บทที่ 172 ชีวิตของหม่านเซียง
บทที่ 172 ชีวิตของหม่านเซียง
สะใภ้ทั้งสองห่างจากที่บ้านไปนาน พวกเธอคิดถึงกับข้าวที่บ้านจะแย่แล้ว
“คืนนี้กินบะหมี่กันเถอะ สะใภ้สามทำบะหมี่ได้ไหม?”
“ได้ค่ะแม่ เดี๋ยวฉันล้างมือก่อนแล้วค่อยไปนวดแป้ง” เหลียงซิ่วรีบตอบตกลง
“เดี๋ยวฉันทำผักค่ะ ปีนี้ผักกาดบ้านเราเยอะมาก ทำผัดผักกาดดีไหมคะ?”
คุณย่าซูพยักหน้า
แม่สามีกับสะใภ้ทั้งสามหมุนตัวไปทำอาหารในครัว
“ตอนที่พัก ได้ไปเจอซิ่วเอ๋อร์บ้างหรือเปล่า?” คุณย่าซูถามลูกสะใภ้ไปด้วย พลางจุดไฟไปด้วย
จิตใจแม่เฒ่าคนนี้เฝ้าคำนึงถึงลูกสาว
“ได้เจอค่ะ น้องใหญ่บอกก่อนปีใหม่จะมาเยี่ยม ตอนนี้งานของน้องเขยยุ่งมาก น้องใหญ่ก็ยิ่งเลยมาไม่ได้” เหลียงซิ่วตอบขณะนวดแป้งด้วย
“แม่ไม่ต้องห่วงนะ น้องใหญ่กับเจ้าตัวน้อยสบายดี น้องเขยดูแลอย่างดีเลย” ฉีเหลียงอิงกำลังหันผักพลางหันไปตอบแม่สามี
เธอรู้ว่าแม่สามีกังวลเรื่องอะไร
พูดตามตรง ตอนแรกที่สองคนนี้แต่งงาน แม่กังวลมากเพราะอย่างไรเสียผู้หญิงที่เคยหย่ามาก่อนแล้วจะหาสามีสักคนจะต้องถูกเลือกปฏิบัติแน่ แล้วจะนับประสาอะไรกับผู้นำอำเภอ
แต่ไม่คิดเลยว่าน้องใหญ่จะโชคดี และใช้ชีวิตอย่างสงบสุขกับเฉินจื่ออัน ทั้งสองสนิทสนมและใกล้ชิดกันมาก
“ใช่ค่ะ ถึงน้องใหญ่จะอายุเยอะ แต่เหมือนสาวอายุยี่สิบแปดยี่สิบเก้าเลยค่ะ!” เหลียงซิ่วถอนหายใจ “ผู้หญิงก็แบบนี้ แต่งงานกับผู้ชายที่เหมาะสมถือเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด”
คุณย่าซูมีความสุขเมื่อได้ยินว่าลูกสาวคนโตสบายดี “วันแย่ ๆ ของซิ่วเอ๋อร์กำลังจะผ่านพ้นไปแล้ว!”
แต่ครู่เดียว สีหน้าของคุณย่าซูก็กลับมาดูไม่ดีอีกครั้ง เธอคงคิดถึงลูกสาวคนเล็กของเธอ
ตั้งแต่ตัดขาดความสัมพันธ์กัน ได้ยินว่าสถานการณ์ชีวิตที่บ้านคังย่ำแย่ลงเรื่อย ๆ
ช่วงนี้ได้ยินคนบอกว่า ลูกสาวคนเล็กถูกสามีทุบตีจนหน้าฟกช้ำดำเขียว น่าเวทนายิ่งนัก
เธออดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ
“แม่ น้องใหญ่สบายดีแล้ว ทำไมยังถอนหายใจอยู่อีกล่ะ?” ฉีเหลียงอิ่งถาม
“เธอว่าทำไมโชคชะตาของฉันมันถึงแย่แบบนี้ล่ะ? ก่อนหน้านี้ชีวิตซิ่วเอ๋อร์ไม่ดีเลย ฉันเองก็ทุกข์ทรมาณ กว่าจะดีได้ก็ไม่ง่าย แล้วนี่หม่านเซียงก็มีชีวิตน่าทนทุกข์อีก”
คงจะดีไม่น้อยหากลูกสาวทั้งสองสามารถมีชีวิตที่ดีได้ เช่นนั้นเธอคงจะคลายความกังวลลงไปได้ไม่น้อย
พอได้ยินแม่สามีบอกน้องเล็กชีวิตแย่ สะใภ้ทั้งสองก็หยุดพูด
ชีวิตของซูหม่านเซียงไม่ดี แล้วต้องโทษใคร?
ไม่ใช่ว่าต้องโทษตัวเธอเองหรือ?
ถ้าตอนแรกรู้จักรักษาให้มันดี ๆ แล้วทุกวันนี้จะตกมาอยู่ในจุดนี้ไหม?
ครอบครัวผู้เฒ่าคังก็ไม่ได้นับว่าดีอะไร และหม่านเซียงก็เหมือนถูกวิญญาณชั่วร้ายเข้าสิง
แต่ตอนนี้พูดไม่ได้หรอก พูดไปแล้วไปสะกิดใจแม่สามีจะทำอย่างไรล่ะ?
เหลียงซิ่วคิดอยู่ครู่หนึ่ง “แม่ ให้พ่อเถียนเอ๋อร์ไปสอบถามที่ตำบลแล้วกันค่ะ ไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น”
ถึงอย่างไรหล่อนก็เป็นลูกสาวแท้ ๆ ของบ้านหลักตระกูลซู เธอทนมองลูกโดนรังแกไม่ได้หรอก
คุณย่าซูไม่คาดคิดว่าสะใภ้สามจะพูดเช่นนี้
ตอนแรกหม่านเซียงปล่อยปละละเลยคังเหม่ยฮวาจนเกือบพรากชีวิตเสี่ยวเถียนที่แม่น้ำ
คุณย่าซูมองเหลียงซิ่วด้วยความประหลาดใจ หากจะบอกไม่แปลกใจคงเป็นเรื่องโกหก
แต่คุณย่าซูเป็นคนมีเหตุผล แต่เธอรีบส่ายหน้าทันที “ช่างเถิด จะเป็นอย่างไรก็หาทางเองเถอะ ฉันเป็นแม่ก็จริง แต่จะให้ดูแลเธอไปทั้งชีวิตเลยหรือ?”
ตอนแรกเขาดูแลลูกสาวมากเกินไป จนทำให้บ้านคังคิดว่าของกินบ้านเรา บ้านเขาก็ควรได้ด้วย
ข้าวหนึ่งเซิงเป็นบุญคุณ ข้าวหนึ่งโต่วคือความแค้น*[1] ให้มากไปก็ทำพวกเขาคิดว่าตนสมควรได้ด้วย
ตอนนี้พอปฏิเสธที่จะคอยหนุนอย่างแน่นอนแล้ว พวกเขาก็แสดงธาตุแท้ออกมา
อันที่จริง ชีวิตบ้านคังก็ไม่ได้ดีไปกว่าพวกเราที่เป็นชาวนานัก
เพราะอาศัยอยู่ในตำบล เลยคิดว่าตัวเองเป็นคนเมือง เลยดูถูกคนชนบทอย่างบ้านซู
เดิมทีซูหม่านเซียงก็โดนบ้านนั้นดูถูกเหมือนกัน
ถึงฝั่งบ้านพ่อแม่ของสะใภ้บ้านคังจะย่ำแย่กว่า ทุกคนอาศัยอยู่ในห้องเดียวกัน ขยับก้นยังไม่ได้ ช่วงครึ่งเดือนหลังข้าวกินก็ไม่อิ่ม ทว่าก็ยังดีกว่าหม่านเซียงตอนอยู่บ้านสามีอีก
หากปราศจากความช่วยเหลือจากครอบครัวคุณย่าซู พวกขาจุ่มโคลนอย่างหม่านเซียงก็จะถูกผู้ที่อยู่ในจุดสูงสุดดูถูกดูแคลนเป็นธรรมดา
คาดเดาได้เลยว่า ชีวิตลูกสาวคนเล็กก็คงลำบากอยู่ในตอนนี้
คุณย่าซูรักลูกสาวมาก แต่ก็รู้ว่าไม่สามารถช่วยเหลือครอบครัวคังไปได้ตลอดชีวิต
คงจะดีถ้าธัญพืชที่เอาไปให้ตกถึงปากลูกสาวกับพวกหลานชายบ้าง
แต่เพราะรู้ดีว่าพวกบ้านคังมันไม่ใช่คนดี และของพวกนั้นส่วนใหญ่ก็คงตกไปอยู่ในปากคนอื่น
ปล่อยให้ตัวเองประหยัดอาหารเพื่อมาเลี้ยงครอบครัวหมาป่าตาขาว เธอรู้สึกว่าตัวเองโง่จริง ๆ ที่คิดถึงเรื่องนี้
เหลียงซิ่วรู้ว่าแม่สามีรู้สึกไม่สบายใจ จึงรีบเปลี่ยนหัวข้อไปคุยเรื่องอื่นแทน
เธอเล่าเรื่องที่น่าสนใจระหว่างทำงานที่โรงงาน
แน่นอนว่าอารมณ์ของคุณย่าซูก็พลุ่งพล่านทันที เรื่องของโรงงานลึกลับมาก จะไม่อยากฟังได้อย่างไร?
หลังจากฟังไปสักพัก ยายซูก็นึกบางอย่างขึ้นได้ก่อนจะถาม
“พวกเธออยู่ที่อำเภอ ไม่โดนรังแกใช่ไหม?”
คนในตำบลยังคิดว่าตัวเองเหนือกว่าคนอื่น นับประสาอะไรกับคนในเมือง กลัวก็แต่จะโดนดูถูกยิ่งกว่า
สะใภ้ทั้งสองเป็นคนซื่อสัตย์ ถ้าพวกเธอถูกรังแกล่ะ จะทำอย่างไร?
“แม่ พวกเรามาจากหงซินเลยมีสถานะที่โรงงานขนมไข่ค่ะ ทุกคนรู้ว่าโรงงานขนมไข่ต้องผลิตกันต่อ เลยต้องพึ่งพาไข่ไก่จากหงซินของเรา” ฉีเหลียงอิงกล่าวด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า
มีคนมากมายในโรงงาน จะมีคนดูถูกก็เป็นเรื่องปกติ
แต่คนส่วนใหญ่ไม่ได้มีเจตนาร้ายใด ๆ โดยเฉพาะระดับผู้บริหารของโรงงาน ทั้งยังปฏิบัติต่อพวกเธอที่มาจากหงซินดีมากด้วย
หลังจากได้ยินสิ่งนี้ คุณย่าซูรู้สึกโล่งใจขึ้นมาก
โรงงานขนมไข่ให้ความสำคัญกับไข่มาก ดูได้จากการจ้างคนงานจากหงซินห้าคนในคราวเดียว
“สงบเสงี่ยมให้มาก ๆ ถ้าโดนคนอื่นเขม่นจะแย่เอา!” คุณย่าซูเตือน
“พวกเราเข้าใจน้ำหนักของเรื่องนี้ดีค่ะ คนแบบพวกเราได้ไปเป็นคนงานที่อำเภอ เป็นถือเป็นโชคมาหลายชั่วอายุคนแล้ว” เหลียงซิ่วตอบ
“แม่ ตอนนี้อากาศเย็นแล้ว ไข่ที่ฟาร์มเราผลิตจะน้อยลงด้วยไหม?” ฉีเหลียงอิงถาม
“เสี่ยวเถียนกับผู้เฒ่าตู้ถกกันมาหลายวันแล้ว อุณหภูมิที่เลี้ยงไก่ต้องไม่ต่ำ แล้วก็ต้องไม่จัดทำช้าเกินไป” เวลาคุณย่าซูพูดถึงเสี่ยวเถียนกับคนที่บ้าน เธอไม่คิดจะปิดผลงานหลานสาวอยู่แล้ว
“เสี่ยวเถียนของเรามีความสามารถ พวกสามียังบอกว่าทำไมถึงโชคดีขนาดนี้นะ” ฉีเหลียงอิงพูดด้วยความซาบซึ้ง “ตอนคลอดเสี่ยวชีก็คิดอยากได้ลูกสาว ใครจะรู้เล่าว่าดันเป็นลูกชาย พอหลังจากนั้นตอนคลอดเสียวจิ่วก็คิดอีกว่าอยากได้ลูกสาว แล้วก็ได้ลูกชาย!”
เหลียงซิ่วอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ “พี่สะใภ้รอง ถ้าคนในหงซินได้ยินเข้า พวกเขาคงถ่มน้ำลายใส่พี่แน่”
ก็จริงนี่ หลาย ๆ บ้านทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้ลูกชาย แต่สุดท้ายก็ได้ลูกสาวมาหลายคน
ตอนที่พูดว่าฉีเหลียงอิงคลอดลูกชายสี่คนรวด จะไม่ให้คนเขาโกรธได้อย่างไร?
“บางทีโลกนี้อาจให้เป็นแบบนี้ก็ได้ ไม่มีทางสมหวังทั้งหมดอยู่แล้ว” คุณย่าซูพูดด้วยรอยยิ้ม “แล้วรอบนี้จะมาอยู่กี่วันล่ะ?”
“พักแค่สองวันเองค่ะ วันมะรืนก็กลับแล้ว”
“ใกล้ถึงปีใหม่แล้วด้วยค่ะ โรงงานยุ่งมากเลย ถ้าเป็นปกติจะได้พักอีกสองวัน”
“งั้นกลับมาแล้วก็กลับไปบ้านพ่อแม่หน่อยเถอะ” คุณย่าซูพูด “พรุ่งนี้จะเตรียมของขวัญให้แต่เช้า เอากลับไปด้วยสิ”
สะใภ้ทั้งสองมองหน้ากัน นี่มันเรื่องอะไรกัน?
“แม่ ไม่ใช่ช่วงเทศกาลสักหน่อย ทำไมให้กลับไปบ้านฝั่งนั้นล่ะคะ?”
“ตอนนี้เธอสองคนเป็นคนงานในเมือง ต้องกลับไปเยี่ยมหน่อย ไม่อย่างนั้นคนในตระกูลจะพูดได้ว่าพวกเธอดูถูกคนอื่นอยู่!”
คุณย่าซูคิดเรื่องนี้อยู่นาน แต่เธอก็ไม่ได้พูดอะไร เพราะทั้งสองยังไม่กลับมา
พอกลับมาแล้วก็หยิบยกขึ้นมาพูด
“แม่คะ…” พวกเธอเรียกพร้อมกัน
“เรื่องนี้ต้องฟังฉันนะ!”
วาจาของคุณย่าซูหนักแน่นมมาก
“แม่ ฉันแค่จะถามว่าถ้ากลับไปแล้ว พี่สะใภ้ใหญ่จะว่าอย่างไรล่ะ?”
เพราะกินข้าวหม้อเดียวกัน หลายปีมานี้คุณย่าซูเตรียมของให้สะใภ้กลับเอาไปฝากครอบครัวเหมือนกันหมด
เหลียงซิ่วถามเพราะกลัวว่าจะมีปัญหากับเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้
“ไม่เป็นไร ฉันไม่ได้ลำเอียงต่อใคร สะใภ้ใหญ่แค่ไม่ได้กลับไปด้วยกันในตอนนี้ รอถึงเทศกาลล่าปา*[2] ไว้ค่อยให้เขากลับไป ของขวัญเหมือนพวกเธอนั่นล่ะ!”
*[1] ช่วยเหลือคนที่กำลังลำบาก แค่เพียงเล็กน้อยเขาก็ซาบซึ้ง แต่ถ้าหากช่วยมากเข้า ๆ เขาก็จะเคยตัว แล้วถ้าเราช่วยไม่ไหวหรือไม่ช่วย เขากลับโกรธเคืองแทน เซิง-โต่ว เป็นมาตราตวงของจีนสมัยโบราณ
*[2] เทศกาลล่าปา เหมือนการเริ่มต้นสําหรับการขึ้นปีใหม่ คนจีนมักจะพูดว่าผ่านวันล่าปาแล้วก็จะถึงวันปีใหม่ พอถึงวันล่าปา ผู้คนจะเริ่มเลือกซื้อสินค้าสําหรับปีใหม่ชนิดต่าง ๆ เก็บกวาดตกแต่งบ้านเรือนตามประเพณีเก่าแก่ ท้องที่ต่าง ๆ ของจีนต่างมีธรรมเนียมนิยมในการกินโจ๊กที่ทําจากธัญญาหารอย่างน้อย 8 อย่าง หลังจากต้มเสร็จแล้วต้องนํามาเซ่นไหว้บรรพบุรุษและเทพเจ้าก่อน และแบ่งส่วนหนึ่งมอบให้เพื่อนบ้าน หลังจากนั้นจึงนํามากินกันในครอบครัว