บทที่ 175 แม่เฒ่าเหลียง
บทที่ 175 แม่เฒ่าเหลียง

เธออยากจะไป แต่คนอื่นขัดขวางไม่ให้เธอไป! เมื่อหญิงสาวได้ยินว่าเหลียงซิ่วได้ไปทำงานก็ไม่ได้ตอบโต้อะไร

แต่พอเห็นอีกฝ่ายร้อนรนจะไป จึงรู้สึกในทันทีว่านี่เป็นเพียงเรื่องโอ้อวดทันที

แบบนี้ไม่ได้นะ คนเราจะหน้าด้านขนาดนี้ได้อย่างไร?

หนังวัวแบบนี้ยังเป่าได้อีกหรือ*[1]? ไม่กลัวเป่าแล้วระเบิดแตกโดนตัวเองหรือไง?

เธอรีบเอ่ยปากทันที “ไม่เคยเห็นคนหน้าด้านขนาดนี้มาก่อนเลย ไม่ดูสารรูปตัวเองด้วยซ้ำ แล้วยังกล้าพูดว่าไปทำงานในเมืองอีก”

พูดจบ สายตาก็จ้องไปยังซูเสี่ยวเถียนโดยเฉพาะ

“ตัวแค่นี้เอาแต่พูดโกหก ไม่รู้ว่าสั่งสอนกันมาอย่างไร ที่แท้ก็เป็นพวกคานข้างบนไม่ตรง คานข้างล่างย่อมเบี้ยวตาม*[2] นี่เอง!”

แล้วสุดท้ายก็ร้องเหอะเสียงดัง ก่อนจะแสดงท่าท่างดูถูกเหยียดยามออกมา

ซูเสี่ยวอู่ไม่ทนอีกต่อไป พวกเราทั้งรักและเอ็นดูน้องเล็กของบ้านมาตลอด มาถูกคนใส่ร้ายแบบนี้ได้อย่างไร?

“คุณพูดอะไร? มาบอกว่าเด็กตัวแค่นี้พูดโกหก? น้องเล็กของผมไม่เคยพูดโกหก!”

ใบหน้าหล่อเหลาของเด็กหนุ่มบิดเบี้ยวด้วยความหงุดหงิดเล็กน้อย แต่ก็ยังไม่ส่งผลต่อความดูดีของเขาอยู่ดี

เสี่ยวอู่เริ่มส่งเสียงขึ้น เสี่ยวปาจึงตามทันที

“ใช่ ๆ น้องสาวผมไม่พูดโกหก คุณใส่ร้ายผิดคนแล้ว!”

เด็กชายตัวน้อยดูหงุดหงิดอย่างเห็นได้ชัด เขาแก่กว่าเสี่ยวเถียนสองปี แต่พยายามเป็นพี่ชายที่ดีอย่างเต็มที่

หลังจากโดนเด็กสองคนตะคอกใส่ หญิงสาวรู้สึกเสียหน้า และสีหน้าของเธอยิ่งแย่เข้าไปอีก

ซูเสี่ยวเถียนได้พี่ชายทั้งสองปกป้องไว้ จึงรู้สึกว่าตัวเองเป็นผู้หญิงที่มีความสุขที่สุดในโลกจริง ๆ

หญิงวัยกลางปวดหัวเมื่อเห็นพวกเขาเริ่มทะเลาะกัน

เธอเสียใจว่า ทำไมตัวเองถึงมายืนคุยอยู่ตรงนี้ กลับบ้านไปนอนอุ่นเตียงเตาดีกว่าไหมนะ?

“ซิ่วเอ๋อร์ อากาศหนาวมากแล้ว ดูลูกสิตัวแข็งเชียว รีบพากลับบ้านไปอุ่นร่างกายเลย”

เธอเอ่ยปากแล้วรีบเร่งให้เหลียงซิ่วรีบไป

เหลียงซิ่วไม่ได้พูดอะไรเช่นกัน เธอกำลังจะไปแท้ ๆ แต่หลี่จวี๋ฮวาดันสร้างปัญหาแล้วจะให้ทำอย่างไรล่ะ?

“ฉันใส่ร้ายหรือ? ไอ้เด็กเวรนี่ แม่แกมันไม่รู้หนังสือแล้วจะไปเป็นคนงานในเมืองได้อย่างไร?”

“ไม่ใช่ว่าฉันเกลียดเธอหรอกนะ ถ้าเธอเป็นคนงานได้ งั้นฉันก็เป็นเจ้าหน้าที่ได้แล้ว!”

พูดจบก็หัวเราะออกมา เห็นได้ชัดว่าแบบนี้เป็นการดูถูกเหยียดหยาม

ใบหน้าของเหลียงซิ่วแดงก่ำ ทำไมไม่มีใครเชื่อในสิ่งที่เธอพูดเลย?

“คุณพูดได้อย่างไร!”

“ฉันพูดได้สิ จะทำไม?”

รอไปหาพี่ก่อนเถอะ จะไปบอกให้เธอจัดการกับไอ้เด็กไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงพวกนี้ให้หมด

ตอนนั้นเองที่มีชายหนุ่มสองคนเดินผ่านมา

พอเห็นเหลียงซิ่ว คนที่สูงกว่าก็ยิ้มทักทันที

“พี่ซิ่วเอ๋อร์ กลับมาหาพ่อสี่แม่สี่หรือครับ?”

เหลียงซิ่วหันไปมอง ก่อนจะพบว่าเป็นน้องชายผู้เป็นลูกพี่ลูกน้องของบ้านเธอนั่นเอง เมื่อสองปีก่อนได้หางานทำ ตอนนี้ก็ทำงานที่โรงงานในอำเภอ

“ปิงจื่อ วันนี้ก็กลับบ้านหรือ?”

เหลียงซิ่วยังมีความประทับใจที่ดีต่อลูกพี่ลูกน้องคนนี้อยู่ เวลาพูดด้วยจึงยังมีความสุภาพ

เหลียงปิงมาพร้อมกับชายหนุ่มอีกคน เหลียงซิ่วมอง แต่เพราะไม่รู้จักก็เลยไม่ได้ใส่ใจ

“เสี่ยวโจว นี่คือพี่ซิ่ว พี่สาวฉันเอง แกเรียกพี่ซิ่วก็ได้นะ!” เหลียงปิงเห็นเหลียงซิ่วเหลือบมองคนข้าง ๆ เลยรีบแนะนำทันที

ชายหนุ่มเอ่ยเรียกอย่างเขินอาย “สวัสดีครับพี่ซิ่ว!”

เหลียงซิ่วตอบด้วยรอยยิ้ม

“นี่เป็นเพื่อนร่วมงานที่โรงงานของผมครับ วันนี้วันหยุดพักผ่อนพอดีก็เลยพาเขามาเที่ยวที่บ้านด้วย”

เหลียงซิ่วลอบสำรวจอายุเสี่ยวโจว แล้วก็เห็นใบหน้าอาย ๆ ของเขา ก่อนจะเข้าใจว่าทำไมเหลียงปิงถึงพาเด็กคนนี้มาด้วย

เหลียงปิงเป็นลูกชายคนโตของครอบครัวอาเจ็ด เขามีน้องเล็กด้วยคนหนึ่ง ปีนี้อายุสิบเจ็ดปี

เด็กหนุ่มคนนี้ดูซื่อสัตย์มาก แต่ฐานะทางบ้านของเขาไม่ค่อยดี

ถ้าฐานะทางบ้านดี คนงานในเมืองแบบนี้ไม่มาหาภรรยาที่ชนบทหรอก

“เสี่ยวโจว พี่ซิ่วของฉันตอนนี้เป็นคนงานที่โรงงานขนมไข่ กลับไปอำเภอพวกเราจะได้เจอกันบ่อยขึ้นด้วยนะ” เหลียงปิงไม่อดกลั้นแล้วเริ่มคุยโวทันที

“อะไรนะ?” หญิงวัยกลางคนถามด้วยความประหลาดใจ

หล่อนมองไปที่เหลียงซิ่วด้วยความไม่เชื่อ ลูกสาวบ้านสี่เป็นคนงานจริง ๆ หรือ?

แล้วมองไปยังหลี่จวี๋ฮวาด้วยใบหน้าเหยเก

หญิงสาวได้ยินที่เหลียงปิงว่า พลันตกอยู่ในอาการตกตะลึง

เป็นคนงานจริง ๆ หรือ?

เหลียงซิ่วอายุสามสิบกว่าแล้วใช่ไหม? ทำไมถึงรับสมัครคนอายุเยอะขนาดนี้ล่ะ?

ได้ยินว่าหลังจากน้องสามีหย่า ก็แต่งานกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงของอำเภอคนหนึ่ง

เรื่องนี้ต้องคุยกับพี่สาวให้ได้

มีคนให้เอาเปรียบแล้ว ก็คือนังสารเลวนี่อย่างไรล่ะ!

“ซิ่วเอ๋อร์ เธอเป็นคนงานจริง ๆ หรือ? โรงงานขนมไข่ด้วย? แต่ขนมไข่มันแพงมากเลยนะ แถมยังต้องใช้ตั๋วอีก!”

ขณะที่หญิงวัยกลางคนพูด ดวงตาก็เป็นประกาย คนงานในเมืองหรือเนี่ย ช่างวิเศษอะไรเช่นนี้!

ไม่นึกเลยจริง ๆ ว่าสามีภรรยาบ้านสี่จะโชคดีแบบนี้!

เหลียงซิ่วรับมือด้วยอีกสองประโยค จากนั้นก็ไม่อยู่คุยกับหญิงน่าเบื่ออีกสองคน แล้วเดินออกไปพร้อมกันเด็ก ๆ

ในที่สุด คราวนี้เดินไปได้อย่างสงบเสียที แม้แต่หญิงวัยกลางคนหรือหลี่จวี๋ฮวาก็หยุดไม่ได้!

ตอนที่ผลักประตูไม้บานใหญ่ จักรยานของเหลียงซิ่วยังไม่ทันได้หยุดก็เห็นม่านเลิกขึ้น

คนที่ออกมาคือสะใภ้สามหรือหลี่ชุ่ยฮวา พี่สาวของหลี่จวี๋ฮวาที่พบกันเมื่อครู่

สองพี่น้องหน้าตาไม่ต่างกันมาก ฝีปากของพวกหล่อนก็เช่นกัน

และซูเสี่ยวเถียนเองก็ไม่ชอบป้าสะใภ้คนนี้มาก

หลี่ชุ่ยฮวาได้ยินเสียงประตูเลยออกมาดู ก่อนจะเห็นว่าเป็นน้องสามีผู้ยากไร้คนที่อยากได้อะไรก็ไม่เคยมีให้คนนั้น เธอรีบเสนอหน้าออกมาทันที

“ไม่ใช่เทศกาลแท้ ๆ กลับบ้านมาทำอะไร? บ้านเราไม่มีของกินเยอะแยะไว้ต้อนรับแกหรอกนะ!”

น้ำเสียงลับลมคมในของหลี่ชุ่ยฮวาแทบไม่ได้ต่างอะไรไปจากน้องสาวเลย

“พี่สะใภ้สาม!” สีหน้าเหลียงซิ่วไม่ดีเลย แต่เธอก็พยายามอดทนไว้

ซูเสี่ยวเถียนอดไม่ได้ที่จะกลอกตา ยัยคนนี้มันเป็นคนแบบไหนเนี่ย ญาติมาหาถึงแท้ ๆ ยังไม่ทันได้ยืนดี ๆ ก็คิดแต่จะสร้างเรื่องแล้ว!

หลี่ชุ่ยฮวาไม่ตอบ ก่อนหมุนตัวกลับเข้าไปในห้อง

ซูเสี่ยวเถียนยังได้ยินเสียงของหลี่ชุ่ยฮวาทุบข้าวของอยู่ในห้องด้วย เห็นได้ชัดว่าเธอไม่พอใจมากที่พวกเรามา

ตอนนั้นเองที่ม่านห้องหลักเลิกขึ้น เป็นมารดาผู้ให้กำเนิดของเหลียงซิ่วหรือแม่เฒ่าเหลียงนั่นเอง

แม่เฒ่าเหลียงมีลูกแปดคน สุดท้ายเหลือรอดแค่สี่ มีลูกชายสามและลูกสาวอีกหนึ่ง

ลูกชายทั้งสามโตหมดแล้ว ลูกสาวอย่างเหลียงซิ่วเป็นคนเล็กสุด ปกติแล้วถ้าครอบครัวเป็นแบบนี้จะไม่ค่อยลำเอียงเข้าข้างลูกสาวคนเล็กมากเท่าไร

แต่ไม่ใช่กับบ้านเหลียง ตอนที่เหลียงซิ่วยังอยู่ เธอไม่เป็นที่ชื่นชอบ เพราะเหตุนี้ทั้งงานในและงานนอกจึงทำเองหมดเลยไม่ว่าอะไรก็ไม่ใช่ปัญหา

“แม่!” เหลียงซิ่วคลี่ฉีกยิ้มอย่างอึดอัด

แม่เฒ่าเหลียงไม่พอใจมากเมื่อเห็นลูกสาวกลับมา เธอจึงชักสีหน้าเล็กน้อย

“แกมาทำไม?”

ท่าทางแบบนี้เห็นได้ชัดเจนว่าไม่ต้อนรับกัน

“ใกล้จะถึงเทศกาลล่าปาแล้วค่ะ ฉันก็เลยกลับมาหาพ่อกับแม่ก่อน!”

หัวใจของเหลียงซิ่วก็ทำจากเนื้อนะ และตอนนี้มันหนาวเหน็บอยู่บ้าง

พอเห็นสีหน้าเย็นชาก็ตัดสินใจว่าเทศกาลล่าปาจะไม่มาอีก เพื่อที่จะได้ไม่โดนเกลียดขี้หน้าอีก

แม่เฒ่าเหลียงร้องเหอะก่อนจะเดินเข้าห้องไปโดยไม่แม้แต่จะต้อนรับลูกสาวสักนิด

ถึงจะได้รับการปฏิบัติอย่างเย็นชา แต่เธอก็ยังเดินถือตะกร้าเข้าไปพร้อมกับลูก ๆ ที่ห้องหลัก

พ่อเฒ่าเหลียงกึ่งนอนอยู่บนเตียงเตา พิงเสาสูบยาสูบ

ถึงจะเห็นลูกสาวกับหลาน ๆ มา แต่เขาไม่ได้แสดงสีหน้าใด ๆ ไม่มีแต่จะกะพริบตาด้วย

“เสี่ยวอู่ สวัสดีคุณตาสิ!” เหลียงซิ่วดันหลังลูกชายเล็กน้อย!

ถึงเสี่ยวอู่จะรู้สึกไม่มีความสุข แต่ก็ต้องเอ่ยทัก “สวัสดีครับคุณตา!”

จากนั้นก็ตามด้วยเสี่ยวปาและเสี่ยวเถียน แต่พ่อเฒ่าเหลียงที่นอนบนเตียงเตาไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง

ราวกับว่าในห้องไม่มีคนอยู่

เหลียงซิ่วยิ้มออกมา “แม่ ช่วงนี้แม่กับพ่อสบายดีไหม?”

“ดีไม่ดี ฉันก็ยังมีชีวิตอยู่แล้วกัน!” แม่เฒ่าเหลียงตอบน้ำเสียงแข็งกร้าว

งั้นก็ดี ไม่ต้องคุยด้วยหรอก!

พอเห็นแบบนี้ หัวใจของซูเสี่ยวเทียนคงต้องมีป้อมปราการแล้วจริง ๆ

เธอไม่เข้าใจเลยว่าทำไมแม่ต้องมาด้วย?

ถึงจะเป็นพ่อแม่แท้ ๆ แต่การกระทำแบบนี้ไม่ได้ต่างไปจากศัตรูเลยนะ!

เหลียงซิ่วหลุบตาลง ซ่อนความเจ็บปวดในแววตาแล้วคลี่ยิ้มบาง ๆ

“แม่ ตอนนี้ฉันมีชีวิตที่ดีแล้วค่ะ ไม่ต้องเป็นห่วง…”

เอ่ยไม่ทันจบก็โดนขัดขึ้นเสียก่อน

“ลูกสาวที่แต่งงานไปแล้วก็เหมือนน้ำที่ไหลออกนั่นแหละ ในเมื่อแกแต่งออกไปแล้วจะดีไม่ดีก็ไม่เกี่ยวอะไรกับฉัน!”

น้ำเสียงนั้นไร้ซึ่งความอบอุ่น มันเย็นชาราวกับคุยกับคนแปลกหน้า มันไม่ควรเป็นแบบนี้เลย

“แกจะมีชีวิตที่ดีมันก็ชีวิตแก ไม่ต้องมาให้ฉัน แล้วถึงแกจะมีชีวิตที่ย่ำแย่ ฉันก็ไม่ให้แกเหมือนกัน!”

ตอนแม่เฒ่าเหลียงพูด พลางนั่งบนขอบเตียงเตา ไม่แม้แต่จะชายตามองเหลียงซิ่วเลย

ใบหน้าของเสี่ยวเถียนบึ้งตึง ปากเล็ก ๆ เบะออกเช่นกัน

แต่เธอคิดว่าเธอจะโกรธแบบนี้ไม่ได้

*[1] แปลตรงตัวคือ เป่าหนังวัว ซึ่งหมายถึง ขี้โม้ คุยโว

*[2] ผู้ใหญ่ระดับบนประพฤติมิชอบ ผู้น้อยระดับล่างก็จะเลียนแบบในทางที่เสีย เทียบสำนวนไทยได้คือ เจ้าวัดไม่ดี หลวงชีสกปรก