บทที่ 183 ดวงตะวันกำลังขานเรียก

เจ้าของร้านพิศวง

บทที่ 183 : ดวงตะวันกำลังขานเรียก

กองทัพนักเวทของจุยคาคุมีทั้งหมดห้าสิบนาย จำนวนนี้อาจฟังดูไม่มาก แต่ทั้งกลุ่มนั้นอัดแน่นไปด้วยนักเวทหัวกะทิระดับสัตว์ประหลาด ทำให้จำนวนที่ว่ามานั้นดูสลักสำคัญขึ้นมาเป็นกอง

ที่จริงแล้ว การที่สามารถก่อตั้งกองกำลังใหม่แบบนี้ออกมาได้นี่ไม่ใช่เรื่องตลกเลย

เรื่องนี้สามารถอิงถึงความจริงที่ว่าโดยเฉลี่ยแล้ว ฝ่ายต่าง ๆ ในนอร์ซินนั้นจะมีสมาชิกระดับสัตว์ประหลาดอยู่แค่ราว ๆ ยี่สิบถึงสามสิบคนเท่านั้น ส่วนที่เหลือ ส่วนใหญ่ 90% จะอยู่ในระดับผิดปกติ 9% ไม่มีแม้แต่ระดับ ในขณะที่ 1% ที่เหลืออยู่ในระดับภัยพิบัติ

ส่วนพวกระดับเหนือนภานั้นก็มีแต่ชื่อเดิม ๆ สองสามชื่อที่วนเวียนอยู่ และคนส่วนใหญ่ก็รู้จักชื่อพวกนี้ดีพอ ๆ กับหลังมือตัวเอง

จุยคาคุก็แค่ขับเคลื่อนกองทัพนักเวทของเขาไปในทิศทางไหนสักทาง แล้วเจ้าพวกระดับต่ำก็จะมารวมตัวกันราวกับแมงเม่าเจอไฟ ทำให้เขาสามารถเกณฑ์กำลังคนมาสร้างเป็นขุมพลังที่แข็งแกร่งได้อย่างง่ายดาย

ทว่าจุยคาคุดูแคลนการทำเช่นนั้น และเชื่อว่าการใช้คุณภาพมาก่อนจำนวนเป็นทางเดียวที่เขาจะสามารถควบคุมกองทัพได้อย่างสมบูรณ์ได้

และเพราะเหตุนั้น สมาชิกห้าสิบคนของกองทัพนักเวทจึงเป็นทุกสิ่งทุกอย่างของเขา เป็นทั้งผู้ติดตามที่ภักดีที่สุดและลูกศิษย์ของเขา

เหตุผลที่กลุ่มคนเหล่านี้ถูกเรียกว่า ‘กองทัพ’ นั่นก็เพราะนอกจากจะเป็นนักเวทมนตร์ขาวระดับภัยพิบัติและเป็นชนชั้นสูงแล้ว จุยคาคุเองก็เคยเป็นแม่ทัพให้กับอาณาจักรแห่งหนึ่งมาก่อนเมืองนอร์ซินจะเกิด

น่าเศร้าที่นักเวทผู้รุ่งเรืองและแข็งแกร่งคนนี้ได้กลายเป็นไอ้งั่งพูดจาเลอะเทอะไปแล้ว

แน่นอนว่ากองทัพนักเวทของเขาที่ถูกเกณฑ์มาถล่มคาเฟ่หนังสือยังไม่ตระหนักถึงเรื่องนี้

พวกเขาได้รับคำสั่งจากจุยคาคุให้ลงมือกันเองและเตรียมพร้อมมาอย่างดีที่จะเข้าร่วมสงคราม…หรือพูดให้เหมาะก็คือเข้าไปไล่ฆ่าคนในคาเฟ่

สำหรับพวกเขาแล้ว ลูกค้าส่วนใหญ่ในคาเฟ่หนังสือนั้นเป็นแค่คนธรรมดา ถ้าพวกผู้มีพลังเหนือธรรมชาติไม่กี่คนในนั้นอยู่ในระดับสัตว์ประหลาด พวกเขาก็จะถูกกวาดล้างไปได้ง่าย ๆ และต่อให้ถ้ามีระดับภัยพิบัติอยู่ในนั้นสักคน ภารกิจก็ยังพอผ่านได้ด้วยการรวมตัวของนักเวทห้าสิบคน

ทั้งหมดทั้งมวล แผนก็น่าจะผ่านไปได้อย่างราบรื่น

แต่ในความเป็นจริงแล้ว เมื่อนักเวทคนแรกบุกเข้าไปจากทางหน้าต่าง เขาก็ตระหนักว่าบางอย่างไม่ถูกต้อง

ทันทีที่เขายกคทาขึ้น เขาก็พบว่าการมองเห็นของเขาดับลงพร้อมกับความเจ็บปวดอันแผดเผาที่ฉีกกระชากศีรษะของเขา สร้างความช็อกให้กับเขาอย่างมหาศาล แล้วเขาก็สลบไปทันที

คล็อดผู้อยู่ข้าง ๆ วินเซนต์ตลอดการเทศนาถอดสนับมือสีเงินออกจากกำปั้นของเขาแล้วก้าวถอยหลังไปสองก้าว จากนั้นก็ยิ้มแป้นให้กับพวกนักเวทที่กำลังจะเข้ามา

อีเธอร์ในร่างของคล็อดถูกกระตุ้น แล้วเขาก็ดูราวกับว่ามีออร่าร้อนแรงปกคลุมอยู่…

ด้วยความที่เป็นลูกศิษย์ของโจเซฟ วิธีการรวบรวมและใช้อีเธอร์ของเขาจึงเหมือนกับอาจารย์ของเขา ทว่าจากความเข้มข้นอีเธอร์ของคล็อดในตอนนี้ ผลลัพธ์ที่ทำได้จึงมีจำกัด เทียบกับเปลวเพลิงเจิดจ้าของโจเซฟแล้ว คล็อดยังห่างไกลอยู่มาก

ไม่ว่าอย่างไร ระดับพลังที่มีจำกัดนี้ก็เกินพอสำหรับการสั่งสอนเจ้าพวกนักเวทที่บุกรุกเข้ามาพวกนี้ได้แล้ว

ตุ้บ! ตุ้บ! พลั่ก!

นักเวทสามคนถูกคล็อดทำให้สลบไปติด ๆ กันอย่างรวดเร็ว แต่ในระหว่างนั้นเขาก็ถูกการโจมตีเวทมนตร์ของพวกเขาและบาดเจ็บบ้างเล็กน้อย ระดับอีเธอร์ของเขาก็ลดลงพอสมควร แต่เจ้าพวกนักเวทบุกรุกก็ยังแห่กันเข้ามาอย่างไม่รู้จบ…

ประมาณคร่าว ๆ แล้ว จำนวนของทั้งสองฝ่ายพอจะเท่าเทียมกัน ทว่าน่าเสียดายที่ศัตรูมีแต่นักเวทระดับสัตว์ประหลาด ในขณะที่ฝั่งคล็อดส่วนใหญ่มีแต่คนธรรมดา

ถ้ามีคนจากหอพิธีกรรมต้องห้ามมาคุ้มกันที่นี่ด้วย โอกาสชนะคงเอนมาทางคล็อดแน่ ๆ

“โชคดีที่ที่แห่งนี้ไม่ใช่ถิ่นของพวกมัน ไม่อย่างนั้น…” สีหน้าของคล็อดมืดหม่นในขณะที่ตัวเองหลบคาถาที่ถูกยิงมาอย่างรวดเร็ว

เขาสังเกตเห็นว่าคนธรรมดาส่วนใหญ่ไปยืนออที่หลังวินเซนต์และได้รับการปกป้องจากเกราะอีเธอร์ที่ส่องสว่างของวินเซนต์แล้ว

คนพวกนี้เจี๊ยวจ๊าวกันพอตัว ในขณะที่ก่อนหน้านี้พวกเขาตื่นกลัวและตระหนกจากการปรากฏตัวกะทันหันของคนคลั่งศาสนา เทียบกับตอนนั้นแล้ว พวกเขาไม่ได้ดูตกใจตัวแข็งขนาดนั้นอีกต่อไป

ก่อนที่ความอุ่นร้อนที่เกิดจากบุคคลแรกที่กลายเป็นเถ้าจะทันหายไป กลุ่มนักเวทอีกกลุ่มก็ปรากฏตัว

การเห็นการร่ายเวทปะทะกันและพลังของอีเธอร์ทำให้คนเหล่านี้เชื่อว่าผู้มีพลังเหนือธรรมชาติมีตัวตนอยู่ในโลกนี้จริง ๆ

บางคนเบิกตาโตอย่างตกตะลึง บางคนกำหมัด บางคนดูกังวล และบางคนก็ดูทำอะไรไม่ถูก

วินเซนต์ขมวดคิ้วในขณะที่จดไว้ในใจถึงการโจมตีกะทันหันของกลุ่มนักเวทระดับสัตว์ประหลาดเหล่านี้ สถานการณ์ในตอนนี้คับขัน ไม่ใช่เพราะเขาเคลือบแคลงในฝีมือของตนเอง แต่เป็นเพราะเขาต้องหาทางกวาดล้างเจ้าพวกผู้บุกรุกพวกนี้โดยไม่ให้เกิดความเสียหายใด ๆ กับคาเฟ่ ในขณะที่ต้องปกป้องผู้คนด้วย

เจ้าพวกนักเวทพวกนี้ไม่เหมือนคนธรรมดาคนก่อนที่เขาจะสามารถกดดันด้วยพลังได้โดยง่าย…

ถ้าอีเธอร์ในร่างของคนธรรมดาเหมือนไม้ขีดไฟที่เมื่อจุดแล้วก็ดับได้ง่าย ถ้าเช่นนั้นผู้มีพลังเหนือธรรมชาติก็เทียบได้กับแก๊สเต็มกระป๋องที่เมื่อจุดก็สามารถก่อให้เกิดระเบิดได้

ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าพวกเขามีกันห้าสิบคน…อ้อ เหลือสี่สิบคนแล้ว

ในขณะที่วินเซนต์กำลังจะลองใช้พลังของทัณฑ์นิรันดรนั้นเอง นักเวทที่สวมหน้ากากหัวกะโหลกสีแดงคนหนึ่งพลันทะลวงผ่านเกราะอีเธอร์ของเขา แล้วพุ่งเข้ามาพร้อมดาบน้ำแข็งอย่างมาดร้าย

ชิ้ง! ชิ้ง! ชิ้ง!

ดาบเล่มนั้นมีคมดาบที่คมกริบและใบดาบที่ดูเย็นเสียจนสามารถแช่แข็งไอน้ำที่ล้อมรอบมันได้ เขาวาดดาบกลางอากาศแล้วพุ่งเข้าใส่ลูกค้าสองสามคนที่อยู่ใกล้ ๆ

แอนนีคือหนึ่งในนั้น…

เธอตกตะลึง หรือพูดให้ถูกคือเธอไม่รู้สถานการณ์เลยสักนิด เธอมองเห็นแค่เงาร่างพร่าเลือนก่อนที่คนคนหนึ่งจะพลันมาอยู่ตรงหน้าเธอแล้วตะโกนว่า “แอนนี ถอยไป!”

แอนนีแข็งค้าง คนตรงหน้าเธอไม่ใช่ใครอื่น นอกเสียจากอาเธนา เพื่อนสนิทของเธอ!

หญิงผู้ปกติถ่อมตัวอยู่เสมอในตอนนี้มีรอยสักสีทองเรืองแสงเจิดจ้าอยู่บนผิวสีแทนของเธอ วงแหวนแห่งไฟเกี่ยวพันกันเป็นลวดลายซับซ้อนรอบ ๆ ตัวเธอ ก่อเป็นภาพของดวงอาทิตย์อันโชติช่วง

เธอยกแขนทั้งสองขึ้นไขว้กัน กล้ามเนื้อเกร็งตึง แล้วเธอก็หยุดการโจมตีนั้นไว้เสียดื้อ ๆ

รอยสักของเธอแผดเผาอย่างแรงกล้า ทำให้ดาบน้ำแข็งระเหยกลายเป็นหมอกสีขาว และเมื่อหมอกจางลง อาเธนาก็ยังคงยืนตระหง่านอยู่ที่เดิมราวกับเทพธิดาแห่งสงคราม

นักเวทที่ปราดเข้ามาในเกราะอีเธอร์ได้ไม่ใช่นักเวทระดับต่ำ ที่จริงแล้วเขาเป็นลูกศิษย์คนหนึ่งของจุยคาคุที่เชี่ยวชาญในหลายด้าน

ด้วยความที่ความรู้คือพลังสำหรับนักเวทมนตร์ขาว เขาจึงมองเห็นความหมายแฝงของรอยสักที่หายสาบสูญเหล่านี้

“เดนเพลิง!” นักเวทคนนั้นจ้องมองอาเธนาแล้วพึมพำ “ชนเผ่านักรบที่แข็งแกร่งผู้บูชาดวงอาทิตย์ที่หายสาบสูญไปเสียนาน ฉันคิดว่าเป็นแค่ตำนานเสียอีก”

อาเธนาปัดฝุ่นออกจากตัวพร้อมด้วยแสงสว่างเหนือศีรษะที่ดูเหมือนรัศมีที่เรืองแสงขึ้น แล้วเธอก็ถากถาง “ฉันเป็นคนสุดท้ายที่เหลืออยู่ของชนเผ่า ตราบใดที่ฉันตายไปอย่างคนธรรมดา เดนเพลิงก็จะไม่มีอีกต่อไป ตอนนั้นแหละมันถึงจะเป็นตำนานไปโดยแท้จริง”

นักเวทวาดตราบนอากาศแล้วอัญเชิญสัตว์ประหลาดน้ำแข็งมา “งั้นเธอจะเผยตัวทำไมล่ะ?”

เส้นผมของอาเธนาที่ปลิวไสวในสายลมเปลี่ยนเป็นสีแดงเข้ม ดูราวกับเปลวเพลิงที่ลุกโชน

เธอชนหมัดเข้าหากันในขณะผ่อนลมหายใจ “เพราะดวงตะวันกำลังขานเรียกคนของมันอยู่ยังไงล่ะ!”

ก่อนหน้านี้ วินเซนต์มีลางสังหรณ์ จึงพูดออกมาว่า ‘พวกลูกส่วนใหญ่เป็นคนธรรมดา’ ในตอนที่เขาเรียกคนที่มารวมตัวกัน และในขณะเดียวกัน เขาก็พูดพาดพิงอาเธนาซึ่งยังไม่ได้รับการจุดเพลิงในใจเป็นพิเศษ

เขาในตอนนี้เชื่อมต่อกับทัณฑ์นิรันดรบนท้องฟ้าแล้ว แล้วหลังจากได้ยินคำพูดของอาเธนา เขาก็สัมผัสได้ถึงความปีติยินดีของดวงอาทิตย์ แล้วชายหนุ่มก็ดีดนิ้วด้วยรอยยิ้มทันที

เมื่อหลินเจี๋ยได้ยินเสียงอึกทึก เขาก็ลดร่างของมิคาเอลลงแล้วพุ่งออกไปตรวจสอบสถานการณ์ทันที

เขาเพิ่งจะก้าวออกมาข้างนอก เห็นว่าคาเฟ่ไร้รอยขีดข่วน แล้วก็ถอนหายใจโล่งอก

แล้วชายหนุ่มจึงได้พบภาพของโจเซฟต่อยคน หลังจากตรวจให้แน่ว่าอีกฝ่ายไม่เป็นไรแล้ว เขาก็ถอนหายใจโล่งอกอีกรอบด้วยความโล่งใจที่ทุกอย่างในตอนนี้ไม่เป็นอะไรแล้ว

โจเซฟบังเอิญสังเกตเห็นหลินเจี๋ยแล้วโบกมือให้เขา “ทำใจให้สบายเถอะครับ เจ้าของร้านหลิน ทุกอย่างในตอนนี้อยู่ในการควบคุมแล้วครับ”

แม้ว่าจะมีเถ้าถ่านและหมอกลอยออกมานอกหน้าต่างคาเฟ่หนังสือเป็นครั้งคราว แต่ลูกค้าหลายคนก็ไม่ได้รับผลกระทบอะไรมาก และกระทั่งเสนอตัวช่วยทำความสะอาดคาเฟ่จากการรับรองของวินเซนต์ด้วย

เรื่องทั้งหมดคลี่คลายโดยไม่ทิ้งร่องรอย

หลินเจี๋ยฉีกยิ้มแล้วเดินไปหา “ไม่เจอกันนานเลยนะครับคุณโจเซฟ หนังสือที่ยืมไปเป็นยังไงบ้างครับ? จากที่เห็น คุณดูจะได้รับมาไม่น้อยเลยนะครับ”

โจเซฟดูกระปรี้ประเปร่าและกระชุ่มกระชวย ซึ่งต่างจากสภาพเละเทะก่อนหน้านี้ของเขาราวหน้ามือกับหลังมือ มันราวกับว่าเขาได้เกิดใหม่

หลินเจี๋ยเชื่อว่าหนังสือจะต้องทำให้เขาเห็นทางสว่างแน่ ๆ

โจเซฟยอมรับแล้วมอง ‘ค่าหัว’ ที่เขาได้รับ “ต้องขอบคุณคุณ ผมถึงได้ค้นพบตัวเองในอดีตอีกครั้งครับ”

เมื่อมาสังเกตใกล้ ๆ แล้ว หลินเจี๋ยก็สังเกตเห็นว่าแขนกลของโจเซฟหายไป

โจเซฟเหลือบมองไหล่ที่ว่างเปล่าลงแล้วของเขาแล้วทำเพียงหัวเราะหึ “เจ้าพวกนี้ดุเอาเรื่อง จัดการไม่ง่ายเท่าไหร่ครับ เสียแขนกลไปไม่ใช่เรื่องใหญ่เลย ผมติดใหม่เมื่อไหร่ก็ได้เสมอ”