พวกเขากำลังทำลับๆล่อๆนี่ยังไม่ใช่เรื่องที่ดีงามแน่นอน….” สือต้าเฟิงพึมพำเบาๆ
“ชิ….” เสิ่นเติ้งผลักเขา ดวงตาของเขาเป็นประกายในขณะที่เขาจ้องไปที่รถม้าอย่างใกล้ชิด
เมื่อสิบนาทีที่แล้ว เล้งตอนที่ทั้งสามเดินตามรถม้าในตรอกเงียบๆ เอี้ยนลี่เฉียงสามารถสัมผัสได้ถึงใครบางคนที่เฝ้าดูทุกย่างก้าวของพวกเขาในความมืด
หลังจากเดินต่อไปอีกสองสามนาที เอี้ยนลี่เฉียงก็ตระหนักว่าทั้พวกเขาถูกผู้พเนจรบางคนติดตามความเคลื่อนไหว
พวกพเนจรไม่ได้สังเกตว่ามีอะไรผิดปกติกับรถม้า แต่พวกเขากลับสังเกตเห็นรอยเท้าของทั้งสามคน
ยิ่งกว่านั้นพวกเขายังสงสัยเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วย ซึ่งเป็นเหตุว่าทำไมผู้พเนจรสองคนนี้จึงติดตามพวกเขาอย่างเงียบๆเช่นกัน
“มีความผิดปกติกับหนังม้วนนั้น พวกเจ้าสังเกตดูว่ามันหนักเกินไป หากเป็นแผ่นหนังธรรมดาก็ไม่มีความจำเป็นจะต้องใช้คนแบบถึงสี่คน…” เอี้ยนลี่เฉียงเตือน
ทุกอย่างไม่ได้แตกต่างไปจากที่เขาประสบเมื่อครั้งก่อนมากนัก ในช่วงเวลาสั้นๆเครื่องหนังสองม้วนที่ชายชาตูบรรทุกด้วยรถม้าก็ถูกคนใช้สองคนพาไปที่ห้องด้านหลังลานบ้าน
ประตูลานด้านหลังถูกปิดอีกครั้ง และชายชาตูก็ขึ้นรถมาเตรียมจะจากไป
“เราควรทำอย่างไร?”
เนื่องจากนี่เป็นครั้งแรกที่สือต้าเฟิงและเสิ่นเติ้งต้องเผชิญกับสถานการณ์แบบนี้ สายตาของทั้งคู่ก็จ้องมองไปที่เอี้ยนลี่เฉียง
อย่างไรก็ตาม ความสงบของเอี้ยนลี่เฉียงในขณะนี้มันเป็นความลึกลับอย่างมากและทำให้หัวใจที่ประหม่าทั้งคู่สงบลงในทันที
“สือต้าเฟิงกับข้าจะจัดการคนชาตูคนนั้น เสิ่นเติ้งเจ้าคอยดูอยู่บนหลังคา ถ้ามีอะไรผิดพลาดให้เจ้ายิงลูกศรนกหวีดขึ้นสู่ท้องฟ้าเพื่อเรียกคนมาช่วยเรา” เอี้ยนลี่เฉียงอธิบายอย่างใจเย็น
แม้ว่าเอี้ยนลี่เฉียงจะไม่ได้เข้าไปในบ้านหลังเล็ก แต่เขาก็แอบประมาณเวลาที่คนรับใช้สองคนในร้านจะเปิดอุโมงค์และส่งเด็กหญิงสองคนไปให้เย่เซียวผ่านที่นั่น
ถ้าเขาต้องเคลื่อนไหว เขาไม่สามารถทำได้เร็วเกินไปหรือสายเกินไป เขารู้ว่าทันทีที่เขาเคลื่อนไหว ผู้พเนจรสองคนที่มองอยู่ข้างหลังเขาจะรีบเข้าไปในบ้านหลังเล็กอย่างแน่นอน…
“เอาล่ะ ระวังทั้งด้วย…” เสิ่นเติ้งพูดอย่างเคร่งขรึมและจับคันธนูในมือแน่น
เอี้ยนลี่เฉียงพยักหน้า เขาส่งสัญญาณให้สือต้าเฟิงด้วยตา จากนั้นทั้งคู่ก็ปีนลงมาจากหลังคาอย่างเงียบๆ คนหนึ่งยืนอยู่ทางขวา อีกคนยืนอยู่ทางซ้าย
สือต้าเฟิงได้หยิบมีดออกมาแล้วถือไว้ในมือ ดวงตาของเขาเป็นประกายในขณะที่เขาเลียริมฝีปาก เขาย่อตัวลงครึ่งหนึ่งเหมือนเสือดำและซ่อนตัวอยู่หลังกำแพงในขณะที่เขารวบรวมพลัง เตรียมตัวสำหรับการกลงมือในครั้งนี้
“อย่าฆ่าเขา ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้า” เอี้ยนลี่เฉียงทำปากขมุบขมิบไปที่สือต้าเฟิง
สือต้าเฟิงพยักหน้า
เสียงรถม้าค่อยๆเข้ามาใกล้ ชายชาตูกำลังขับรถม้าออกจากตรอกเล็กๆและเกือบจะสุดทางแล้ว
ม้าออกมาจากซอยก่อนโดยมีรถม้าอยู่ข้างหลัง ตามธรรมชาติ ม้าเห็นทั้งหยานลี่เฉียงและสือต้าเฟิงแล้ว แต่โชคไม่ดีเนื่องจากม้าพูดไม่ได้คนขับรถม้าจึงต้องรับความซวยไป
ทันทีที่ม้าออกมาจากตรอกอย่างสมบูรณ์ รถม้าก็ปรากฏขึ้น ชายชาตูยังคงนั่งอยู่หน้ารถม้า เขารู้สึกผ่อนคลายอย่างสมบูรณ์และไม่คาดหวังว่าเอี้ยนลี่เฉียงและสือต้าเฟิงจะรอเขาอยู่
เอี้ยนลี่เฉียงกระโดดออกมาราวกับเสือที่ดุร้ายในความมืด เขาเตะเข้าศีรษะของชายชาตูโดยที่ฝ่ายตรงข้ามไม่มีโอกาสได้ตอบสนองด้วยซ้ำ
ด้วยความแข็งแกร่งปัจจุบันเอี้ยนลี่เฉียงสามารถสังหารชายชาตูด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว อย่างไรก็ตามเอี้ยนลี่เฉียงไม่ได้ใช้พลังของตัวเองอย่างเต็มที่ ถึงกระนั้นเขาก็ยังสามารถเตะชายคนนั้นอย่างแรงจนกระเด็นตกรถม้า
สือต้าเฟิงกระโจนใส่เขาเหมือนเสือดาว ก่อนที่ชายชาตูจะทันได้ตอบโต้ คมมีดในมือของสือต้าเฟิงก็แทงทะลุหัวไหล่ของเขาแล้ว
ชายชาตูได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการโจมตีของเอี้ยนลี่เฉียงอยู่ก่อน อย่างไรก็ตามการโจมตีของสือต้าเฟิงกลับรุนแรงยิ่งกว่า ความเจ็บปวดอย่างรุนแรงทำให้ดวงตาของชายชาตูเบิกกว้างขณะที่เขาเกือบจะสะดุ้งตัวขึ้นจากพื้น
เอี้ยนลี่เฉียงปิดปากชายชาตูทันที ในเวลาเดียวกัน เขาใช้มืออีกข้างหนึ่งบิดมือซ้ายของชายชาตูให้หักทั้งสองข้าง
มีดในมือของสือต้าเฟิงไม่เคยหยุดนิ่ง เขาแทงมันลงที่แขนอีกข้างชายชาตู จากนั้นเขาก็แทงเข้าไปที่ขาทั้งสองข้างเพื่อไม่ให้ฝ่ายตรงข้ามสามารถดิ้นรนได้
ชายชาตูนั้นคล้ายกับกุ้งที่ถูกโยนลงบนจานเหล็กร้อน ร่างกายของเขาสั่นอย่างรุนแรง ทุกครั้งที่สือต้าเฟิงแทงเขา ดวงตาของเขาจะเบิกกว้างด้วยความเจ็บปวด
อย่างไรก็ตาม เขาไม่สามารถตะโกนหรือเคลื่อนไหวภายใต้กำลังดุร้ายของเอี้ยนลี่เฉียง
หลังจากนั้นเอี้ยนลี่เฉียงก็จับศีรษะของชายชาตูและทุบเข้ากับพื้นทำให้เขาสิ้นสติไป กระบวนการทั้งหมดกินเวลาไม่ถึงสามวินาที
เอี้ยนลี่เฉียงมองดูบาดแผลถูกแทงทั้งสี่ที่เกิดขึ้นบนร่างกายของชายชาตูในชั่วพริบตา จากนั้นก็หันไปมองสือต้าเฟิงที่ถือมีดสั้นในมือ เขาอดไม่ได้ที่จะแอบปาดเหงื่อเย็นเยียบที่อยู่บนหน้าผาก
เขาไม่คิดว่าสือต้าเฟิงที่ร่าเริงอยู่เสมอจะน่ากลัวและรุนแรงเช่นนี้ เขาเกือบทำให้มือและขาของชายชาตูเป็นง่อยด้วยการแทงทั้งสี่ครั้ง…
สือต้าเฟิงเกาศีรษะของตัวเอง ดูเขินเล็กน้อยเมื่อสังเกตเห็นวิธีที่เอี้ยนลี่เฉียงจ้องมองมาที่เขา
“ข้าหลีกเลี่ยงเส้นเลือดของสุนัขตัวนี้แล้วเจ้าจะเอาอะไรอีก?”
“เอ่อ…”
เอี้ยนลี่เฉียงสำลักคำถามของสือต้าเฟิง เขาไม่รู้ว่าจะพูดอะไร
“เจ้าทำได้ค่อนข้างดีทีเดียว
เสิ่นเติ้งกระโดดลงจากกำแพงลานบ้านพร้อมด้วยธนูของเขา
“เราควรทำอย่างไรดี เราควรไปดูภายในลานนั้นไหม…?”
นี่อาจเป็นครั้งแรกที่เสิ่นเติ้งต้องเผชิญกับสถานการณ์แบบนี้ เขารู้สึกประหม่าเล็กน้อยเมื่อมองไปที่ชายชาตูที่กำลังนอนอยู่บนพื้น
เอี้ยนลี่เฉียงมองเสิ่นเติ้งอย่างระมัดระวังและตระหนักว่าเขาได้สูญเสียความประพฤติตามปกติของนักเรียนต้นแบบที่สุภาพเรียบร้อยไปแล้ว เพราะตอนนี้ใบหน้าของเขาแดงก่ำเต็มไปด้วยความกระเหี้ยนกระหือ
คำตอบของเอี้ยนลี่เฉียงไม่จำเป็นจริงๆ ในช่วงเวลาที่เสิ่นเติ้งพูด เสียงของลมมาจากหลังคาใกล้ๆก็ดังขึ้น
ผู้พเนจรสองคนกางเสื้อคลุมที่พวกเขาสวมอยู่ เช่นเดียวกับนกขนาดใหญ่สองตัว พวกเขาเหยียบข้ามกระเบื้องหลังคาและบินไปที่สวนหลังบ้านของร้านขายเสื้อผ้า
ในเวลาเพียงชั่วพริบตา เสียงประตูที่พังก็ดังออกมา
“ผู้พเนจร…!”
สือต้าเฟิงและเสิ่นเติ้งต่างก็ตกใจ ทั้งคู่เพิ่งรู้ว่ามีผู้พเนจรซ่อนตัวอยู่แถวนี้เมื่อทั้งคู่เคลื่อนไหว
“เร็วเข้า! ย้ายชายชาตูคนนี้ไปที่รถม้า รีบทำตามคำสั่งของข้า!” ขณะที่เอี้ยนลี่เฉียงกำลังสั่งสอนพวกเขา เขาได้จับชายชาตูที่หมดสติโยนเลงบนรถม้า
จากนั้นเขาก็ขับรถม้าและรีบวิ่งออกจากตรอกเล็กๆไปยังถนนใหญ่ด้านนอก เขาจอดรถม้าไว้ที่ทางเข้าร้านขายเสื้อผ้า ถอดหมวกขนสัตว์สุนัขออกจากศีรษะของชายชาตูเพื่อให้ใบหน้าทั้งหมดของเขาเผยออกมา ก่อนจะโยนไปที่ประตูร้านขายเสื้อผ้า
“เร็วเข้า ยิงลูกศร!”
ทันทีที่เอี้ยนลี่เฉียงกระตุ้น ทันใดนั้นเสิ่นเติ้งก็นึกขึ้นได้ว่าเหตุใดเอี้ยนลี่เฉียงจึงพาพวกเขามาที่ถนนสายหลัก และเผยให้เห็นใบหน้าของชายชาตู
เขารีบดึงลูกศรที่ติดกับนกหวีดยิงขึ้นไปบนท้องฟ้า
มีนกหวีดไม้ไผ่ติดอยู่กับลูกศรส่งเสียงหวีดหวิวดังกึกก้อง ดังนั้นเมื่อลูกศรถูกยิงออกไปทุกคนที่อยู่แถวๆนี้จึงได้ยินเสียงทั้งหมด
หลังจากยิงลูกศรแรกออกไป เสิ่นเติ้งก็เอาลูกศรที่ 2 ซึ่งชุบน้ำมันไว้ออกมาให้เอี้ยนลี่เฉียงจุดไฟ จากนั้นเขาก็ยิงขึ้นไปบนท้องฟ้าอีกครั้ง
เมื่อเทียบกับเสียงผิวปาก ร่องรอยของไฟนี้สามารถมองเห็นได้จากระยะห่างสิบลี้ ไม่เพียงเท่านั้นมันยังระบุตำแหน่งปัจจุบันของพวกเขาอย่างแม่นยำอีกด้วย
แต่นั่นไม่ใช่จุดสิ้นสุดของมัน เมื่อเสิ่นเติ้งปล่อยลูกศรเพลิงอันที่สอง ก็มีเสียงหวีดแหลมดังมาจากสวนหลังบ้านของร้านขายเสื้อผ้า
จู่ๆก็มีบางสิ่งพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า ก่อนที่มันจะระเบิดเป็นเปลวเพลิงอันเจิดจ้าซึ่งอยู่สูงกว่าลานเล็กๆหนึ่งร้อยวา ท่ามกลางเปลวเพลิงมีรูปกระบี่ยาวสีแดงซึ่งอยู่บนท้องฟ้าเป็นเวลาประมาณยี่สิบลมหายใจก่อนที่มันจะค่อยๆจางหายไป…
นี่คือสัญญาณจากผู้พเนจรที่เข้ามาในลานเล็กๆ…
ในขณะนี้เมืองผิงซีเป็นเหมือนหม้อต้มน้ำมัน แม้ว่ามันจะดูสงบบนพื้นผิว แต่นั่นมันเป็นความสงบที่รอการปะทุขึ้นอย่างรุนแรงเท่านั้น
สามสัญญาณที่ปล่อยออกมาจากที่เดียวกันในเวลาเดียวกันในคืนเช่นนี้ เปรียบเสมือนการสาดน้ำใส่หม้อที่มีน้ำมันเดือดทำให้ผู้คนทั้งเมืองเกิดความแตกตื่นขึ้นทันที
โคมนับไม่ถ้วนถูกจุดขึ้น ประตูทางเข้าบ้านทุกหลังถูกเปิดขึ้นแทบจะพร้อมกัน ทหารยามติดอาวุธจำนวนมากจากคฤหาสน์ผู้มั่งคั่งเหล่านี้รีบวิ่งออกมาตามสัญญาณไฟ
ในเวลาไม่ถึงนาที เอี้ยนลี่เฉียงได้ยินเสียงสั่นสะเทือนจากพื้นดิน กองกำลังทหารติดอาวุธสองร้อยนายที่ลาดตระเวนอยู่ใกล้ๆ ภายใต้การนำของผู้บัญชาการหน้าดำที่ถือธนูไว้ก็มาถึงที่นี่อย่างรวดเร็ว
เมื่อเอี้ยนลี่เฉียงเห็นผู้บัญชาการหน้าดำ เขาไม่แน่ใจว่านี่คือพรหมลิขิตหรือเปล่า
ผู้บัญชาการคือผู้บัญชาการซู เขาเป็นคนที่จับกุมชาวชาตูเมื่อเกิดความขัดแย้งที่ประตูเมืองในชีวิตก่อนหน้านี้ของเขา