ตอนที่ 75: ราวกับดอกไม้ที่กำลังเบ่งบาน

เมื่อเสี่ยวเฉิงเห็นโครงกระดูกทั้งสี่เคลื่อนตัวเข้ามาใกล้ เขาก็พลันไม่แน่ใจแล้วว่าตัวเองกำลังฝันอยู่หรือเปล่า ทว่า ความเจ็บปวดตรงช่องท้องก็เป็นเหมือนสิ่งยืนยันว่าทั้งหมดคือเรื่องจริง

ทันทีที่ได้ยินเสียงของเด็กชาย เสี่ยวเฉิงก็รับรู้ได้ทันทีว่าต้องเป็นหลินเหล่ยแน่ แต่แล้ว เสี่ยวเฉิงก็พลันหลับตาอีกครั้งด้วยความตกใจ เสี่ยวเฉิงอยากรู้ว่าตอนนี้อะไรกำลังเกิดขึ้นกับดวงตาของเขากันแน่

บางที นักวิทยาศาสตร์ที่ฉีดสารพันธุกรรมใส่เสี่ยวเฉิงอาจจะเป็นคนเดียวที่รู้ก็ได้ ถึงอย่างไร นี่ก็ถือเป็นความสามารถใหม่ที่เพิ่งจะถูกปลดล็อก!

ก่อนหน้านี้ ดวงตาของเสี่ยวเฉิงมีความสามารถในการตรวจจับรายละเอียดของวัตถุได้อย่างแม่นยำอยู่แล้ว แต่การต่อสู้บนสังเวียนกับพวกแก๊งเต่าดำนับร้อยน่าจะทำให้ดวงตาของเสี่ยวเฉิงปลดล็อกขีดจำกัดและเกิดการเปลี่ยนแปลง…

อันที่จริง เรียกว่าการกลายพันธุ์ก็น่าจะง่ายกว่า

ตั้งแต่การจับรายละเอียดอย่างรวดเร็วไปจนถึงการมองเห็นวัตถุที่ทะลุปรุโปร่ง กล่าวอีกนัยหนึ่ง… เสี่ยวเฉิงในตอนนี้สามารถมองทะลุวัตถุทุกอย่างได้ทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นโลหะสุดแข็งแกร่งหรือเนื้อหนังของมนุษย์

“น้ำ… ขอน้ำหน่อย” เสี่ยวเฉิงพลันกล่าวคำพูดออกมาอย่างอ่อนแรง

หลังจากที่หลินเหล่ยยื่นน้ำให้เสี่ยวเฉิง เขาก็ไม่ได้ยกดื่มในทันที เสี่ยวเฉิงกลับเทน้ำลงฝ่ามือพร้อมกับขยี้ตาอย่างระมัดระวัง หลังจากรู้สึกกระชุ่มกระชวย เขาก็รู้สึกสบายตาขึ้น และเมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้ง เสี่ยวเฉิงก็พลันเห็นทุกคนในตระกูลหลินมองมาอย่างเป็นห่วงเป็นใย

“คุณพ่อ… คุณแม่… ทุกคนอยู่ที่นี่กันหมดเลย” เสี่ยวเฉิงพลันกล่าวทักทาย

หลินกุ้ยเหรินที่นั่งอยู่ข้างเตียงพลันตบไหล่เสี่ยวเฉิงและกล่าวคำพูดออกมา “ลูกไม่เป็นไรก็ดีแล้ว แต่อันที่จริง พ่อไม่คิดเลยนะว่าลูกจะเข้าร่วมกับกองทัพหลังจากย้ายมาที่เมืองนี้”

“พ่อผมเองก็เป็นทหาร ผมเองก็อยากจะเป็นเหมือนเขาน่ะครับ” เสี่ยวเฉิงพลันตอบกลับ

อันที่จริง ดูเหมือนว่าหลินกุ้ยเหรินอยากจะพูดอะไรบางอย่างออกมา แต่แล้ว เขาก็คิดว่าไม่พูดดีกว่า

หลังจากหันไปพูดบางอย่างกับภรรยา คุณแม่ก็พาหลินจื้อซือและหลินเหล่ยออกจากห้องไป

เสี่ยวเฉิงพลันสงสัยขึ้นทันทีว่าหลินกุ้ยเหรินมีอะไรจะพูดกับตนเป็นการส่วนตัวหรือเปล่า

ไม่นานนัก หลินกุ้ยเหรินก็พลันถอนหายใจออกมา “ก่อนที่พ่อของลูกจะเสียชีวิต เขาต้องการให้ลูกได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขและปลอดภัยที่สุด แล้วก็… ลูกรู้ไหมว่าทำไมพ่อถึงยอมยกหลินจื้อซือให้? แต่อันที่จริง พ่อคิดว่าลูกน่าจะรู้อยู่แล้วแหละ หลินจื้อซือเองก็เป็นเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่สวยและน่ารัก พวกเศรษฐีแต่ละคนต่างก็อยากได้เธอกันทั้งนั้น แต่ใครก็ตามที่ได้ครอบครองเธอต่างก็ต้องพบเจอกับความกดดันจากชายอื่นที่พยายามเข้ามาจีบกันหมด ประการแรก… พ่อเคยหวังเอาไว้ว่าลูกจะยอมแต่งงานกับผู้หญิงที่สวยและเก่งเช่นเธอ เพราะลูกเองก็จะได้มีแรงบันดาลใจในการผลักดันให้ตัวเองทำงานหนักขึ้นเพื่อที่จะได้ดูแลเธอให้ดีและทำให้หลินจื้อซือเป็นผู้หญิงที่มีความสุขและโชคดีที่สุด ประการที่สอง… พ่อต้องการให้วงศ์ตระกูลเฉิงมีผู้สืบทอดต่อไป พ่อรู้ดีว่าลูกไม่สนใจเรื่องแต่งงานเลยนับตั้งแต่พ่อที่แท้จริงจากไป แต่พ่อก็หวังอยู่เสมอเลยนะว่าลูกและหลินจื้อซือจะมีชีวิตที่มั่นคงและได้ใช้มันอย่างมีความสุขด้วยกัน แต่แล้ว พ่อก็ไม่ได้คิดเอาไว้เลยว่าลูกจะไปเข้าร่วมกับกองทัพหรือเข้าไปพัวพันกับการประลองแลกชีวิตกับใครสักคนแบบนี้…”

เสี่ยวเฉิงพลันเผยยิ้มอย่างขมขื่น “ผมพยายามแล้วนะ ผมเองก็อยากใช้ชีวิตเหมือนกับคนอื่นนั้นแหละครับ แต่ทุกครั้งที่นึกถึงหน้าพ่อที่เสียไป มันก็ทำให้ผมนึกแต่เรื่องแม่อยู่ตลอดเลย… มันอดที่จะอยากหาคำตอบไม่ได้น่ะครับ ผมไม่เคยเจอแม่เลย อีกอย่าง ผมก็แค่อยากจะตามหาและบอกกับเธอว่าพ่อจากโลกนี้ไปแล้วนะ แล้วก็อยากจะถามต่อหน้าเธอด้วยว่าอยากจะไปยืนไว้อาลัยที่หน้าหลุมฝังศพของพ่อไหม… แม่ไม่เคยรู้เลยว่าพ่อคิดถึงเธอขนาดไหน แต่ไม่ว่ายังไง นั่นมันก็แค่เศษเสี้ยวของเหตุผลเท่านั้นแหละครับ เพราะอันที่จริง แรงบันดาลใจทั้งหมดในการใช้ชีวิตของผมก็คือหลินจื้อซือ…”

หลินกุ้ยเหรินพลันตกใจไม่น้อย เขามองไปยังเสี่ยวเฉิงด้วยสายตาอยากรู้อยากเห็น

เสี่ยวเฉิงพลันเผยยิ้ม “อันที่จริง ตอนที่คุณยกหลินจื้อซือให้ผม ผมมีความสุขมากเลยนะ รู้สึกดีที่สุดเลยด้วย แต่ที่ปฏิเสธไปก็เพราะผมคิดว่าตัวเองยังดีและแข็งแกร่งไม่มากพอ ก่อนที่พ่อของผมจะจากโลกนี้ไป ท่านเคยบอกผมว่า… ถ้าเราอยากรู้ว่าผู้ชายคนนั้นแข็งแกร่งหรือมีอิทธิพลมากขนาดไหน ให้มองดูผู้หญิงที่อยู่เคียงข้างเขา… ผมจำคำพูดนั้นขึ้นใจมาจนถึงตอนนี้เลยล่ะครับ ผมเอาแต่เฝ้าถามตัวเองมาตลอดเลยว่าคู่ควรกับหลินจื้อซือจริงหรือเปล่า? ผมรู้ว่าเธอเป็นผู้หญิงที่สวยและมีอิทธิพลจนติดอันดับต้น ๆ ของยุโรป ผมรู้ดีว่าพวกชนชั้นสูงหรือแม้แต่ลูกเศรษฐีต่างก็อยากเป็นลูกเขยของคุณกันทั้งนั้น ถ้าผมยังไม่แข็งแกร่งหรือมีอิทธิพลมากพอ ชีวิตผมก็คงจะไม่ต่างอะไรกับพ่อที่จากไปอย่างไม่มีวันกลับ เพราะแบบนั้นแหละครับ ผมเลยกลับมาที่เมืองนี้และเข้าร่วมกับกองทัพเพื่อเปลี่ยนแปลงตัวเอง ไม่ว่ามันจะยากแค่ไหน ไม่ว่ามันจะเป็นการหาเบาะแสของแม่ที่ทอดทิ้งไป หรือเพื่อตัวหลินจื้อซือเอง… ถ้าผมต้องการให้ชีวิตดำเนินต่อไป ผมก็ต้องแข็งแกร่งมากกว่านี้”