บทที่ 230 สถานการณ์ทางด้านห้าตระกูลใหญ่

ระบบแหวนสุดโกงสร้างตำนานในสองโลก

บทที่ 230 สถานการณ์ทางด้านห้าตระกูลใหญ่

บทที่ 230 สถานการณ์ทางด้านห้าตระกูลใหญ่

“รู้จักเขาเหรอคะ?” ระหว่างเดิน หลิ่วเหยียนเอ๋อร์กลับเป็นฝ่ายเอ่ยคำขึ้น

“ใครครับ? หลิวอวี่กวง?” อู๋ฝานเอ่ยถาม “ไม่ได้รู้จักอะไรครับ เพียงแค่เคยเจอกันครั้งหนึ่ง”

หลิ่วเหยียนเอ๋อร์พยักหน้าตอบรับ ถัดจากนั้นจึงเอ่ยคำ “แม้ว่าเขาจะเป็นคนของตระกูลหลิว แต่ในตระกูลหลิวก็ไม่ได้มีบทบาทอำนาจอะไรค่ะ”

ทุกตระกูล โดยเฉพาะกับตัวตนอย่างห้าตระกูลใหญ่ ต่างก็มีการแข่งขันกันภายในตระกูล แม้ว่าการแข่งขันเหล่านั้นจะทำให้พวกเขาต้องสูญเสียไปบ้าง แต่การสูญเสียก็เพื่อคัดเลือกและแสวงหาความก้าวหน้ามาสู่ตระกูล แน่นอนว่าหากการแข่งขันเกินควบคุม ตอนนั้นเองก็อาจจะนำพาปัญหาใหญ่มาสู่ตระกูลได้เช่นกัน

จากการแข่งขันดังกล่าว บางคนอาจได้รับอำนาจ บางคนสูญเสียอำนาจ แม้พวกเขาจะเป็นคนตระกูลเดียวกัน แต่ก็มีสถานะและความแตกต่างระหว่างกัน มันมีอำนาจภายในเป็นเส้นแบ่ง และผู้สูญเสียอำนาจย่อมมีมากกว่าผู้ไขว่คว้าอำนาจ

“เหมือนคุณจะรู้เรื่องห้าตระกูลใหญ่ดีพอสมควรเลยนะครับ” อู๋ฝานตอบรับ

“ฉันเข้าใจแค่ระดับหนึ่งค่ะ” หลิ่วเหยียนเอ๋อร์ตอบกลับ “ห้าตระกูลใหญ่ในเจียงโจวค่อนข้างมีอำนาจ มีอุตสาหกรรมมากมายที่เกี่ยวข้อง พวกเขาต้องการได้เป็นอันดับหนึ่งในเจียงโจว ในบรรดาพวกเขาเหล่านั้น ตระกูลเจ้าถือว่าแข็งแกร่งที่สุด ขณะที่ตระกูลถังถือได้ว่าอ่อนแอที่สุด และทั้งสองฝ่ายต่างก็ประชันกันอยู่ ในระหว่างการแข่งขันความสัมพันธ์เองก็สำคัญเช่นกัน ทรัพยากรมีอย่างจำกัด ดังนั้นทุกคนจึงหวังว่าจะสามารถไขว่คว้าหาทรัพยากรมาให้มากขึ้นได้ เจ้าอี้หลงที่เป็นผู้นำตระกูลเจ้า ปีนี้อายุสี่สิบห้าปี ความสามารถทัดเทียมกับผู้ฝึกตน เป็นขอบเขตมืดขั้นสูงคนหนึ่ง”

ขณะหลิ่วเหยียนเอ๋อร์เดินไปนั้น เธอก็บอกเล่าสถานการณ์ของห้าตระกูลใหญ่ในเจียงโจวให้อู๋ฝานได้ทราบ เห็นได้ชัดว่าเธอมีความเข้าใจต่อห้าตระกูลใหญ่แห่งเจียงโจวพอสมควร ไม่ใช่แค่เล็กน้อยดังเช่นที่พูดเมื่อครู่อย่างแน่นอน อย่างน้อยก็ทราบเชิงรายละเอียดมากกว่าชายหนุ่ม

“เป็นอะไรคะ?” หลิ่วเหยียนเอ๋อร์เห็นอู๋ฝานจ้องมองมา จึงเอ่ยถามด้วยความสงสัย

“หาได้ยากที่คุณจะพูดยาวขนาดนี้นะครับ” อู๋ฝานตอบรับ

หลิ่วเหยียนเอ๋อร์หน้าแดงเล็กน้อย จากนั้นจึงเหม่อมองตอบอู๋ฝาน เป็นสีหน้าที่หลิ่วเหยียนเอ๋อร์ไม่เคยแสดงให้เห็นมาก่อน หญิงสาวมักจะเย็นชาและสงบนิ่ง ทำให้เธอดูเป็นคนสงวนท่าที ไม่เพียงแต่จะทำให้คนอื่นรู้สึกว่ายากขัดขืน แต่ยังมีเสน่ห์ดึงดูดอย่างน่าประหลาดใจ

หลิ่วเหยียนเอ๋อร์ราวกับเพิ่งได้ตระหนักว่าตนเองลืมสงวนท่าที ใบหน้าจึงเริ่มแดงขึ้นเล็กน้อย เพียงแต่เธอก็ควบคุมอารมณ์เก็บสีหน้าได้เป็นอย่างดี ไม่ช้าจึงแค่นเสียง “ไม่อยากฟังก็ไม่ต้องฟังแล้วค่ะ”

สีหน้าท่าทีของเธอไม่ได้แสดงออกว่าโกรธเคือง แต่กำลังเขินอาย

“ฟังครับ ฟังแน่นอน” อู๋ฝานตอบรับ “คุณทราบเรื่องห้าตระกูลใหญ่ในเจียงโจวดี ความเป็นมาของคุณเองก็คงไม่ธรรมดา”

อู๋ฝานเคยได้ยินว่าเบื้องหลังของหลิ่วเหยียนเอ๋อร์นั้นเลิศล้ำ แต่ตัวชายหนุ่มเองแทบไม่ทราบรายละเอียด ครั้งแรกที่เขาใช้งานวิชาตรวจสอบกับหลิ่วเหยียนเอ๋อร์ ครั้งนั้นตนไม่ได้รับข้อมูลที่เป็นประโยชน์อะไร ทำให้บอกได้ก็เพียงว่าหลิ่วเหยียนเอ๋อร์เองก็แข็งแกร่งพอสมควร

“ฉัน? ฉันมาจากตระกูลหลิ่วแห่งเมืองหลวงค่ะ” หลิ่วเหยียนเอ๋อร์หยุดไปครู่หนึ่งขณะตอบกลับ “ส่วนเรื่องที่ว่าตระกูลหลิ่วเป็นตัวตนแบบไหน ในอนาคตคุณอาจจะมีโอกาสได้ทราบเองค่ะ”

ในอนาคต?

อู๋ฝานชะงักงันไปครู่หนึ่ง ทำไมเขาถึงรู้ตอนนี้ไม่ได้ แต่ว่าเป็นในอนาคต? ทำไมถึงต้องเป็นในอนาคต?

อันที่จริงอู๋ฝานพอจะทราบเรื่องราวของตระกูลหลิ่วจากหวังจื่อหมิงมาบ้างแล้ว เพียงแต่เรื่องราวที่ตระกูลใหญ่สืบทอดดำรงอยู่มานับพันปีนั้น ไม่ใช่อะไรเรียบง่ายที่คนนอกจะสามารถเข้าใจได้ง่าย ๆ แต่ถ้าหลิ่วเหยียนเอ๋อร์ที่เป็นคนของตระกูลหลิ่วเอ่ยปากบอกออกมาเอง เนื้อหามันย่อมแตกต่างจากที่ผู้อื่นเข้าใจ

เพียงแต่เห็นได้ชัดว่าหลิ่วเหยียนเอ๋อร์ไม่คิดพูดมากไปกว่านี้ อย่างน้อยก็ในตอนนี้ เป็นเหตุให้แม้อู๋ฝานเกิดความสงสัย ทว่าก็ไม่อาจถามอะไรได้มากไปกว่านี้

“อู๋ฝาน?”

ขณะเวลานี้เอง ที่เสียงอันคุ้นเคยดังขึ้น และในน้ำเสียงนี้ยังปรากฏซึ่งความประหลาดใจ

มาช็อปปิง ต้องพบเจอคนรู้จักอีกแล้วงั้นเหรอ?

อู๋ฝานหันกลับไปมอง ก่อนจะเห็นว่าอีกฝ่ายที่เรียกตนเอง แท้จริงแล้วเป็นเจ้าเซียวถิง กลายเป็นว่าขณะที่อู๋ฝานและหลิ่วเหยียนเอ๋อร์กำลังเดินพูดคุยกันอยู่ ก็บังเอิญเดินเข้ามาในร้านนาฬิกาที่เจ้าเซียวถิงทำงานโดยไม่รู้ตัวซะแล้ว

หลิ่วเหยียนเอ๋อร์มองอู๋ฝานด้วยความสงสัยเล็กน้อย

“เพื่อนที่เคยเรียนมหาวิทยาลัยเดียวกันน่ะครับ” อู๋ฝานอธิบาย

หลิ่วเหยียนเอ๋อร์พยักหน้าตอบรับ

ตอนนี้เองที่เจ้าเซียวถิงเดินเข้าหาคนทั้งสอง และไม่น่าประหลาดใจที่เธอจะแสดงอาการตกใจเพราะหลิ่วเหยียนเอ๋อร์ มันเป็นอาการตกใจยิ่งกว่าตอนที่เห็นอู๋ฝานซะด้วยซ้ำ

ก่อนหน้านี้ตอนที่อู๋ฝานมาช็อปปิงกับคนอื่น ก็เพิ่งซื้อนาฬิกามูลค่าล้านกว่าหยวนไปจากที่นี่ ผู้หญิงคนก่อนหน้าทั้งสวยสดและงดงาม ทว่าตอนนี้เพียงเวลาสั้น ๆ อีกฝ่ายถึงกับพาโฉมงามคนละคนกับก่อนหน้าแวะมาช็อปปิง ชายหนุ่มเคยเป็นคนธรรมดาไร้คนรู้จักในมหาวิทยาลัย ทำไมตอนนี้ถึงกลายเป็นคนที่โดดเด่นในวงสังคมไปเสียได้?

เจ้าเซียวถิงรู้สึกว่าอู๋ฝานก้าวหน้าด้วยดีเกินคาด ไม่อย่างงั้นแล้วมีหรือจะเปลี่ยนผู้หญิงบ่อยขนาดนี้ได้?

“อู๋ฝาน หลายวันก่อนฉันโทรหานาย ทำไมไม่รับสายกันล่ะ?” เจ้าเซียวถิงเอ่ยถาม

“ค่อนข้างยุ่งน่ะ” อู๋ฝานตอบรับเรียบเฉย

ช่วงเวลาที่ผ่านมาอู๋ฝานค่อนข้างยุ่งจริง ไม่ว่าจะยุ่งกับการเปิดร้านอาหารในโลกความเป็นจริง หรือว่าเรื่องราวในโลกแห่งเกม เขาก็มีเรื่องที่ต้องทำหลายอย่าง

แน่นอนว่าไม่ว่าจะยุ่งขนาดไหน อย่างไรก็ควรต้องมีเวลาตอบรับโทรศัพท์บ้าง ส่วนเหตุผลที่ว่าทำไมอู๋ฝานถึงไม่รับโทรศัพท์ ก็เพราะว่าเขาไม่คิดอยากจะติดต่อะไรกับเจ้าเซียวถิง ความสัมพันธ์ระหว่างคนทั้งสองแต่เดิมก็ไม่ได้ดีอะไรนัก ตั้งแต่เรียนจบมาจนถึงปัจจุบันก็ไม่เคยติดต่ออะไรกันมาก่อน ดังนั้นจึงเรียกได้ว่าไม่มีเหตุผลอะไรที่คนทั้งสองจะต้องติดต่อหากัน

เจ้าเซียวถิงเข้าใจประเด็นดังกล่าวดี เธอเองก็ทราบว่าอู๋ฝานยังคงจดจำเรื่องราวที่เธอทำสมัยเรียนมหาวิทยาลัยได้ดี ดังนั้นจึงไม่คิดกล่าวโทษ ถ้าเธอคิดกล่าวโทษ ก็คงต้องโทษพฤติกรรมของตัวเองในอดีตที่ทำจนเกินควรไปมาก

เพียงแต่ตอนนี้ เจ้าเซียวถิงต้องการเป็นฝ่ายติดต่อหาอู๋ฝาน แท้จริงแล้วก็เพราะว่าต้องการสร้างสัมพันธ์ต่อกันขึ้นมาใหม่ เธอไม่ได้ต้องการจะทำอะไรชายหนุ่ม เพียงแค่อยากเกาะแข้งขาเอาไว้ก็เท่านั้นเอง

แน่นอนว่าถ้าอู๋ฝานจะคิดอะไรอื่น เธอก็ไม่ขัดเช่นเดียวกัน

“อู๋ฝาน เสวี่ยอี๋มาจากเซี่ยงไฮ้เมื่อหลายวันก่อน เลยได้พูดกันว่าพวกเราที่เคยเรียนด้วยกันน่าจะจัดงานมีตติงในเจียงโจวขึ้นมา ตั้งแต่พวกเราเรียนจบก็ผ่านมาเกือบหนึ่งปีแล้ว หลังจากนั้นก็ไม่เคยมีโอกาสได้รวมตัวกันอีกเลย” เจ้าเซียวถิงมุ่งตรงเข้าประเด็น

ชื่อของเจ้าเสวี่ยอี๋เป็นเหตุให้อู๋ฝานชะงักไปเล็กน้อย ภาพของหญิงสาวผู้มีเส้นผมยาว ท่าทีบริสุทธิ์ผุดผ่องปรากฏขึ้นในใจ เจ้าเสวี่ยอี๋เคยเป็นดอกไม้งาม รูปลักษณ์และเรือนร่างของเธองดงามอย่างที่ธรรมชาติสรรค์สร้างมาให้ ทั้งยังมีนิสัยอ่อนโยน ทำให้เธอเป็นที่หมายปองของผู้คนมากมายได้ง่าย ๆ

อู๋ฝานย่อมยอมรับว่าตอนที่ยังเรียนมหาวิทยาลัย เขาเองก็เคยหลงใหลในตัวตนของเจ้าเสวี่ยอี๋ ตอนนั้นมีผู้คนมากมายที่พยายามไล่ตามจีบเธอ เพียงแต่พวกเขาเหล่านั้นไม่ได้ชอบเจ้าเสวี่ยอี๋จริง อีกทั้งเรื่องราวก็ผ่านไปแล้ว แม้กล่าวว่าตัวเขาในอดีตเป็นเช่นนั้น แต่ตอนนี้ก็ไม่ได้มีความรู้สึกใดเป็นพิเศษอีกต่อไป เพียงแต่ยามนึกถึงเรื่องราวที่ผ่านไปนั้น ส่วนใหญ่แล้วเรื่องของเพื่อนร่วมชั้นเรียนจะผุดขึ้นมาเสียมากกว่า

“ฉันคงไม่ได้ไป ช่วงนี้ค่อนข้างยุ่งพอสมควรน่ะ” อู๋ฝานตอบกลับ

มันไม่ใช่ข้อแก้ตัว เพราะร้านอาหารตอนนี้ก็ยังไม่ได้เข้าร่องเข้ารอยเต็มที่ ตัวเขายังต้องสอนการทำอาหารให้หลิวอี้เตาทุกวัน นอกจากนี้แล้ว เขายังต้องฝึกซ้อมการยิงธนู ยังมีโรงไม้และโรงงานเฟอร์นิเจอร์ของเจ้าหย้าหนาน ทั้งหมดนี้ไม่มีเรื่องใดที่อู๋ฝานจะสามารถเว้นช่วงไปได้ ดังนั้นเขาจึงมีเรื่องราวต้องทำมากมายจริง ทำให้ไม่สามารถสนใจงานมีตติงดังกล่าวได้ เพราะตัวเขาในกลุ่มเพื่อนก็ถือว่ามีสัมพันธ์ธรรมดาต่อกัน