ร้านเล็กๆแห่งนี้ที่รู้จักกันในชื่อร้านตระกูลตู้ มันค่อนข้างเงียบสงบเนื่องจากตั้งอยู่ติดกับซอยต้นหลิว อย่างไรก็ตามธุรกิจของพวกเขาก็ค่อนข้างดี
ท้องฟ้ามืดครึ้มด้วยลมหนาวที่พัดผ่าน แต่ภายในร้านกลับอบอุ่นและมีชีวิตชีวาอย่างยิ่ง มีหม้อซุปเนื้อแกะแบบพิเศษที่ปรุงบนเตาถ่านแล้ววางอยู่บนโต๊ะ
บนโต๊ะมีจานปลาหั่นบางๆหลายจาน เนื้อเหล่านี้สดและนุ่มเช่นกัน หลังจากที่ซุปเนื้อแกะได้ที่แล้ว พวกเขาก็นำออกมาจุ่มลงในน้ำจิ้มที่ทำจากเครื่องปรุงต่างๆ
การได้กินเนื้อปลาเหล่านี้ขณะดื่มเหล้าหมักสูตรพิเศษของร้านในสภาพอากาศแบบนี้เป็นเรื่องที่น่ายินดี
ครอบครัวเจ็ดคนดูแลร้านนี้ ทุกคนในครอบครัวต้องทำงานโดยแต่ละขั้นตอนที่มีความยุ่งวุ่นวาย ด้วยสถานการณ์ที่รุนแรงในเมืองผิงซีและพายุที่พัดผ่านภูเขากลับไม่ส่งผลกระทบต่อครอบครัวนี้เลย
เมื่อเอี้ยนลี่เฉียงและคนอื่นๆมาถึง ในร้านยังไม่ค่อยมีคนมากนัก ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงเลือกโต๊ะชั้น 2 ข้างหน้าต่างทันที หลังจากที่อาหารขึ้นโต๊ะแล้วเอี้ยนลี่เฉียงก็ยังคงกินไปเรื่อยๆพลางสอดส่ายสายตาออกไปนอกหน้าต่าง
หากชาวชาตูกำลังจะ ‘ส่งสินค้า’ คืนนี้ พวกเขาจะต้องผ่านตรอกด้านล่างอย่างแน่นอน
ด้วยการผสมผสานของอุณหภูมิของถ่าน กลิ่นหอมของซุปเนื้อ และเครื่องปรุงรส รวมทั้งกลิ่นของเหล้าหมัก ทำให้ร้านเต็มไปด้วยบรรยากาศพิเศษที่สามารถทำให้ทุกคนรู้สึกผ่อนคลายแม้ในคืนที่อากาศหนาวเย็นเช่นนี้ก็ตาม
…
“เมื่อข้ารวยในอนาคต ถ้าจะสร้างห้องอาหารขนาดใหญ่ในบ้านของตัวเอง จากนั้นก็จะเชิญพ่อครัวที่มีชื่อมากที่สุดในโลกมาทำอาหารให้ข้ากินทุกวัน… ”
ทั้งสามคนกินอาหารมานานกว่าครึ่งชั่วยาม ระหว่างกินก็คุยกันไปด้วย และนี่คือคำพูดของสือต้าเฟิงที่กินจนท้องกาง
“ฮ่าฮ่า ตรงกันข้าม ข้าเพียงต้องการแม่ครัวคนเดียวเท่านั้น…หลังจากที่ข้าแต่งงานข้าอยากได้หญิงสาวสักคนที่มีฝีมือการทำอาหารเป็นเลิศ” ใบหน้าของเสิ่นเติ้งแดงก่ำหลังจากที่เขาดื่มเหล้าหมักไปเล็กน้อย
เรื่องนี้ทำให้หญิงสาวที่มาเก็บจานส่งสายตามาที่เขาเล็กน้อย ท้ายที่สุดเขายังเด็กอยู่ แม้ว่าเสิ่นเติ้งจะทำตัวมีประสบการณ์และเคร่งขรึมในบางครั้ง
เอี้ยนลี่เฉียงตระหนักว่าจริงๆแล้วเสิ่นเติ้งเป็นคนที่สนุกสนานหลังจากที่คุ้นเคยกับเขาแล้วเขาก็จะแสดงธาตุแท้ของตัวเองออกมา
เขาเป็นชายหนุ่มเจ้าสำราญคนหนึ่งเพียงแต่ว่าด้วยการเลี้ยงดูของครอบครัวของเขาทำให้เขาไม่มีโอกาสแสดงออกมากนัก
“คนเดียวพอได้ยังไง” สือต้าเฟิงส่ายหัว
“นางสวมชุดผ้าไหมบางเบาและเดินด้วยฝีเท้าเบาๆ นางทำความสะอาดมือของตัวเองจากนั้นจึงเริ่มปรุงน้ำซุป พวกเราจะคุยกันยามค่ำคืนในขณะที่ทานอาหารฝีมือของนางไปด้วย….” เสิ่นเติ้งที่ดวงตาดูขุ่นมัวเริ่มร่ายบทกวี
“เจ้าอย่าได้ทำตัวเหมือนพวกบัณฑิตไร้สาระพวกนั้นเลย…..” ฉีต้าเฟิงกล่าวในขณะที่ทำหน้าตลกใส่เสิ่นเติ้ง
“เจ้าต่างหากที่ไร้สาระ!” เสิ่นเติ้งจ้องไปที่สือต้าเฟิงและด่าทอมาพร้อมกับเสริมว่า “ในโลกนี้ขอเพียงมีหญิงงามชีวิตก็น่าอยู่แล้ว!”
“ลี่เฉียง เจ้าจะทำอะไรหลังจากที่เจ้าเป็นปรมาจารย์ในอนาคตแล้ว เจ้าจะทำเหมือนตัวข้า หรือเสิ่นเติ้ง….” จากการสอบถามของสือต้าเฟิงทั้งคู่ก็หันความสนใจไปที่ใบหน้าของเอี้ยนลี่เฉียงอย่างรวดเร็ว
“ข้าไม่ได้ต้องการพ่อครัวชื่อดังหรือแม่ครัวสาวสวยเหมือนคำพูดของพวกเจ้า!” เอี้ยนลี่เฉียงส่ายหัวในขณะที่เขามองไปที่สือต้าเฟิงและเสิ่นเติ้งอย่างจริงจัง จากนั้นเขาก็กล่าวต่อ
“สำหรับข้าแล้วใครจะทำอาหารก็ไม่สำคัญขอเพียงพวกเขาทำได้อร่อยก็พอ?”
“เจ้าพูดเล่นหรือเปล่า” สือต้าเฟิงและเสิ่นเติ้งมองไปที่เอี้ยนลี่เฉียงด้วยความประหลาดใจ
“ข้าพูดจริง โดยปกติแล้วข้าก็มักจะซื้อซาลาเปา 2-3 ลูกกินเป็นอาหาร หากข้าต้องการกินของร้อนๆหน่อยข้าก็จะสั่งบะหมี่สักถ้วยก็พอ!”
“ข้ารู้สึกชื่นชมเจ้าจริงๆไม่คิดว่าเจ้าจะไม่จู้จี้จุกจิกเรื่องการกิน…” สือต้าเฟิงพูดขณะที่เขาส่ายหัว ขณะที่เอี้ยนลี่เฉียงทำได้เพียงหัวเราะตอบ
เมื่อทั้งสามกินอาหารอย่างมีความสุข เอี้ยนลี่เฉียงก็รู้สึกได้ถึงบางอย่างและเอียงศีรษะโดยไม่รู้ตัวเพื่อมองออกไปนอกหน้าต่าง
มีรถม้าเข้ามาจากอีกฟากหนึ่งของซอยต้นหลิว รถม้าดูโทรมไปหน่อยแต่มีขนาดยาว ซึ่งหมายความว่านี่คือรถม้าที่ใช้ในการส่งสินค้า
คนขับรถม้าสวมหมวกหนังสุนัขและเสื้อผ้าที่ค่อนข้างหนากำลังขับรถม้าผ่านตรอกเล็กๆโดยไม่รีบร้อน
หมวกหนังสุนัขของเขาถูกกดลงต่ำ ปกคอเสื้อบุนวมของคนขับถูกดึงขึ้นด้านบน ทำให้ดูเหมือนว่าเขาถูกโอบรอบด้วยเสื้อผ้าของเขาไว้แน่น มีเพียงส่วนสายตาของเขาเท่านั้นที่ถูกเปิดเผยออกมา
รถม้ายังเหมือนเดิม คนขับก็ยังเหมือนเดิม แม้จะมีแผ่นไม้คลุมรถม้าไว้ แต่เอี้ยนลี่เฉียงก็ยังสัมผัสได้ถึง ‘สินค้า’ ที่อยู่ในม้วนขนแกะ….
รถม้าคันนั้นผ่านหน้าร้านของตระกูลตู้
“ลี่เฉียง เจ้าเห็นอะไร” สือต้าเฟิงถามขณะที่เขานั่งอยู่ด้านข้าง
เอี้ยนลี่เฉียงมองไปที่คันธนูและลูกศรเขาผิวปากบอกให้เสิ่นเติ้งหยิบมันขึ้นมา หลังจากพิจารณาอย่างถี่ถ้วนรอยย่นก็ปรากฏบนหน้าผากของเขา จากนั้นเขาก็พึมพำกับตัวเองเบาๆ
“แปลก…..”
“แปลกอะไร?”
เอี้ยนลี่เฉียงยังคงนิ่งเงียบ เขากำลังพิจารณาบางอย่างอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่เขาจะลุกขึ้นอย่างรวดเร็วและมองไปที่สือต้าเฟิงและ เสิ่นเติ้ง
พวกเขาทั้งสามได้ใช้เวลาร่วมกันมากขึ้นในช่วงเวลานี้ และด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงมีความไว้วางใจซึ่งกันและกัน เมื่อพวกเขาเห็นเอี้ยนลี่เฉียงยืนขึ้นและมองพวกเขาราวกับว่าเขากำลังบอกว่าไม่สะดวกที่จะพูดมากกว่านี้
สือต้าเฟิงและเสิ่นเติ้งมองหน้ากันและยืนขึ้นเช่นกัน สือต้าเฟิงโยนเงินชิ้นเล็กๆไปที่โต๊ะในขณะที่เสิ่นเติ้งถือคันธนูและลูกศรของเขาขึ้นมาสะพาย
จากนั้นพวกเขาก็ออกจากร้านพร้อมกับเอี้ยนลี่เฉียง เมื่อพวกเขามาถึงที่ซอยด้านนอก พวกเขาเดินไปมาสองสามก้าว หลังจากตรวจสอบคนทั้งสองข้างแล้ว เสิ่นเติ้งก็ถามเสียงต่ำว่า
“เกิดอะไรขึ้น เจ้าสังเกตเห็นอะไร”
“พวกเจ้าเห็นรถมาคันนั้นหรือเปล่า…” เอี้ยนลี่เฉียงกระซิบ
“ข้าจำได้…”
สือต้าเฟิงขมวดคิ้ว ทั้งสามคนนั่งอยู่ริมหน้าต่างด้วยกัน แม้ว่าเขาจะไม่ได้ใส่ใจกับสิ่งที่อยู่ด้านล่างมากนัก แต่เขาก็ยังเห็นรถม้าที่ผ่านไปคันนั้น
“มีบางอย่างผิดปกติกับคนขับรถมา”
“มีอะไรผิดปกติ?” สือต้าเฟิงและเสิ่นเติ้งถามวิญญาณของพวกเขาก็ยกขึ้น
“เจ้าคงไม่รู้ว่าข้ามีความทรงจำที่ดีมาก และไม่เคยลืมคนที่เคยเห็นหน้าแม้แต่ครั้งเดียว ข้าเคยเห็นคนขับรถมาคนนั้นมาก่อนตอนนั้นเขานั่งอยู่บนหลังม้าแรดเมื่อเข้ามาในเมือง
เขาไม่ใช่คนขับรถมาธรรมดาแต่เป็นถึงนักรบของเผ่าชาตูที่องอาจ ไม่มีทางที่เขาจะมาขับรถมาอย่างนี้แน่นอน”
สือต้าเฟิงและเสิ่นเติ้งมองหน้ากัน ทั้งสองมีสีหน้าประหลาดใจเพราะสิ่งที่เอี้ยนลี่เฉียงพูดนั้นค่อนข้างคาดไม่ถึงเลยทีเดียว
“อืม ลี่เฉียง ข้างนอกมืดแล้ว บางทีเจ้าอาจกำลังเข้าใจผิดก็ได้” เสิ่นเติ้งลังเลอยู่ครู่หนึ่ง
“ข้าแน่ใจเรื่องนี้ คนที่ขับรถมาเมื่อสักครู่มีดวงตาสีน้ำตาลเขาไม่ใช่คนฮั่นแต่เป็นคนชาตูแน่นอน…..” เอี้ยนลี่เฉียงมีสีหน้าจริงจังและพูดเสริมว่า
“ตอนนี้ก็ดึกแล้ว สำหรับคนชาตูที่สวมชุดปลอมตัวและแอบแฝงมาเป็นคนขับรถม้า เจ้าคิดว่ามีสิ่งผิดปกติหรือไม่…..”
“หรือว่างูจงอางจะซ่อนตัวอยู่บนรถมา” สือต้าเฟิงกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ
เอี้ยนลี่เฉียงดูเหมือนจะไตร่ตรองอะไรบางอย่างและกล่าวว่า
“เจ้าลองคิดดูงูจงอางไม่มีทางหนีออกจากเมืองได้เลย แล้วเขาไปซ่อนตัวอยู่ที่ไหน บางทีเขาอาจจะร่วมมือกับชาวชาตูเพื่อทำเรื่องบางอย่างก็ได้?”
สือต้าเฟิงและเสิ่นเติ้งตกตะลึง แม้ว่าการคิดคำนวณของเอี้ยนลี่เฉียงจะค่อนข้างแปลก แต่ก็เป็นไปได้อย่างแน่นอน
จำนวนชาวชาตูในเมืองมีมากมาย ถ้าชนเผ่าชาตูสมรู้ร่วมคิดกับงูจงอางจริงๆ บางทีสิ่งที่เอี้ยนลี่เฉียงพูดอาจเป็นเรื่องจริงก็ได้
“ไปกันเถอะ เราจะตามไปดูพวกเขาอย่างเงียบๆ มาดูกันว่าชายชาตูจะทำอะไร….”
เอี้ยนลี่เฉียงและสือต้าเฟิงพยักหน้าเห็นด้วย
ในขณะนั้น ยกเว้นเอี้ยนลี่เฉียง อีกสองคนค่อนข้างตื่นเต้นในสิ่งที่พวกเขากำลังทำตอนนี้
เช่นเดียวกับ ‘ครั้งสุดท้าย’ เส้นทางที่รถม้าใช้ไม่มีการเปลี่ยนแปลงเลย หลังจากใช้เล่ห์เหลี่ยมเล็กน้อย รถม้าก็มุ่งหน้าไปยังร้านขายเสื้อผ้า
เอี้ยนลี่เฉียง สือต้าเฟิงและเสิ่นเติ้งล้วนเป็นคนในวัยเดียวกัน ความเฉียบแหลมของทั้ง 3 คนนั้นไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาจะเทียบได้
ก่อนหน้านี้สือต้าเฟิงและเสิ่นเติ้งไม่แน่ใจว่ารถม้ามีปัญหาหรือไม่ แต่ในเวลานี้พวกเขามั่นใจแล้วว่ารถม้าคันนี้ต้องมีปัญหาแน่นอน
ปัง ปัง ปัง ปัง คนขับรถม้าชาวชาตูเคาะประตูเป็นจังหวะเหมือนที่เขาเคยทำมาก่อน
ผ่านไปครู่หนึ่ง โคมไฟก็สว่างขึ้นหลังลานดูเหมือนจะมีใครบางคนถือโคมไฟออกมา ที่ด้านหลังเขาตามมาด้วยพนักงานสองคนที่เดินออกจากประตู ทั้งสี่คนเริ่มมองหน้ากันอย่างพินิจพิเคราะห์….