บทที่ 182 มหาสมุทรดวงดาวอันมิอาจหยั่งถึง

เจ้าของร้านพิศวง

บทที่ 182 : มหาสมุทรดวงดาวอันมิอาจหยั่งถึง

เอี๊ยด!

แขนกลสีเงินกำนิ้วเข้าหากันอย่างช้า ๆ ทำให้เกิดเสียงบดเหล็กขึ้น ในขณะที่มันยื้อแขนยักษ์นั้นไว้และค่อย ๆ ผลักมันกลับไป

ลวดลายคล้าย ๆ เกล็ดปรากฏบนแขนกลข้างนั้นและเรืองแสงสีขาว ส่องสว่างร่างที่กำลังต้านรับฝ่ามือยักษ์นั้นไปครึ่งร่าง

เส้นผมหงอก ใบหน้ามุ่งมั่น ร่างสูงสองเมตรที่หนาราวรถถัง เสื้อที่แทบปริจากการฉีกกระชากของมวลกล้ามเนื้อที่เกร็งขึ้นมาจากการใช้กำลังสุดแรงเกิดของเขา

ร่างที่ยืนอย่างเดียวดายที่นี่มีอำนาจยับยั้งที่แข็งแกร่ง ยังไม่รวมถึงสายตาทิ่มแทงและสนามอีเธอร์อันน่าสะพรึงกลัวที่เขาปลดปล่อยออกมา

ในแวบแรกที่เห็นชายชราร่างบึกบึนผู้นี้ จุยคาคุและกองทัพนักเวทของเขาก็พากันตกตะลึงพร้อมด้วยสีหน้าไม่อยากเชื่อ

อัศวินแห่งแสงระดับสูงในระดับภัยพิบัติแห่งหอพิธีกรรมต้องห้าม ‘เปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์ไร้เทียมทาน’ โจเซฟ!

เขามาทำบ้าอะไรที่นี่เนี่ย?!

หัวใจของจุยคาคุบีบรัดตัวเมื่อเขาระลึกถึงวีรกรรมครั้งก่อน ๆ ของชายผู้นี้ โดยเฉพาะบุคคลล่าสุดที่เคยต่อสู้กับโจเซฟ นักเวทมนตร์ดำระดับภัยพิบัติไวลด์ ว่ากันว่าไวลด์ถูกระเบิดร่างในระหว่างสงครามบุคคลระดับสูงสุดนี้

โจเซฟเองก็เสียแขนข้างหนึ่งไปในสงครามและสุดท้ายก็อ่อนแอลง เนื่องจากบาดแผลเก่าและผลข้างเคียงจากดาบปีศาจ เขาจึงถอยไปอยู่แนวหลัง เปลี่ยนจากสังกัดหน่วยรบไปเป็นหัวหน้าแผนกข่าวกรองแทน

หรือก็คือ…โจเซฟควรจะ ‘เกษียณไปนานแล้ว’ แต่ความจริงแล้วเขากลับดักโจมตีอยู่ที่นี่!

แค่คิดถึงไวลด์ จุยคาคุในระดับภัยพิบัติก็ตัวสั่นแล้ว ในขณะเดียวกันเขาก็มีความเคลือบแคลงในใจ

เขาได้รับคำสั่งมาจากคนระดับสูงแล้วแท้ ๆ ให้จัดการกับเรื่องของโบสถ์แห่งจุดสูงสุดกับหอการค้าแอช ไม่เห็นมีใครบอกเรื่องที่หอพิธีกรรมต้องห้ามเข้ามาเกี่ยวเลย!

บ้าจริง…เรางานงอกแล้ว! พวกเราทุกคนที่นี่หนีไปแบบครบสามสิบสองไม่ได้แน่ถ้าไปกระตุกหนวดหอพิธีกรรมต้องห้ามเข้า ทั่วทั้งนอร์ซินก็เรียกได้ว่าเป็นถิ่นพวกเขาทั้งนั้น…

จุยคาคุกัดฟันขบคิด ภารกิจของเราจะถือว่าลุล่วงได้ถ้าเราฆ่าคนในคาเฟ่หนังสือได้ครึ่งหนึ่ง โจเซฟอยู่ว่าง ๆ มาตั้งหลายปีและไม่ได้ต่อสู้เลย เพราะงั้นไม่มีอะไรต้องกลัว!

ดวงตาหลังหน้ากากกะโหลกแกะวาวโรจน์ เขายกไม้เท้ากระดูกสีซีดของตัวเองขึ้น แล้วปลายคทาที่ฝังทับทิมไว้ก็สาดแสงเจิดจ้า

ทะเลเลือดลอยขึ้นอีกครั้ง และมือนับไม่ถ้วนที่ดูเหมือนโครงกระดูกก็ยื่นออกมาจากในนั้น รัดพันกันเป็นแขนขนาดยักษ์ราวกับเป็นเส้นเลือดที่สูบฉีดเลือดเข้าไปในนั้น

หมู่เส้นเลือดและกล้ามเนื้อพองตัวขึ้น ทำให้แขนข้างนั้นดูราวกับรากไม้แก่ ๆ ที่ขมวดเป็นปม แล้วมันก็พุ่งไปข้างหน้าอีกครั้ง

เอี๊ยดด!!

โจเซฟได้ยินแขนกลของเขาถูกน้ำหนักถ่วงจนตึงเปรี๊ยะ

เขาครวญในลำคอ ไม่สนใจการยื้อยุด อีเธอร์ทั่วร่างของเขาลุกไหม้ และเนื่องมาจากเกิดการกระเพื่อมอีเธอร์อย่างหนาแน่น มันจึงเรืองแสงเจิดจ้าราวกับเปลวเพลิงสีขาวและแผ่แรงกดดันไปทั่ว

นี่คือที่มาของชื่อเล่น ‘เปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์ไร้เทียมทาน’ ของโจเซฟ ตราบใดที่เขายังต่อสู้อยู่ เพลิงสีขาวอันรุนแรงจะไม่มีวันมอดดับ

ในขณะที่ร่างของโจเซฟนับว่าใหญ่โตในหมู่มนุษย์ เขาก็ยังเป็นเพียงเศษเสี้ยวหนึ่งเมื่อเทียบกับฝ่ามือยักษ์ที่ยาวสามเมตรนั่น

แต่นั่นก็เป็นเหตุผลที่ว่าทำไมภาพที่เขาต้านทานแขนนั้นไว้ได้จึงตรึงตาตรึงใจนัก

หลังจากผ่านไปสองปี การเปิดฉากต่อสู้ครั้งแรกของโจเซฟก็ยังคงเปี่ยมด้วยออร่าท่วมท้นเฉกเช่นเดิม

ตู้ม!

ประกายไฟกระดอนออกมาจากรอยแยกต่าง ๆ ในแขนกลของโจเซฟในขณะที่เรี่ยวแรงมหาศาลทำให้ข้อต่อโลหะแตกออกจากกัน กระทั่งแผ่นโลหะที่เป็นส่วนประกอบแขนยังบิดเบี้ยวผิดรูปจนทำให้แหล่งจ่ายพลังงานหยุดทำงาน

แสงสีขาวรอบ ๆ ตัวโจเซฟเริ่มหม่นแสงลง

ครู่หนึ่งจากนั้น โจเซฟที่ทั้งใบหน้าและลำคอต่างเต็มไปด้วยเส้นเลือดปูดโปนร้องคำรามพลางกระทืบเท้า บิดเอวของตัวเองแล้ว ‘ฉีก’ แขนสัตว์ประหลาดนั้นทั้งแขนออกมาจากทะเลเลือด

เผละ…

เส้นหนวดที่ยังดิ้นห้อยลงมาจากแขนที่ถูกฉีกออกมาจากทะเลเลือด ก่อให้เกิดภาพชวนคลื่นเหียน

ในขณะเดียวกัน แขนกลของโจเซฟก็บิดเบี้ยวไปโดยสมบูรณ์ไปตามทิศของแรง โลหะชั้นนอกของมันพังเสียหาย และใช้การไม่ได้อีกต่อไป

“ไหง…ไหงเขาดูแข็งแกร่งเสียยิ่งกว่าเมื่อสองปีก่อนอีกล่ะ?!” จุยคาคุอ้าปากค้างอย่างตกใจ

ข่ายตราที่รายล้อมอยู่ก็ถูกฉีกกระชากไปพร้อม ๆ แขนข้างนั้นและหายไปเป็นส่วนใหญ่แล้ว

จุยคาคุสัมผัสได้ถึงอีเธอร์ที่กำลังจะหมดจึงผงะถอยหลังอย่างตื่นตระหนก เขาออกคำสั่งกองทัพนักเวทของเขาให้เริ่มซ่อมข่ายมนตร์อย่างรวดเร็ว

แต่มันก็สายเกินไป หลังจากเหวี่ยงแขนยักษ์นั้นออกไป โจเซฟก็ฉีกแขนเทียมของตัวเองออกอย่างไม่สะเทือน แล้วยื่นแขนที่เหลืออยู่ของเขาออกมา

“นักเวทสาปโลหิตจุยคาคุ แกจะเป็นชัยชนะแรกฉลองการกลับมาของฉัน!”

มุมปากของเขายกเป็นรอยยิ้มตื่นเต้น แล้วร่างของเขาก็ส่องสว่างจากเปลวเพลิงสีขาว โจเซฟทะยานขึ้นสู่ฟ้าราวลูกธนูที่ถูกปล่อยจากคันศร

ทีแรกจุยคาคุตื่นตระหนก แต่เมื่อเขาคิดถึงผู้ยิ่งใหญ่คนนั้นในร้านหนังสือ เขาก็ตระหนักได้ว่าตัวเองไม่ได้อยู่ในอันตรายใด เพราะถึงอย่างไร การปรากฏตัวของบุคคลระดับภัยพิบัติก็คงเป็นเรื่องแย่ที่สุดที่เกิดขึ้นได้แล้ว

ทั้งนอร์ซินนั้นมีบุคคลระดับภัยพิบัติอยู่แค่ไม่กี่คน และจุยคาคุก็เชื่อว่าเขาสามารถจัดการกับคาเฟ่หนังสือเล็ก ๆ จิ๊บจ๊อยนี้ได้

และแม้ว่าจะล้มเหลว แต่เมื่อผู้ยิ่งใหญ่ผู้นั้นลงมือ ต่อให้เป็นโจเซฟก็ต้องตายอยู่ดี

ด้วยความคิดนั้น จุยคาคุก็เลิกแตกตื่น ด้วยประกายระยับในดวงตา เขาส่งสัญญาณให้กองทัพนักเวททำลายคาเฟ่หนังสือในขณะที่เขารับมือโจเซฟด้วยตนเอง

เขาชูไม้เท้าขึ้นอีกครั้ง ตราต่าง ๆ ควบรวมกัน

ยักษ์ตนหนึ่งปีนออกมาจากในทะเลเลือดที่แขนก่อนหน้านี้ถูกกระชากออกไปพร้อมด้วยเสียงคำรามต่ำ ๆ

มันเป็นสัตว์ประหลาดรูปร่างคล้ายมนุษย์ที่ดูน่าขยะแขยง ทั้งร่างของมันเต็มไปด้วยเส้นขนสีดำ และแขนข้างเดียวที่เหลืออยู่ของมันก็เหมือนกับแขนที่โจเซฟกระชากออกไปเมื่อครู่นี้ทุกประการ

ผิวหนังของยักษ์นั้นเหี่ยวเฉา เป็นสีเขียวและเน่าเปื่อย ข้าง ๆ ศีรษะของมันมีดวงตาปูดโปนสองดวงที่เรืองแสงสีชมพู และปากใหญ่ยักษ์ที่อ้าออกมาตั้งแต่บนหัวลงมาถึงคางที่เต็มไปด้วยเขี้ยวเหลือง ๆ อันแหลมคม

“ทะเลเลือด…ยักษ์มลทิน!”

ยักษ์มลทินที่จุยคาคุเลี้ยงด้วยเลือดของคนนับไม่ถ้วนนั้นมีพลังอยู่ในจุดสูงสุดของระดับภัยพิบัติ

“ลุย! ฆ่าเขาให้ฉันที!”

โฮก!!

ละอองมายาโปรยปรายทุกที่ที่ยักษ์เหยียบย่าง ทำให้พื้นที่รอบ ๆ ถูกปกคลุมด้วยภาพลวงตา

จุยคาคุมั่นใจในความแข็งแกร่งของตนเอง แม้ว่าโจเซฟจะแข็งแกร่ง แต่ยักษ์มลทินนี้…

เขาพลันสังเกตเห็นว่าโจเซฟกำลังฉีกยิ้มเยาะเย้ยในขณะที่อะไรที่ดูเหมือนจักรวาลดวงดาวปรากฏเบื้องหลังเขา ที่ใจกลางของมันปรากฏวังวนที่มืดสนิทที่กลืนกินแขนที่โจเซฟเพิ่งจะโยนเข้าไป

ดวงตาของจุยคาคุเบิกกว้าง ไม่ใช่ว่านี่คือพิธีบวงสรวงเหรอ…แล้วแขนนั่น?!

โจเซฟไม่ได้ทำแค่โยนแขนทิ้ง แต่เซ่นมันโดยใช้วิชาอัญเชิญที่ได้มาจากหนังสือยามดาราหวนคืนที่เจ้าของร้านหลินให้เขามา

ดวงดาวนั้นสุกสกาว ดวงดาวหวนคืน

ลึกเข้าไปในวังวนดำมืด ท่ามกลางดวงดาว ปรากฏร่างอันคลุมเครือที่หน้าตาดูเลือนรางเสียจนมองไม่ออก แต่ภายใต้ฮู้ดสีเหลืองที่เชื่อมกับเสื้อคลุมสีเดียวกันนั้น ผู้มองยังพอเห็นหนวดนับไม่ถ้วนที่กระดิกไปมาเล็กน้อยอยู่

หนึ่งในหนวดเหล่านั้นยืดออกมาจากในวังวนดวงดาว ดึงความสนใจของจุยคาคุไป

ในทีแรกเขาหลงใหลมัน ก่อนที่จะชะงักนิ่งกับที่ แล้วร่างของเขาก็เริ่มสั่นเทาราวกับเขากำลังจะเป็นบ้า

เพราะความจริงแล้ว แค่หนวดเส้นนั้นก็ใหญ่กว่ายักษ์มลทินที่สูงสิบเมตรแล้ว…

หนวดที่ยื่นออกมาจากในจักรวาลดวงดาวนั้นดูราวกับตัวตนสยองขวัญที่ยิ่งใหญ่และอธิบายไม่ได้จากนอกอวกาศ ทรราชแห่งมหาสมุทรดวงดาวอันมิอาจหยั่งถึงที่สามารถกวนกระแสดวงดาวและทำลายดาวเคราะห์ได้ตามใจชอบ

ควับ!

หนวดเส้นนั้นรัดไปรอบ ๆ ยักษ์มลทินที่ดิ้นรนโหยหวนอย่างไม่มากความ ก่อนที่จะเปลี่ยนมันเป็นก้อนโคลน

จุยคาคุเชื่อมต่อกับยักษ์มลทิน แล้วเขาก็กระอักเลือดออกมาเมื่อข่ายมนตรารอบ ๆ เขาพังทลายลง

จุยคาคุผู้มีสีหน้าพ่ายแพ้ได้แต่มองตามเส้นหนวดที่หดกลับไปในความมืดภายใต้ฮู้ดสีเหลือง…

ในตอนที่โจเซฟเข้าไปถึงตัวและต่อยจุยคาคุได้ เจ้าคนหลังก็กลายเป็นคนหมดอาลัยที่น้ำลายยืดจากปากเหมือนคนปัญญาอ่อนไปแล้ว…

ตุ้บ!

จุยคาคุโดนชกร่วงไปกองกับพื้น กระดอนอยู่สองครั้งก่อนที่จะหยุดลง แต่เขาก็ไม่สามารถหยุดเสียงหัวเราะคิกคักที่ควบคุมไม่ได้ของตัวเองได้ เขายืนกลับขึ้นมา แขนขาเต้นรำ และปากก็พูดไม่ได้ศัพท์

โจเซฟคว้ามือจุยคาคุ ยืนยันได้ว่าเจ้าคนนี้เสียสติไปแล้ว

เขาพึมพำอย่างพรั่นพรึงเล็กน้อย “เจ้าของร้านหลินนี่น่ากลัวจริง ๆ การอัญเชิญตัวระดับนี้ออกมา…นั่นมันบ้าอะไรกันแน่ฟะเนี่ย?”

“เฮ้อ…ช่างมันเถอะ ฉันก็ไม่อยากเป็นบ้าเหมือนกันว่ะ”

โจเซฟส่ายหน้า และเมื่อเขาหันกลับไป เขาก็เห็นว่าศึกในคาเฟ่หนังสือก็จบลงแล้วเช่นกัน