บทที่ 173 ซื้อจักรยาน
บทที่ 173 ซื้อจักรยาน

เหลียงซิ่วและฉีเหลียงอิงรู้สึกโล่งใจ ไม่มีใครยินดีทำลายความสงบสุขที่บ้านเพราะเรื่องเล็กน้อยหรอก

ถึงหวังเซียงฮวาจะไม่ใช่คนจู้จี้จุกจิก และบ่อยครั้งที่ไม่ได้ใส่ใจอะไร

แต่เรื่องแบบนี้เลี่ยงได้จะดีที่สุด!

เช้าวันรุ่งขึ้น คุณย่าซูเตรียมของขวัญไว้อย่างดี

ของขวัญสำหรับลูกสะใภ้ทั้งสองเหมือนกัน แม้แต่ตะกร้าใส่ของก็คล้ายด้วย

“ทั้งสองคนจะได้ซาลาเปาแปดลูก ไข่สิบฟอง น้ำตาลทรายแดงหนึ่งจิน”

คุณย่าซูมอบตะกร้าสองใบให้สะใภ้ตามลำดับ ยามมอบของให้สะใภ้ เธอไม่ได้แสดงสีหน้าอิดออด แต่ภูมิใจด้วยซ้ำ

ของขวัญแบบนี้ สำหรับพื้นที่ชนบทถือว่าร่ำรวยมาก

ถึงจะไม่มีเนื้อสัตว์ แต่ก็มีซาลาเปาแป้งสาลี ไข่ น้ำตาลทรายแดง มีอันไหนที่ไม่ใช่ของดีกัน?

สะใภ้ทั้งสองไม่คิดว่าแม่สามีจะเตรียมของขวัญไว้เยอะแยะขนาดนี้

ได้กลับไปเยี่ยมบ้านในช่วงที่ไม่ใช่วันเทศกาล จะเอาของหนักขนาดนี้ไปได้หรือเนี่ย!

“แม่คะ หนักเกินไปไหม? เก็บซาลาเปาไว้ให้เด็ก ๆ ที่บ้านเถอะ” นิ้วของฉีเหลียงอิงที่กำลังถือตะกร้าเปลี่ยนเป็นสีขาว

ตะกร้าหนัก ๆ ถ่วงอยู่ในมือเธอ เหมือนมันกดดันอยู่ในใจ

คุณย่าซูยิ้ม “พวกเธอทั้งสองแต่งงานเข้าบ้านมาสิบกว่าปีแล้ว ไม่เคยกลับไปหาครอบครัวอย่างมีชีวิตชีวาเลย ก่อนหน้านี้สถานะบ้านเราไม่ได้ดีมากนัก เป็นพวกเราที่ต้องขอโทษพวกเธอ”

ลูกสะใภ้ลำบากลำบนไม่น้อยมาหลายปีเลย และคุณย่าซูรู้มาตลอด แต่สถานะทางบ้านเป็นแบบนี้ ถึงจะอยากให้แค่ไหนก็ทำอะไรไม่ได้

แต่ตอนนี้ฐานะของพวกเขาดีขึ้นเล็กน้อยแล้ว และหวังว่าพวกเธอจะได้กลับบ้านอย่างเชิดหน้าชูตาบ้าง

ให้ครอบครัวเห็นว่า ตอนนี้พวกเธอมีชีวิตที่ดีแล้ว

ฉีเหลียงอิงตาแดงก่ำ เธอหันหลังไปพร้อมกับตะกร้า เพื่อไม่ให้คุณย่าซูเห็นน้ำตาที่ไหลลงมาตรงหัวตา

ครอบครัวของฉีเหลียงอิงอยู่ชุมชนการผลิตหงฉี เดินจากหงซินไปประมาณหนึ่งชั่วโมง

เธอจึงตัดสินใจรีบไปทันที แล้วกลับมาช่วยงานที่บ้านสามีต่อสักหน่อย

เหลียงซิ่วเห็นว่าพี่สะใภ้รองไปแล้ว จึงตั้งใจจะไปบ้าง

แต่ตอนที่กำลังจะก้าวออกจากบ้านก็เห็นลูกสาวตัวขาวผ่องพอดี

“เถียนเอ๋อร์ แม่จะไปหาตากับยาย หนูอยากไปด้วยกันไหมลูก?” เหลียงซิ่วโบกมือให้ลูกสาวแล้วถาม

ซูเสี่ยวเถียนนึกถึงความทรงจำเงียบ ๆ เพื่อฟื้นมันขึ้นมา และเมื่อนึกได้ว่าแม่จะไปหายายก็ปฏิเสธโดยไม่รู้ตัว

เธอไม่ชอบไปบ้านยาย

ตากับยายปฏิบัติต่อเธอไม่ดี ในใจพวกเขามีแต่พวกพี่ชายน้องชายบ้านน้า ๆ เท่านั้น

ซูเสี่ยวเถียนเป็นเด็กหญิงเพียงคนเดียวของตระกูลหลักซู และได้รับความรักจากทุกคนในบ้าน เธอถูกเลี้ยงดูมาโดยไม่ลำบากเลยสักนิด

แต่ที่บ้านตากับยาย มันไม่มีสถานะนั้นสำหรับเธอ

ถึงจะไปเยี่ยมเยียนตอนปีใหม่ แต่ตายายก็ไม่เหลียวแลเธอสักนิด มีของอร่อยบนโต๊ะก็ไม่ให้กิน

ในใจตายายก็แค่เด็กล้างผลาญ กินไปก็ไม่คุ้ม

แต่พอเห็นแม่ที่จ้องมองอย่างมีความหวัง ในที่สุดก็พยักหน้า

“แม่ เดี๋ยวหนูไปด้วย!”

แน่นอนว่าเหลียงซิ่วรู้ว่าไม่มีลูกคนใดอยากกลับไปบ้านของตน

อันที่จริง ทุกครั้งที่เธอไปเอง พอได้เห็นสายตารังเกียจของคนที่บ้านและพวกสะใภ้แล้วก็รู้สึกทนไม่ได้

อีกอย่างเด็ก ๆ บ้านซูที่ได้รับความรัก จะทนความคับแค้นใจพวกนี้ได้อย่างไร?

แค่คิดว่าพ่อแม่ดูถูกเธอ เพราะชีวิตไม่สุขสบาย พ่อแม่เกลียดอาชีพที่ไม่มั่นคง

แต่ตอนนี้มันเปลี่ยนไปแล้ว ชีวิตของเธอดีขึ้น พ่อแม่มักจะวางใจอยู่แล้ว มันควรจะต่างไปจากเมื่อก่อนใช่ไหม?

ซูเสี่ยวเถียนไม่รู้เกี่ยวความคิดของแม่ แต่พอตอบตกลงก็ได้แต่ทำให้ดีที่สุด

“แม่ รอหนูก่อนนะ!”

เด็กสาวตัวน้อยวิ่งไปที่ห้องของเธอด้วยขาสั้น ๆ เสียงดังตึกตัก

“เถียนเอ๋อร์ หลานมาทำอะไร?” คุณย่าซูมองหลานสาวตัวน้อยแล้วรีบถาม “ระวังหน่อย เดี๋ยวล้ม!”

“คุณย่า หนูจะใส่เสื้อผ้าตัวใหม่” ซูเสี่ยวเถียนพูดแล้วเดินเข้ามาในห้อง

คุณย่าซูรีบตามเข้าไป แล้วก็เห็นหลานสาวหยิบเสื้อบุนวมตัวใหม่ที่เธอทำให้เมื่อสองวันก่อนออกจากกล่อง

เสื้อตัวนี้คุณย่าซูทำให้ ผ้าฝ้ายลายดอกไม้สีแดงที่ซื้อกลับมาจากอำเภอเป็นผ้าฝ่ายผืนใหม่ทั้งผืน มันหนาและสวยมาก โดยเฉพาะเสี่ยวเถียนที่ผิวขาวผ่องสวมใส่ ยิ่งขับให้ดูดีมาก

พอทำเสร็จ คุณย่าซูก็เรียกหลานสาวตัวน้อยมาสวมใส่ แต่ซูเสี่ยวเถียนบอกว่าต้องรอถึงปีใหม่ก่อนถึงจะใส่ได้

“สองวันก่อนย่าให้ใส่กลับไม่ใส่ แล้ววันนี้อยากจะใส่เนี่ยนะ?” คุณย่าซูมองหลานสาวด้วยความขบขัน

เด็กหญิงตอบอย่างมีเลศนัย “วันนี้หนูไปหาญาติ ต้องใส่ชุดใหม่สิคะ!”

เธอยังพูดไม่ชัดเลยว่า ตายายไม่ได้เป็นพวกปิตาธิปไตยเท่านั้น แต่ยังรังเกียจคนจนรักคนรวยด้วย

หลายปีมานี้ พวกเขาดูถูกแม่เพราะแม่เป็นลูกสาว และเพราะบ้านซูยากจน

วันนี้แม่ต้องรู้สึกว่าตัวเองเงยหน้าอ้าปากได้แน่ ๆ ถึงได้พาเธอไปด้วย

แน่นอนว่า เสี่ยวเถียนต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อให้แม่ได้เชิดหน้าชูตา

พอเห็นลูกสาวสวมเสื้อบุนวมตัวใหม่ เหลียงซิ่วก็ตอบสนองไม่ได้ไปครู่หนึ่ง

“ไปแค่บ้านยาย ทำไมต้องใส่เสื้อตัวใหม่ด้วยเล่า” เหลียงซิ่วมองลูกสาวอย่างขบขัน

ซูเสี่ยวเถียนยิ้มแต่ไม่ได้พูด

บ้านเกิดเหลียงซิ่วอยู่ห่างจากบ้านซูไกลมาก เป็นชุมชนเคียงข้าง

ถ้าเดินไปต้องใช้เวลาเกือบสองชั่วโมงจึงจะไปถึง

พอเมื่อซูเสี่ยวอู่ได้ยินว่าแม่จะพาน้องสาวไปบ้านยาย ก็กลัวว่าน้องจะโดนทำให้คับแค้นใจ เลยรีบพูด “แม่ พาผมไปด้วย!”

เหลียงซิ่วไม่คิดว่าซูเสี่ยวอู่จะขอไปด้วย แต่ลูกชายเอ่ยปากแล้วก็ต้องตกลง

จากนั้นเสี่ยวปาก็ขอไปด้วยเหมือนกัน เธอตอบไม่ได้ว่าวันนี้มันเกิดอะไรขึ้น

ปกติไม่ค่อยอยากไปเอง ทำไมวันนี้ขอไปกันทีละคนสองคนล่ะเนี่ย?

เธอจะรู้ได้อย่างไรว่าลูกชายทั้งสองเต็มใจจะไปด้วยก็เพื่อปกป้องน้องเล็ก

ส่วนลูกชายคนอื่น ๆ ถ้าไม่ใช่เพราะไม่สะดวกไปบ้านเหลียงซิ่ว พวกเขาก็คงตามไปด้วยแล้ว

“สะใภ้สาม ไปยืมจักรยานที่บ้านหัวหน้าแล้วพาลูกที่นั่นไป!”

คุณย่าซูทนไม่ได้ที่หลานสาวเดินตากลมหนาว จึงแนะนำไป

เหลียงซิ่วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง มองลูกสาวที่ใส่เสื้อบุนวมตัวใหม่ แล้วก็คิดถึงระยะทางก่อนจะตอบตกลง

“แม่คะ งั้นฉันจะไปยืมรถที่บ้านหัวหน้าค่ะ” เหลียงซิ่วพยักหน้าและออกไป

มีจักรยานสองคันในชุมชนการผลิต หนึ่งในนั้นเป็นของบ้านหัวหน้าซู

ปกติหัวหน้าซูมีความสัมพันธ์อันดีกับบ้านซูอยู่แล้ว เวลามายืมรถก็จะไปที่บ้านซูฉางจิ่วเสมอ

ในไม่ช้า เหลียงซิ่วก็ยืมจักรยานมาได้แล้วรีบปั่นกลับบ้าน

ตัวจักรยานมีแฮนด์จับสองอันและล้อขนาดยี่สิบแปดนิ้ว มันแข็งแรงพอจะบรรทุกคนได้ ซูเสี่ยวปานั่งท่อบนจักรยาน ส่วนซูเสี่ยวอู่นั่งเบาะหลังโดยมีซูเสี่ยวเถียนในอ้อมแขน

ส่วนตะกร้าที่คุณย่าซูเตรียมไว้ก็แขวนไว้ที่หน้ารถ โคลงเคลงไปมา

“เถียนเอ๋อร์ ระวังนะ ยกเท้าขึ้นอย่าห้อยไว้!”

หลังจากที่มารดาเอ่ยเตือนก็ถีบออกไปสุดแรง จักรยานก็โยกเยกไปมาตามถนน แต่หลังจากที่ขี่ไปได้ระยะหนึ่งก็ทรงตัวได้

ด้วยสภาพครอบครัวในปัจจุบันของบ้านซู ต่อให้ซื้อจักรยานก็ไม่มีปัญหา

แต่ทุกคนรู้สึกว่ามันเป็นของธรรมดา เลยไม่ได้ซื้อจักรยานสักคันเลยในตอนนี้

ทว่าในเวลาแบบนี้ก็ไม่สะดวกไปยืมของบ้านอื่นเหมือนกัน

“คุณย่า ย่าว่าบ้านเราจะซื้อจักรยานได้เมื่อไรครับ?” เสียวจิ่วพูดอย่างอิจฉา แล้วมองไปยังจักรยานที่อยู่ห่างออกไป

“ก่อนปีใหม่ บ้านเราก็จะซื้อมาสักคันเหมือนกัน จากนี้ไปพวกเราจะได้ไปไหนมาไหนสะดวก” คุณย่าซูพึมพำ

ยืมจักรยานคนอื่นตลอดเวลาไม่ดีหรอก แล้วก็ไม่ใช่ว่าซื้อไม่ได้ งั้นซื้อก่อนเถอะ!

“จริงหรือครับคุณย่า?” ซูซื่อเลี่ยงเป็นคนถาม

ดวงตาของเด็กชายเป็นประกาย

“จริงสิ ซื้อจริง ๆ จ้ะ!” คุณย่าซูพูดอย่างร่าเริง “พวกหลานโตแล้ว มีจักรยานออกไปไหนก็สะดวกมาก!”

ซูซื่อเลี่ยงมีความสุขที่ครอบครัวกำลังจะซื้อจักรยาน แต่ไม่ได้คิดถึงปัญหาอย่างตั๋วจักรยานอะไรพวกนั้นเลย

ขอแค่มีก็พอแล้ว

“คุณย่า รอบ้านเราซื้อมา ผมจะพาย่าไปขี่รถเล่นถึงตำบลเลย” ซูซื่อเลี่ยงยกยอคุณย่าทันที

เพราะคุณย่าซูเป็นคนเท้าเล็ก เดินเหินไม่สะดวก หลายปีมานี้ไม่ได้เข้าไปที่ตำบลเลย เพราะงั้นเขาเลยพูดแบบนี้

“งั้นก็แย่สิ แกซนเป็นลิงขนาดนี้กลัวก็แต่จะพาฉันลงคูน้ำ!” คุณย่าซูพูดอย่างรังเกียจ

เด็กคนอื่น ๆ อดหัวเราะไม่ได้เมื่อได้ยินคำพูดของผู้เป็นย่า