำ ในขณะที่อีกคนมีผมสีเทาเข้มมองมา 

เมื่อมองดูทั้ง 2 อยู่ชั่วครู่ผมก็จึงพูดอีกครั้ง

“นี่ผมต้องแสดงความยินดีที่ได้พบกับ 2 ดยุคแห่งทไวไลท์ในอนาคตรึเปล่าครับ?”

“ไม่ต้อง ฉันแค่อยากให้นายส่งของบางอย่างมาให้ฉันหน่ะ”

ทั้งคู่พูดพร้อมกัน ทำให้พวกเขาสะดุ้งก่อนจะหันมามองหน้ากัน

“นิกซ์ ออกไปให้พ้น ฉันจะเอาสมบัติชิ้นนี้และหัวใจของคาร์เมลไปเอง!”

ชายที่มีผมสีบลอนด์ดำพูดกับคนที่อยู่ข้างๆ นิกซ์ซึ่งถูกเรียกชื่อเย้ยหยันขณะที่เขาตอบโต้กลับ

“หุบปากไปเมลวิน ผู้ที่จะได้หัวใจของคาร์เมลต้องเป็นฉัน! คนที่เก่งที่สุดเท่านั้นที่จะได้ใจเธอไป!”

เมื่อพูดดังนั้นจบนิกซ์ก็หันหน้ามาทางผมก่อนจะพูดออกมา

“ออสติน…สิ่งที่ฉันต้องการคือธนูของนาย สิ่งที่คาร์เมลรัก”

“หยุด! อย่าให้กับเขานะ บอกราคามา ฉันจะให้ 2 เท่าของที่นายขอเลย”

เมลวินแทรกขึ้นมาขณะที่เขามองนิกซ์ด้วยสายตาเอาเป็นเอาตาย ในขณะเดียวกันผมก็มองทั้งหมดนี้ด้วยสายตาที่เป็นกลาง ผมไม่แปลกใจกับท่าทีของพวกเขา ในบริบทของพวกเขาสถานะสูงกว่าผม ทั้ง 2 คนที่อยู่ตรงหน้าผมน่าจะเป็นดยุกผู้ยิ่งใหญ่ในอนาคต พวกเขาจะได้ปกครองอาณาเขตส่วนใหญ่ของอาณาจักรทไวไลท์ ในขณะที่ผมเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวดยุคแห่งไลออนฮาร์ท ผมไม่ใช่ผู้สืบทอด ทำให้ตำแหน่งในอนาคตของผมน้อยกว่าพวกเขา

‘เห้อออ…คนฉลาดๆ กลายเป็นคนงี่เง่าเพราะความรัก’

ผมส่ายหัวกับพฤติกรรมในปัจจุบันของพวกเขา ในสถานการณ์ปกติพวกเขาเป็นคนฉลาดและมีไหวพริบ แต่เมื่อเป็นเรื่องของคาร์เมล พวกเขาจะเสียความเยือกเย็นไปเล็กน้อย ในฐานะดยุคในอนาคต พวกเขาควรรู้ว่าการตีสนิทกับผมดีกว่าการเป็นศัตรูกับผม แต่ตอนนี้พวกเขากลับขอให้ผมเลิกใช้อาวุธที่คนทั้งโลกต้องการ

สายตาของผมเหลือบไปเห็นผู้หญิงผมดำคนหนึ่งกำลังมองอยู่บนถนน

‘คงต้องแสดงให้เธอเห็นซักหน่อย’

 

 

 

-Donate-

True Money Wallet ID : mraxzy 

ไทยพาณิชย์ : 4051572923 //ชาคริต