บทที่ 174 กลับบ้านพ่อแม่
บทที่ 174 กลับบ้านพ่อแม่
ตอนนั้นเองที่ฉืออี้หย่วนมาถึงบ้านซูพร้อมมันเทศเผาในอ้อมแขน เขาอมยิ้มไม่ได้เมื่อได้ยินเสียงหัวเราะจากคนบ้านนี้
แต่พอไปถึงก็พบว่าเสี่ยวเถียนไม่อยู่บ้านเพราะว่าวันนี้น้องสาวตัวน้อยไปบ้านยาย
พอมองไปที่มันเทศเผาในมือแล้ว ฉืออี้หย่วนค่อนข้างผิดหวัง
ทำไมไม่มาเร็วกว่านี้นะ? ถ้ามาเร็วกว่านี้ เสี่ยวเถียนจะได้กินมันเทศเผาได้
“พอดีเลย ฉันอยากกินมันเทศอยู่ เพราะงั้นมันเทศเผาอันนี้ให้ฉันแล้วกัน!”
ซูซื่อเลี่ยงคว้ามันเทศเผาร้อน ๆ จากมือของฉืออี้หย่วนอย่างไม่เกรงใจ ท่าทางดูสมเหตุสมผลเหลือเกิน
“ไอ้เด็กคนนี้นี่ ทำไมเป็นนี้เล่า? เสี่ยวหย่วนเผามันเทศมาไม่ง่ายเลยนะ!” คุณย่าซูดุทันที
แม้ว่าตอนนี้ชีวิตในคอกวัวจะดีขึ้น แต่ก็ยังแย่กว่าครอบครัวของเขาอยู่ดี!
คุณย่าซูไม่อยากให้หลานชายเอาเปรียบคนอื่น
แต่ซูซื่อเลี่ยงไม่สนใจแล้วกัดมันเทศเผาทันที ทั้งยังชมอีกว่าเผาได้ดีเลย
เขายังยิ้มอย่างมีชัยชนะไปกว่าครึ่งให้ฉืออี้หย่วน แววตาดูยั่วยุ
เขาโตแล้ว ทำไมจะมองไม่ออกถึงความคิดในใจของคนคนนี้ล่ะ?
ไอ้หนุ่มนั่นมันมีเจตนาไม่ดี คิดจะขโมยน้องเล็กตลอดเลย!
บ้านเรามีน้องสาวผู้ล้ำค่าคนเดียว จะฉกฉวยโดยมีแรงจูงใจซ่อนเร้นไม่ได้นะ
เหอะ มีแต่คนคิดจะแย่งน้องเล็กเสมอเลย!
สำหรับท่าทางเด็กน้อยของซูซื่อเลี่ยง ฉืออี้หย่วนไม่ได้ใส่ใจเลย
ทำได้แค่กลับไปคอกวัวพร้อมกับความเสียใจ
เด็กชายไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ ทำไมถึงอยากเจอเสี่ยวเถียนตลอดเลย?
ในตอนแรก เขาคิดว่าเสี่ยวเถียนเป็นน้องสาวที่เสียไปตั้งแต่ยังเด็ก แต่ตอนนี้เขารู้สึกว่ามันไม่ใช่แค่น้องสาวแล้ว!
ส่วนฝั่งแม่ลูกเสี่ยวเถียน ขี่ไปคุยไป บรรยากาศเต็มไปด้วยความสนุกสนาน
ขี่จักรยานเร็วกว่าเดินเยอะเลย เฮฮาไปได้ไม่เท่าไรก็มาถึงครึ่งทางแล้ว
ซูเสี่ยวเถียนเคยมาถนนพวกนี้มากกว่าหนึ่งครั้ง ส่วนเส้นทางที่เหลือ ซูเสี่ยวเถียนไม่เคยไปเลยจึงรู้สึกแปลก ๆ อยู่บ้าง
และมันทำให้เธอสนใจมากขึ้น
ถึงตอนนี้จะเป็นฤดูหนาว แต่เธอก็ยังสนทนากับต้นไม้ข้างทางด้วยความสนอกสนใจ
เป็นการแลกเปลี่ยนที่ทำให้ได้รับข่าวคราวโดยบังเอิญมา
ในโพรงใต้ต้นขี้เถ้าในป่าข้างหน้า มีสมบัติซ่อนอยู่
ซูเสี่ยวเถียนกะตือรือร้นอยากจะได้สมบัตินี้มาก
ตอนนี้ยังไม่ใช่โอกาส เพราะต้องไปบ้านยาย จะเอาของแบบนี้ไปมันไม่เหมาะจริง ๆ!
เธอกลอกตาไปมาอย่างมีลับลมคมใน คิดหาเหตุผลที่จะพาของชิ้นนี้กลับไปด้วย
ขณะที่กำลังคิด พวกเขาก็มาถึงบริเวณเวิ้งน้ำของตระกูลเหลียง
เพราะคนที่อาศัยอยู่บริเวณเวิ้งน้ำแห่งนี้ล้วนเป็นคนตระกูลเหลียง จึงได้ชื่อว่าเวิ้งน้ำตระกูลเหลียงนั่นเอง
แม้ตอนนี้เวิ้งน้ำตระกูลเหลียงจะเป็นทีมผลิตแห่งหนึ่งของชุมชนการผลิตฉาวหยาง แต่ชื่อนี้ก็ไม่มีวันเปลี่ยงแปลง
ที่ดินเวิ้งน้ำตระกูลเหลียงค่อนข้างดี แค่ผ่านไปหนึ่งปีการเก็บเกี่ยวก็ดีแล้ว และฐานะของคนที่นี่ก็นับว่าดีด้วย อย่างน้อยก็ดีกว่าชุมชนการผลิตหงซิน
เพราะเรื่องดีเล็ก ๆ น้อย ๆ แบบนี้ จึงทำให้ผู้คนในเวิ้งน้ำภาคภูมิใจใมากขึ้น!
“ไอ๊หย่า ซิ่วเอ๋อร์จากบ้านสี่ไม่ใช่เรอะ?”
ผู้หญิงสองคนที่ยืนคุยกันอยู่ข้างถนนเห็นเหลียงซิ่ว และหนึ่งในนั้นเป็นผู้หญิงวัยสี่สิบเศษกล่าวทักทายทันที
“สวัสดีค่ะป้า!” เหลียงซิ่วรีบหยุดจักรยานและถามด้วยขาข้างหนึ่งค้ำยันเอาไว้
“ไม่ใช่เทศกาลแท้ ๆ แล้วพาลูกกลับบ้านมาทำไมเล่า?”
หญิงสาวอีกคนชำเลืองมองเหลียงซิ่วขึ้น ๆ ลง ๆ แล้วพูดด้วยความไม่พอใจ
คนผู้นี้ไม่ใช่ใครอื่นนอกเสียไปจากน้องสาวแท้ ๆ ของพี่สะใภ้บ้านเหลียงซิ่ว ซึ่งแต่งเข้าตระกูลเหลียงมา
นอกจากนี้เธอยังดูถูกชีวิตอันยากจนของเหลียงซิ่วด้วย ทั้งยังพูดจาประชดประชันทั้งต่อหน้าและลับหลัง
ถ้าไม่รู้ ก็คงคิดว่าเหลียงซิ่วพาเด็ก ๆ กลับมากินข้าวที่บ้านนั่นแหละ
“พอดีมีเวลาน่ะ เลยพาเด็ก ๆ มาเยี่ยมพ่อกับแม่!” เหลียงซิ่วพูดอย่างอดกลั้น
เธอรู้ว่าทะเลาะกับคนคนนี้ไม่ได้ ไม่อย่างนั้นอีกฝ่ายจะไปบอกพี่สะใภ้ กลับไปบ้านเมื่อไรไม่ได้อยู่อย่างสงบแน่
เพราะนิสัยของพี่สะใภ้คือจะไม่ไว้หน้าใครทั้งนั้น อุตส่าห์มาแล้วก็ไม่อยากสร้างปัญหา
“ฉันว่าเธอคงไม่มีข้าวกินก็เลยกลับบ้านแม่มากินข้าวสินะ? น่าสงสารเสียจริงพี่ใหญ่ อุตส่าห์ตรากตรำทำงานมาตั้งหนึ่งปี ได้อะไรดี ๆ มาก็เอาให้คนนอกหมด!” หญิงสาวพูดแดกดัน
ส่วนผู้หญิงวัยกลางรู้สึกอับอายที่ได้ยินคำพูดที่ฟังไม่เข้าหูแบบนั้น เลยจึงดึงเสื้อแล้วมุบมิบปากไม่ให้อีกคนพูดต่อ
แต่หล่อนเป็นพวกไม่ใช่ตะเกียงประหยัดน้ำมัน ไม่ฟังไม่พอยังพูดจาไม่เข้าหูอีก
ใบหน้าของเหลียงซิ่วเต็มไปด้วยความลำบากใจ แม้ว่าลูก ๆ จะยังเด็กแต่ก็โตพอจะรู้ความ ใบหน้าของแต่ละคนแดงก่ำ
พอเห็นสีหน้าเขินอายของเหลียงซิ่ว หล่อนก็ยิ่งภาคภูมิใจมากขึ้น
“คุณป้าคะ คุณไม่รู้ว่าพี่สาวของฉันเธอมีนิสัยชอบความลำบาก พูดจาไม่เก่ง ถ้าไปอยู่บ้านใครเขามีที่ไหนจะปล่อยให้ลูกสาวที่แต่งงานออกเรือนไปแล้วกลับมากินข้าวเล่า”
สีหน้าของหญิงวัยกลางคนค่อนข้างตื่นเต้น คนเวิ้งน้ำใครเขาก็รู้กันว่าสองพี่น้องบ้านเหลียงเป็นพวกปากร้ายใจดี แล้วตอนนี้ไม่ละอายใจที่พี่สาวนิสัยดีบ้างหรือ?
ถ้าทั้งสองนิสัยดี ก็คงไม่มีใครในเวิ้งน้ำนิสัยดีแล้ว!
ที่จะบอกคือสามีภรรยาบ้านสี่ตระกูลเหลียงไร้ประโยชน์ ไม่งั้นสะใภ้แบบนี้ก็โดนไล่ออกไปตั้งนานแล้ว
ลูกสาวกลับมาบ้าน น้ำร้อน ๆ ยังไม่ให้ดื่ม ไม่ต้องพูดถึงข้าวเลย โชคดีที่เหลียงซิ่วมันนิสัยดี ไม่ใส่ใจอะไร
ซูเสี่ยวเถียนโดดลงจากแขนซูเสี่ยวอู่ แล้วกระโดดโหยง ๆ อยู่สองทีไล่เหน็บช้าจากความหนาวที่ขาและเท้า
อากาศแบบนี้นั่งจักรยานมาตลอดทางหนาวจะตายอยู่แล้ว!
การกระทำของเธอ ทำหญิงสาวมองด้วยความสนอกสนใจ
ครั้นเห็นเด็กหญิงสวมเสื้อบุนวมลายดอกไม้สีแดงสด ก็พลันอ้าปากค้างไปชั่วขณะ
ไม่ใช่ว่าบ้านซูจนมากหรอกหรือ แล้วใส่เสื้อบุนวมตัวใหม่ได้อย่างไร? หรือใช้เงินซื้อมาให้เด็กใส่?
สมองคนบ้านซูต้องสับสนกันไปหมดแล้วแน่ ๆ!
“แม่คะ หนูหนาวมากเลย หนูดูไข่ในตะกร้าได้ไหมว่ามันแข็งไปหรือยัง!”
ซูเสี่ยวเถียนรู้สึกก้าวเท้าออกไปตามสัญชาตญาณ รีบไปที่จักรยานในทันที แล้วปัดผ้าเนื้อหยาบบนตะกร้าออก
คราวนี้ทุกอย่างในตะกร้าถูกเปิดเผยออกมา
ซาลาเปาก้อนขาว ๆ หลายก้อน หญิงวัยกลางที่มองอยู่ดวงตาของหล่อนเกือบติดไปกับของบนนั้น
มีลูกสาวไหนที่แต่งงานออกไปแล้วกลับบ้านมาพร้อมกับซาลาเปาลูกขาวก้อนใหญ่จำนวนมากเช่นนี้?
ขณะที่กำลังสนใจซาลาเปา ก็พบว่ามีไข่
ที่สำคัญคือยังมีถุงกระดาษอีกถุง ดู ๆ แล้วน่าจะเป็นน้ำตาลทรายแดง
ที่รู้ว่าเป็นน้ำตาลทรายแดง เพราะบนถุงมีเศษน้ำตาลติดอยู่
“ซิ่วเอ๋อร์เอ้ย ไม่ใช่ช่วงเทศกาลแท้ ๆ ทำไมเอาของมาเยอะขนาดนี้?” หญิงวัยกลางคนกล่าวอย่างอิจฉา
คนบ้านซูเต็มใจให้สะใภ้เอาของมากมายขนาดนี้กลับมาบ้านพ่อแม่ได้อย่างไรกัน?
ใจป้ำจริง ๆ ถ้าเป็นเธอ เธอคงไม่เต็มใจเอาของกลับมาขนาดนี้
เธออยากจะพูดเหลือเกินว่า คนบ้านซูมันสับสนกันไปหมดแล้วใช่ไหม?
“ซิ่วเอ๋อร์ ชีวิตบ้านเธอดูเหมือนจะดีขึ้นนะ? ก่อนหน้านี้ยังมีคนพูดอยู่เลยว่าชีวิตตระกูลซูดีขึ้นเรื่อย ๆ ฉันยังไม่เชื่อเลย แต่ตอนนี้ได้เห็นก็จริงอย่างที่ว่า!”
หญิงวัยกลางคนไม่สนใจสิ่งอื่นใด แล้วพูดความในใจออกมารวดเดียว
ส่วนหญิงสาวกลับพูดไม่ออก เมื่อครู่เพิ่งพูดว่าลากครอบครัวกลับมากินข้าวที่บ้านแม่ ตอนนี้เหมือนถูกตบหน้าเลย
เอาของดี ๆ มาเยอะขนาดนี้ นั่นก็ซาลาเปาแป้งสาลีด้วย เป็นแป้งสาลีล้วน ๆ เลย ไม่ได้ผสมแป้งข้าวโพดหรือแป้งถั่ว
ยังมีไข่อีกหลายฟองอีก ช่างล้ำค่าอะไรอย่างนี้!
“คุณยายคะ แม่หนูไปทำงานในอำเภอมาค่ะ ไม่ค่อยสะดวกกลับมาด้วย คุณย่าก็เลยให้แม่มาเยี่ยมคุณยายกับคุณตาค่ะ!” ซูเสี่ยวเถียนพูดอย่างชัดถ้อยชัดคำ โดยย้ำว่าเหลียงซิ่วไปทำงานในอำเภอมา
เรื่องที่เหลียงซิ่วไปทำงานในเมือง คนที่เวิ้งน้ำไม่มีใครเชื่อข่าวลือนี้เลย
ถึงบ้านซูจะหางานในเมืองได้ แต่ก็คงให้พวกผู้ชายกับหลานชายแน่นอน แล้วจะให้สะใภ้ได้อย่างไร?
แต่เมื่อได้ยินซูเสี่ยวเถียนพูดแบบนี้ หญิงวัยกลางคนก็จ้องไปที่เหลียงซิ่วทันที สายตาที่ร้อนแรงจนเกือบแผดเผา
“คุณป้า ฉันไปหาพ่อกับแม่ก่อนนะคะ!” เหลียงซิ่วรู้สึกอึดอัดที่โดนมอง เธอจึงหาข้ออ้างแล้วหันหลังกลับเข็นจักรยานออกไป