หลินเสี่ยวเหล่ยพลันเผยหน้ามุ่ยและเดินตามพี่สาวของตนออกจากห้องคนไข้ไป

“พี่เคยบอกไปแล้วไง… มีแต่นายเท่านั้นที่รู้เรื่องระหว่างพี่กับเสี่ยวเฉิงน่ะ ยังไงก็เถอะ นายต้องช่วยพี่โกหกพ่อกับแม่นะ! เข้าใจไหม?”

หลินจื้อซือพลันพลันสั่งน้องชายคนเล็กตรงหน้า

หลินเหล่ยพลันเผยยิ้มอย่างขมขื่น “พี่คิดว่าพ่อจะเดาไม่ได้เลยหรือยังไงกัน? พี่เป็นถึงคนดังของเมืองนี้เชียวนะ ผมว่าพ่อกับแม่น่าจะรู้เรื่องทั้งหมดแล้วแหละ พวกเขาเองก็น่าจะมาที่นี่เพราะอยากฟังเรื่องราวทั้งหมดจากปากของพี่เองมากกว่า”

“พวกเขารู้เรื่องทั้งหมดแล้วงั้นเหรอ?” หลินจื้อซือพลันเผยท่าทีสุดตกใจออกมา

“พ่อเป็นพ่อนะ เรื่องของลูกตัวเองจะไม่รู้ได้ยังไงกันล่ะ?” ในตอนนี้ หลินกุ้ยเหรินพลันปรากฏตัวอยู่หน้าประตูห้องและจ้องมองไปยังลูกสาวของตน

“เมื่อครั้นก่อน พ่อของเสี่ยวเฉิงกับตัวพ่อเองต่างก็เคยสนิทแล้วก็เชื่อใจกันมาก อีกอย่าง พ่อเองก็ยังมีหลายเรื่องที่ติดค้างเขาอยู่ด้วย เพราะแบบนั้นแหละ พ่อถึงต้องปฏิบัติกับเสี่ยวเฉิงราวกับเขาเป็นลูกชายแท้ ๆ พ่อทั้งพร่ำสอนและคอยเตรียมทุกอย่าง และเพื่อให้เสี่ยวเฉิงมีความสุขที่สุด พ่อเลยยอมยกลูกสาวสุดรักสุดหวงให้แต่งงานด้วย แล้วก็ช่วงหลายปีที่ผ่านมา พ่อกับแม่เองก็ไม่เคยสนใจเลยว่าชีวิตรักของลูกทั้งสองจะเป็นยังไง แต่พอพ่อรู้เรื่องทุกอย่าง พอพ่อรู้ว่าลูกทั้งสองไม่ได้พัฒนาความสัมพันธ์ให้ยืดยาวขึ้นเลย พ่อกับแม่ก็จะไม่บังคับหรือฉุดรั้งอีกต่อไป ทั้งหมดเป็นความผิดของพ่อเอง เหตุผลที่พวกเรามาที่นี่ก็เพราะต้องการให้ลูกทั้งสองหย่ากันนี่แหละ…”

เนื่องจากทั้งสองไม่มีการพัฒนาความสัมพันธ์เลย หลินกุ้ยเหรินจึงไม่ดื้อดึงอีกต่อไป เขาพลันตัดสินใจแล้วว่าสิ่งที่ดีที่สุดน่าจะเป็นการปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามที่มันควรจะเป็น

ทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น หลินจื้อซือก็พลันเบิกตากว้าง

ไม่นานนัก คุณแม่ก็พลันเดินออกมาและกล่าวคำพูด “ทั้งหมดเป็นความผิดของพ่อกับแม่เอง… ที่บังคับให้ลูกแต่งงานกับชายที่ตัวเองไม่ชอบ ลูกกับเสี่ยวเฉิงคงจะเข้ากันไม่ได้เลยสินะ ถ้าเรื่องมันมาถึงขนาดนี้แล้ว พ่อกับแม่ก็อยากจะยอมแพ้เหมือนกัน เราจะเคารพการตัดสินใจของลูกทั้งสอง ถ้าลูกต้องการที่จะหย่ากัน ก็รีบจัดการได้เลย ไม่ต้องคิดมาก”

หลินจื้อซือพลันยืนอยู่ที่เดิมด้วยด้วยความตะลึง เธอในตอนนี้ไม่รู้เลยว่าควรจะทำอย่างไรต่อไปดี เธอเคยมีความคิดที่จะหย่ากับเสี่ยวเฉิงก็จริง แต่พอพ่อและแม่ให้อิสระในการตัดสินใจ เธอกลับรู้สึกลังเลด้วยเหตุผลบางอย่าง…

ทันใดนั้น หลินเหล่ยที่กลับเข้าไปในห้องก็พลันโผล่หัวออกมาจากประตูพร้อมกับตะโกนขึ้นมา “พี่เขยตื่นแล้ว!”

ทันทีที่เสี่ยวเฉิงตื่นขึ้น เขาก็พลันลืมตาพร้อมกับเห็นแสงไฟบนเพดาน ไม่เพียงแค่นั้น เขาเห็นวงจรไฟฟ้าและโครงสร้างทั้งหมดภายในหลอดไฟด้วย และหลังจากหลับตาลงพร้อมกับลืมตาขึ้นมาใหม่อีกครั้ง เสี่ยวเฉิงก็ถึงกับสามารถมองทะลุเข้าไปยังวัสดุที่เอาไว้ประกอบหลอดไฟได้เลย… เสี่ยวเฉิงในตอนนี้พลันรู้สึกตื่นตระหนก เขารีบกวาดมองไปยังอุปกรณ์ทางการแพทย์และเครื่องช่วยหายใจข้างกาย ทว่า ทันทีที่จ้องมอง เสี่ยวเฉิงก็ต้องตกใจที่ตัวเองสามารถมองทะลุโครงเหล็กด้านนอกของอุปกรณ์ทางการแพทย์แต่ละชิ้นได้ กล่าวคือ… เสี่ยวเฉิงในตอนนี้สามารถมองทะลุผ่านวัสดุและอุปกรณ์ทุกอย่างจนเห็นยันโครงสร้างภายในได้

ไม่นานนัก เสี่ยวเฉิงก็พลันยกมือทั้งสองข้างขึ้นพร้อมกับเผยสีหน้าสุดตกใจ

เขาพลันมองเห็นกระดูกกล้ามเนื้อและเส้นเลือดที่พันกันจนยุ่งเหยิง นอกจากนี้ เสี่ยวเฉิงยังเห็นชีพจรของตนที่กำลังสูบฉีดอย่างรุนแรงเนื่องจากความรู้สึกกระวนกระวายภายในจิตใจ โดยรวมแล้ว เสี่ยวเฉิงสามารถมองทะลุผิวหนังจนเห็นยันโครงสร้างภายในของร่างกายได้อย่างชัดเจน…

เสี่ยวเฉิงพลันตกตะลึง และทันทีที่เงยหน้าขึ้นมองหลินเหล่ย เสี่ยวเฉิงก็พลันเห็นหัวกะโหลกและโครงกระดูกพร้อมกับขากรรไกรที่กำลังขยับขึ้นลง “พี่เขย… พี่รู้สึกยังไงบ้าง?”

ทว่า เรื่องที่เกิดขึ้นในตอนนี้ทำให้เสี่ยวเฉิงถึงกับต้องกระโดดลงจากเตียงด้วยความหวาดกลัว แต่ทว่า การกระโดดก็กลับทำให้บาดแผลตรงหน้าท้องของเขาขยายออก เสี่ยวเฉิงพลันกัดฟันแน่นด้วยความรู้สึกสุดเจ็บปวด แต่นี่ถือเป็นสัญญาณว่าเขาไม่ได้กำลังฝันไป

ถึงกระนั้น ดูเหมือนว่าความผิดปกติบางอย่างกำลังเกิดขึ้นกับดวงตาของเสี่ยวเฉิงอยู่…

ปล. ในอนาคต พระเอกของเราจะมีพลังพิเศษอะไรอีกไหมนะ?